“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินมาว่ายามที่ท่านฆ่าฟันพวกศัตรู ท่านมิยอมกะพริบตาเลย จริงหรือไม่เจ้าคะ”ด้วยความที่ยังเยาว์วัย หลิวหลูซินจึงเอ่ยถามออกมาเพราะความอยากรู้ ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่พวกนักปราชญ์ที่มาเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมทั่วเมืองถิงฮวาตีความไปเองชิงเหมยสะกิดสหายของนาง เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่ชางต้องลำบากใจ รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้น แม้จะเบาบางและมีร่องรอยที่จางลง แต่ทว่าบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็คงยังอยู่ เพราะนางเองก็เคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องฆ่าผู้อื่นและสูญเสียสหายร่วมรบมาเช่นกัน ในสนามรบหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เพราะเช่นนั้นแล้ว… หากแสดงความอ่อนแอข้าศึกเห็น ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ ท่านพี่ชางจึงได้แสดงด้านที่เย็นชาออกมา ทำให้ผู้ที่มองเขาตีความเป็นเช่นนั้น“พี่ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะชิงชิง… ผู้คนก็พูดกันไป ผู้ใดจะทนไม่กะพริบตาได้กันล่ะ” ชิงเหมยถึงกับนึกขันกับคำตอบที่ติดเล่นของพี่ชาง เขายิ้มออกมาให้กับเด็กสาวทั้งสอง“แหะๆ จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิวหลูซินหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอาย“ท่านหัวหน้าขอรับ ด้านในให้ข้ามาตามท่านไปร่วมโต๊ะแ
ปีพุทธศักราช ๒๓๐๘อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี“ย๊าก.....”“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้าน
ในขณะที่ทุกคนกำลังไปทำตามหน้าที่ของตน จู่ ๆ พวกทหารพม่าที่ยังคงซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็ได้นำกำลังกลับมายังหมู่บ้านนี้อีกครา พวกมันใช้กำลังพลนับห้าสิบปิดล้อมหมู่บ้านเอาไว้ เพราะมีทหารลาดตระเวนได้เห็นว่ายังมีชาวบ้านหลงเหลืออยู่“แย่แล้วนังคำเอื้อย!!! ไอ้พวกข้าศึกมันล้อมพวกเราเอาไว้รอบหมู่บ้านเลย แล้วพวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีรึ”แม่ลำดวนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจครั้นได้เห็นว่าพวกทหารพม่ามันพากันย้อนกลับมา ทุกคนรีบมารวมตัวกันเพื่อฟังทางออกที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้“ไม่มีหนทางอื่นนอกจากตีฝ่าวงล้อมของพวกมันออกไป”คำเอื้อยบอกถึงหนทางแก้ปัญหาในเพลานี้ของนาง นางไม่หวั่นเกรงหากว่านางต้องตายไปในวันนี้ แต่นางจะไม่มีวันยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกกบฏแน่นอนนายคล้าวเริ่มวางแผนด้วยการที่จะยอมเป็นตัวหลอกล่อพวกมันแล้วให้พวกสตรีหนีออกไปก่อน คำเอื้อยไม่เห็นด้วยเพราะนางจะไม่มีวันยอมทอดทิ้งสหายร่วมรบของนางเป็นอันขาด ทุกคนก็มีความเห็นเช่นเดียวกันกับคำเอื้อย สุดท้ายทางออกเดียวคือฝ่าออกไปแม้จะต้องสิ้นชีพไปในวันนี้ก็ตามทันทีที่นายคล้าวส่งสัญญาณทุกคนก็หยิบดาบซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของตนออกมา เพลานี้แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเ
ณ หมู่บ้านซานฉี เมืองถิงฮวา แคว้นเจียงโจว“ขนมจ้า…. แวะมาชิมแวะมาอุดหนุนกันก่อนสิจ๊ะ ขนมของยายข้านั้นรสหวานอร่อยหาผู้ใดในเมืองนี้เทียบเคียงมิได้เลยเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกำลังร้องเรียกลูกค้าที่กำลังเดินเลือกซื้อสินค้าในตลาดซานฉี ให้แวะเวียนมาซื้อขนมหวานในร้านเล็กๆ ของท่านยายเด็กหญิงวัยสิบปีที่กำพร้าทั้งบิดามารดาตั้งแต่นางยังเยาว์วัย นางอาศัยอยู่กับยายที่มีอาชีพทำขนมขายในตลาดเมืองถิงฮวา แม้จะอยู่กันเพียงสองยายหลาน ซุนฉีก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวเพียงคนเดียวอย่างชิงเหมยอดอยาก แม้นว่านางยังเยาว์วัยแต่ก็รู้ความนัก คอยช่วยเหลือผู้เป็นยายขายขนมทุกวัน“เหมยเอ๋อร์… มาดื่มน้ำสักนิดเถิดลูก เสียงของเจ้าแหบแห้งหมดแล้ว”ซุนฉีบอกหลานสาวเพียงคนเดียว ชิงเหมยหันกลับไปมองใบหน้าของท่านยายแล้วส่งยิ้มให้ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปภายในร้านขนม มือเล็กหยิบถ้วยน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหายลูกค้าเริ่มแวะเวียนกันเข้ามาเลือกซื้อขนมของซุนฉีที่มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมเซาปิ่ง ขนมกุ้ยฮวา และหมั่นโถวอุ่นร้อน ร้านของซุนฉีแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็เป็นที่รู้จักของชาวบ้านซานฉีแห่งนี้ ลูกค้าหลายคนต่างรู้สึกเอ็นดูสงสารหลานสาวของนาง
หมอสวีหันกลับไปมองเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว ว่านางจะพ้นวิบากกรรมในครานี้ไปได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ที่เขาทำได้แค่เพียงต้มยาให้แก่นางเพื่อรักษาสัญญาณชีพของนางเอาไว้เพียงเท่านั้นหนึ่งคืนกับการนอนที่โรงหมอของท่านหมอสวี ซุนฉีจึงขอพาหลานสาวกลับไปพักที่เรือนของนาง ร่างเล็กถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ชาวบ้านฉีซานต่างมองมาที่สองยายหลานด้วยแววตาเวทนา บ้างก็ตำหนิญาติฝั่งบิดาของชิงเหมยที่ทอดทิ้งหลานแท้ๆ ให้มาตกระกำลำบากกับสตรีที่เป็นแม่หม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนางซุนฉี แม้นางจะขยันขันแข็งแต่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของหลานสาวดีขึ้นได้“วันนี้ยายจะทำน้ำแกงที่เจ้าชอบ ตื่นขึ้นมาเถิดหลานยาย เจ้านอนไปสองวันหนึ่งคืนแล้วหนา” มือหยาบกร้านที่ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังสาวกุมมือเล็กของหลานสาววัยเจ็ดปีเอาไว้พลางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา“เคราะห์กรรมอันใดกัน เหตุใดถึงได้เลือกเจ้า เหตุใดถึงมิไปเลือกพวกคนใจดำตระกูลซิ่ว”ซุนฉีพึมพำออกมาทั้งน้ำตา หากโชคชะตาจะเลือกผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงมิใช่พวกฝั่งพ่อของหลานสาว เหตุใดถึงให
หลังจากหลานสาวตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับไปถึงสามคืน ซุนฉีก็ได้ไปตามท่านหมอสวีให้กลับมาช่วยตรวจดูอาการของชิงเหมยอีกครา คำเอื้อยที่เพิ่งได้กลับมาเกิดใหม่ยังคงไม่อาจปรับตนให้เข้ากับชีวิตใหม่ได้ แม้นภาพในอดีตของเด็กหญิงจะวนเวียนเข้ามาภายในห้วงนึกคิดของนาง ราวกับได้รับรู้ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างประสบพบเจอมาตั้งแต่เกิดเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้ถึงช่างอาภัพและน่าสงสารยิ่งนัก เทียบกับชีวิตของนางในชาติภพก่อนแล้ว ชีวิตของเด็กหญิงนั้นช่างโชคร้ายกว่านางยิ่งนัก ทั้งสูญเสียบิดาที่เป็นขุนนางไปในสนามรบ และสูญเสียมารดาไปตั้งแต่นางเยาว์วัย ตระกูลของบิดาก็ทอดทิ้งทำให้นางต้องมาอาศัยอยู่กับท่านยายที่เป็นเพียงแม่ค้าขายขนมในตลาด ถูกเด็กๆ วัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานของขุนนางกับพวกเศรษฐีกลั่นแกล้งรังแก“เหมยเอ๋อร์… ไหนขอลุงตรวจดูอาการของเจ้าเสียหน่อยเถิด…”เด็กหญิงนอนมองผู้ที่นางรู้มาจากท่านยายว่าเขาเป็นท่านหมอที่รักษาให้แก่นางอีกทั้งยังเป็นสหายเก่าของท่านยาย เรียวแขนเล็กยื่นออกไปให้เขาจับชีพจรที่ข้อมือของนาง ใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัยเผยรอยยิ้มออกมา“อาการของนางเป็นเช่นไรบ้างท่านหมอสวี” ซุนฉีเอ่ยถามอาการของหลานสาวด้วย
สามวันต่อมาร้านขายขนมของซุนฉีในวันนี้นั้นดูจะมีลูกค้ามาอุดหนุนมากกว่าทุกวัน เป็นเพราะเด็กหญิงที่กำลังป่าวร้องเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อขนมที่ร้าน ผู้ใดผ่านมาเห็นนางเข้าก็รู้สึกเอ็นดู เด็กที่ขยันขันแข็งเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก ยิ่งหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องที่ว่าเด็กหญิงผู้อาภัพต้องล้มป่วยและนอนหลับไปนานถึงสามคืนทุกคนจึงพร้อมใจกันมาอุดหนุนขนมของซุนฉีเพราะอยากช่วยเหลือนาง ซุนฉีเป็นคนดีและมีน้ำใจ ยามที่นางลำบากจึงไม่มีผู้ใดในตลาดเมินเฉยต่อนางครั้นเห็นว่าซาลาเปากับเกี๊ยวใกล้จะหมด สองยายหลานจึงช่วยกันลงมือปั้นแป้งอย่างเคย แต่สิ่งที่ทำให้ซุนฉีรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือฝีมือการปั้นแป้งของหลานสาวนั้นเปลี่ยนไป ดูเชื่องช้าลงจากที่เคยและดูเละเทะไม่จับก้อนเช่นก่อนหน้า หรือการล้มป่วยลงจะทำให้หลานสาวของนางลืมเลือนการปั้นแป้งไปเสียแล้ว“เหมยเอ๋อร์… ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยยายปั้นแป้งได้ไวกว่านี้อีกหนา หากเจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยดีกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนดีหรือไม่ อีกไม่นานก็ยามโหย่วแล้ว" ซุนฉีกล่าวออกมาชิงเหมยจึงชะงักมือพลางมองก้อนแป้งตรงหน้าของนางกับของท่านยายมันช่างแตกต่
หนึ่งเดือนพ้นผ่านเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยสิบปีกำลังเชิญชวนลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านขนมของท่านยายให้แวะอุดหนุนขนมของพวก ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูเด็กหญิงที่ขยันขันแข็ง จึงแวะเวียนเข้าไปซื้อขนมของซุนฉีติดไม้ติดมือกลับไป แต่ก็มีลูกค้าประจำอยู่หลายคนที่แวะเวียนมาอุดหนุนเพราะชื่นชอบในรสชาติของขนมร้านซุนฉี“ข้าขอซื้อซาลาเปากับเซาปิงอย่างละห้า”เสียงของลูกค้าประจำดังขึ้นมาทำให้ชิงเหมยหันไปมอง ครั้นได้เห็นว่าเป็นผู้ใดนางจึงคำนับเขา ครั้นคุณชายหนุ่มพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ นางจึงหันกลับไปสนใจเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านของท่านยายต่อ คุณชายรองสกุลเฉียวยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนที่น้ำเสียงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นเบื้องหน้า“มาแต่เช้าเลยหรือเจ้าค่ะคุณชาย”“วันนี้ขายดีหรือไม่” เด็กหนุ่มถามผู้ที่ทักทายเขาออกมา“วันนี้ขายดียิ่งนักเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์หนึ่งเดือนมานี้นางขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ นี่ข้าน้อยกับนางก็ปั้นแป้งทำซาลาเปากันไปสามรอบแล้วเจ้าค่ะ”ซุนฉีมองไปยังร่างเล็กที่อยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันมาคีบซาลาเปาและขนมเซาปิงใส่ปิ่นโตไม้ที่บ่าวรับใช้คนสนิทคุณชายสกุลเฉียว
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินมาว่ายามที่ท่านฆ่าฟันพวกศัตรู ท่านมิยอมกะพริบตาเลย จริงหรือไม่เจ้าคะ”ด้วยความที่ยังเยาว์วัย หลิวหลูซินจึงเอ่ยถามออกมาเพราะความอยากรู้ ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่พวกนักปราชญ์ที่มาเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมทั่วเมืองถิงฮวาตีความไปเองชิงเหมยสะกิดสหายของนาง เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่ชางต้องลำบากใจ รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้น แม้จะเบาบางและมีร่องรอยที่จางลง แต่ทว่าบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็คงยังอยู่ เพราะนางเองก็เคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องฆ่าผู้อื่นและสูญเสียสหายร่วมรบมาเช่นกัน ในสนามรบหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เพราะเช่นนั้นแล้ว… หากแสดงความอ่อนแอข้าศึกเห็น ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ ท่านพี่ชางจึงได้แสดงด้านที่เย็นชาออกมา ทำให้ผู้ที่มองเขาตีความเป็นเช่นนั้น“พี่ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะชิงชิง… ผู้คนก็พูดกันไป ผู้ใดจะทนไม่กะพริบตาได้กันล่ะ” ชิงเหมยถึงกับนึกขันกับคำตอบที่ติดเล่นของพี่ชาง เขายิ้มออกมาให้กับเด็กสาวทั้งสอง“แหะๆ จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิวหลูซินหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอาย“ท่านหัวหน้าขอรับ ด้านในให้ข้ามาตามท่านไปร่วมโต๊ะแ
คุณชายเฉียวเร่งฝีเท้ามาถึงร้านเหลาของสกุลหลิว เขาทันได้เห็นว่าชิงเหมยและสหายของนางยืนพูดคุยกับบุรุษร่างสูง ที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน มองดูจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นขุนนาง ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหานาง ทั้งสามคนกลับเดินหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียก่อน และมีคนรู้จักเข้ามาทักทายเขาพอดี ทำให้เขาคลาดสายตาจากพวกนางไปอย่างน่าเสียดายชิงเหมยและใต้เท้าหนุ่ม เดินตามหลิวหลูซินไปที่ศาลาริมน้ำ ที่อยู่ข้างหลังร้านเหลาของสกุลหลิว ครั้นไปถึงหลิวหลูซินก็ขอตัวออกไปช่วยพ่อแม่ของนางขายอาหารที่ร้านเหลาต่อ ทิ้งให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง เด็กสาวรู้สึกไม่คุ้นชินกับรูปโฉมที่น่ามองของพี่ชาง พี่ชายที่นางเคยพบเจอและได้รับความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองปีก่อน เขาเงียบหายไปนานถึงสองปี ทำให้นางกับเขาห่างเหินกันไป ครั้นได้มาพบหน้ากันอีกคราก็ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก“พี่ชาง… เอ่อ… ท่านใต้เท้า สบายดีนะเจ้าคะ”“เรียกพี่ว่าพี่เช่นเดิมเถิด” เสียงทุ้มน่าฟังดังออกมาจากปากของใต้เท้าหนุ่ม“พี่สบายดี แต่ปีก่อนก็ลำบากอยู่ไม่น้อย เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าพี่ไปประจำการอยู่ที่ชายแดนมา”ชิงเหมยพยักหน้าเป็นคำ
“จะดีหรือเจ้าคะ ข้าน้อยเกรงว่า ผู้อื่นจะมองว่าหลานสาวของข้าน้อยพยายามจะตีสนิทคุณชาย เพราะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียว คุณชายก็น่าจะรู้ว่า พวกชาวบ้านนั้นชอบเล่าลือกันในสิ่งที่มิใช่เรื่องจริง และผู้ที่จะเสียหายก็มิใช่ผู้ใด แต่คือหลานสาวของข้าน้อยผู้ต่ำต้อยผู้นี้”ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงหลานสาวจะมีเลือดของขุนนางอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ ชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาที่เติบโตมากับยายที่ขายขนมเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น“เอ่อ… ถ้าข้าทำให้ท่านยายและชิงเหมยลำบากใจ ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับชิงเหมยจริงๆ อืม… ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้พูดคุยกับชิงเหมยที่ในร้านนี้ได้หรือไม่”ในเมื่อออกไปเดินเล่นด้วยกันไม่ได้ คุณชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพูดคุยอยู่ที่ร้านนี้แทน เพราะเช่นนี้จะได้อยู่ในสายตาของนางซุนฉี ผู้เป็นยายของชิงเหมยด้วย ซุนฉีมองหน้าหลานอย่างชั่งใจก่อนที่จะตอบคุณชายหนุ่มไป“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้เจ้าค่ะ เหมยเอ๋อร์… หลานพาคุณชายไปนั่งคุยที่โต๊ะด้านหลังร้านของเราเถิด” ครานี้ซุนฉีไม่ปฏิเสธชิงเหมยเองก็ไม่ได้ลำบากใจอันใดที่จะต้องพูดคุยก
ควันโขมงที่ลอยขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนของสองยายหลานในยามเหม่าเป็นเรื่องปกติในทุกเช้า เพราะซุนฉีตื่นนอนตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อหุงหาอาหาร ชิงเหมยเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำไม่ต่างกันกับท่านยายของนาง เด็กหญิงวัยแรกแย้มกำลังนั่งผสมแป้งเข้าด้วยกัน ครั้นเนื้อแป้งเข้ากันแล้วนางจึงจัดการยัดไส้ซาลาเปาที่มีทั้งไส้ถั่ว ไส้หมู ไส้ผัก และไส้มัน จากนั้นก็ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าที่เป็นเด็ก“เหมยเอ๋อร์… วันนี้ทำไปให้มากหน่อยเถิด เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่เด็กๆ ไม่ได้ไปสำนักศึกษากัน ส่วนใหญ่ก็คงจะติดตามพ่อแม่มาเดินเที่ยวตลาดด้วย” ซุนฉีร้องบอกหลานสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจเตรียมซาลาเปาสำหรับขายในวันนี้“เจ้าค่ะท่านยาย ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่าน อีกอย่าง… ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ที่เมืองถิงฮวาของพวกเรา มีหัวหน้ามือปราบคนใหม่ เพิ่งจะมารับหน้าที่วันนี้เป็นวันแรก เขาต้องมาตรวจเยี่ยมตลาดที่เราค้าขายอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ” ชิงเหมยตอบรับทว่ามือของนางยังคงจดจ่ออยู่กับการปั้นแป้งซาลาเปาตรงหน้า“อืม…ยายก็ได้ยินมาเช่นกัน เห็นเขาบอกว่า หัวหน้ามือปราบที่มาใหม่วัยแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้นเอง ความสามารถของเขาคงจ
“พวกเจ้ายินดีที่จะไปอยู่กับข้าหรือไม่ ข้ามิได้ร่ำรวย แต่ข้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องอดตายเป็นแน่” เสียงหวานร้องถามเด็กสาวเหล่านี้ออกมา“หนวกหู!! แม่นางน้อย หากอยากหาสหายเอาไว้เล่นกับเจ้าก็เอาเงินมาแลก หาใช่มาขดมยกันซึ่งๆ หน้าไม่”“คิกๆๆๆ โขมยเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขัน”เสียงหัวเราะของสตรีนิรนามทำให้กลุ่มชายแปลกหน้ารู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการสตรีร่างเล็กตรงหน้า แต่ไม่ทันที่บุรุษร่างโตจะได้เข้าใกล้ร่างบาง มีดสั้นก็ลอยมาปักที่คอหอยของชายผู้นั้นจนล้มลง ตาเหลือกค้างตายไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“เฮ้ย!!! พวกเจ้ารีบไปจับตัวนังนั่นมาให้ข้าเร็วเข้า”สิ้นเสียงของหัวหน้ากลุ่ม ชายแปลกหน้าร่างโตที่เหลือสี่คนจึงรีบปรี่เข้าไปหาสตรีนิรนามตรงหน้า นางดึงดาบที่เหน็บไว้ที่เอวทั้งสองข้างออกมาแล้วตั้งรับพวกมันไม่เกรงกลัว สองฝ่ายปะทะกันเสียงดาบและเสียงกรีดร้องของเหล่าเด็กสาวดังขึ้นไปทั้งบริเวณ ร่างเล็กหลบหลีกเหล่าชายร่างโตได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังฟันพวกมันจนล้มลงทีละคน อาภรณ์สีดำอาบไปด้วยสีของโลหิตชายที่เป็นหัวหน้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลากจูงกลุ่มเด็กสา
เยว่อู๋ชางเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบฮุ่ยซื่อหลังจากที่ได้รับผ้าพันคอจากชิงเหมยเพียงสามวัน ดีที่อากาศเริ่มเย็นลงทำให้เขาสามารถใช้ผ้าพันคอผืนนี้ได้อย่างไม่เป็นที่สะดุดตานัก แต่ถึงอย่างไรก็คงมีเพียงจิ้นซู่ที่พอจะรู้ความคิดของคุณชายรอง หากเป็นของที่แม่นางน้อยชิงเหมยทำให้แล้ว คุณชายของเขาก็พร้อมที่จะใช้สิ่งนั้นอย่างไม่ลังเลแม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาดก็ตามที คิดแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“หัวเราะอันใดจิ้นซู่” ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทที่นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามเขามาไม่ห่าง“ฮ่าๆๆ ฮึบ… มิได้หัวเราะอันใดขอรับ” จิ้นซู่กลั้นขำพลางตอบคุณชายรอง“หึ!! มัวแต่ชักช้า ข้านำไปก่อนล่ะ”คุณชายหนุ่มรู้สึกเขินเพราะรู้ดีว่าบ่าวรับใช้คนสนิทกำลังหัวเราะในเรื่องอันใด จิ้นซู่มองตามคุณชายรองก่อนที่เขาจะควบม้าเร่งความเร็วติดตามคุณชายไปสองนายบ่าวควบม้าเกือบหนึ่งชั่วยามจึงพักมาที่โรงเตี๊ยมริมทาง ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองถิงฮวาและเมืองหลวง ถือโอกาสนี้ให้ม้าได้พักเหนื่อยเสียหน่อย และให้คนได้พักกินอาหารด้วย เสี่ยวเอ้อร์รีบออกมาต้อนรับคุณชายหนุ่มและผู้ติดตาม“ยินดีต้อนรับขอรับ ขอเชิญแข
ครั้นเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รู้สึกกังวลกับสิ่งที่นางบอกเล่าให้ฟัง หลิ่วหริ่งจึงรีบนำบทความของท่านอาจารย์อวิ๋นที่นางเขียนมาให้ท่านพี่หญิงชิงเหมยได้ดู มือเล็กรับกระดาษมาจากหลิ่วหริ่งก่อนที่นางจะอ่านและทำความเข้าใจกับบทความตรงหน้า เพราะเป็นเรื่องราวที่นางเคยศึกษามาก่อนหน้า ชิงเหมยจึงสามารถอธิบายให้หลิ่วหริ่งฟังจนเด็กหญิงเข้าใจหลิ่วหริ่งอยู่กับชิงเหมยเกือบหนึ่งชั่วยามจึงขอลากลับเรือนของนาง และหลังจากนั้นไม่นานนักท่านยายซุนฉีของชิงเหมยก็กลับมาจากตลาดซานฉี พักนี้นางกลับเรือนเร็วกว่าเมื่อก่อนเพราะนึกเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องอยู่ที่เรือนตามลำพัง นางเกรงว่าฝ่ายพ่อของหลานสาวที่ไม่เคยมาเหลียวแลจะมาพาตัวหลานไป“ท่านยาย… เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยนำน้ำมาให้ท่านยายของนางได้กิน“ขอบน้ำใจนะลูก ยายไม่เหนื่อยเลย ว่าแต่ยาย…เจ้าล่ะไปสำนักศึกษาวันนี้มาเป็นเช่นไรบ้าง” ซุนฉีรับแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะเอ่ยถามหลานสาวออกมา“ก็เหมือนกับทุกวันเจ้าค่ะ อ่อ.. วันนี้หริ่งเอ๋อร์มาให้หลานสอนตีความหมายบทความของท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นด้วยเจ้าค่ะ"“หืม… หริ่งเอ๋อร์น่ะหรือ อืม… ดีแล้วล่ะลูก เรือนเคียงกันหยิบยื่นน้ำใจให้ความช่วยเหล
จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
เรือนชางหยงเรือนไม้ที่อยู่ปีกขวาของจวนสกุลเยว่เป็นที่พักอาศัยของเยว่อู๋ชาง เรือนชางหยงหลังนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นเรือนส่วนตัวของเยว่อู๋ชางเมื่อห้าปีก่อน ร่างสูงของคุณชายหนุ่มเยื้องย่างเข้าไปภายในเรือนของตนก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ จากนั้นเขาจึงออกไปนั่งที่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ผลิดอกไปทั่วทั้งต้น บางดอกร่วงหล่นลงมา“จิ้นซู่ เจ้าช่วยส่งคนของเราที่มีฝีมือไปสืบเรื่องที่ข้าได้รับปากกับแม่นางชิงเอ๋อร์หน่อย ข้าอยากแจ้งข่าวเรื่องนี้ไปให้นางโดยเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าข้าเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา”คำสั่งของคุณชายรองทำให้จิ้นซู่นึกประหลาดใจ คุณชายที่ได้รับขนานนามว่าเป็นคุณชายที่ไร้ซึ่งหัวใจ ไร้ซึ่งความรู้สึก กลับใส่ใจกับคำสัญญาที่ให้ไว้แก่เด็กหญิงที่เพิ่งรู้จักกันแค่เพียงไม่นาน“ขอรับคุณชายรอง บ่าวจะรีบไปจัดการให้ประเดี๋ยวนี้เลย”มือเรียวหยาบกร้านหยิบเอาถุงหอมขึ้นมามองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนที่เขาจะใช้จมูกสูดดมกลิ่นหอมของมันพลางนึกไปถึงรอยยิ้มของเจ้าถุงหอมนี้ นางต้องใช้ความพยายามถึงเพียงใดกว่าจะได้ลวดลายเหล่านี้มา นึกแล้วเด็กหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ครั้นหันหลังกลับมากลับได้พบบ่าวร