เขายังเป็นองค์ชายจิ่น ทว่าเขากลับเหมือนไม่ใช่ตัวเขาลู่เฟิงจิ่นในอดีตนั้นกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉู่เยว่หลีในคืนนี้กลับเป็นชายใบหน้าหม่นหมองคนหนึ่งเขาถึงขั้นหมดอาลัยตายอยากฉู่เยว่หลีรินเหล้าให้เขาลู่เฟิงจิ่นยังคงเหมือนเช่นเคย หากมีเรื่องในใจมักจะมาหานาง ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจก็จะมาบอกเล่าให้นางฟังค่ำคืนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจหลังจากดื่มเหล้าฤทธิ์แรงติดต่อกันไปหลายจอก ลู่เฟิงจิ่นถึงได้มองเห็นฉู่เยว่หลีอย่างชัดเจน ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อาการบาดเจ็บของแม่ทัพฉู่ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”“ดีขึ้นแล้ว” ฉู่เยว่หลีตอบเสียงเรียบเฉย ใบหน้าเย็นชา ไม่มีอารมณ์ใดแม้แต่นิดลู่เฟิงจิ่นรู้ว่าอาการเช่นนั้น คือถูกตัด ไม่อาจหายดีได้เขากุมมือฉู่เยว่หลีอย่างแผ่วเบา “อาหลี อย่าโกรธข้าเลย วันนั้นข้าผิดเอง ข้าไม่ควรตวาดเจ้า”อันที่จริงหลายปีมานี้ เขานั้นดีกับฉู่เยว่หลีมากจริง ๆอย่าว่าแต่ตวาดนางเลย หากพูดจาใส่อารมณ์กับนางเพียงเล็กน้อย เขาก็จะขอโทษในทันทีเขาไม่เคยแม้แต่จะเรียกตนเองว่า “องค์ชาย” ต่อหน้านางด้วยซ้ำ ยกเว้นครั้งนั้นเมื่อสามวันก่อนฉู่เยว่หลีหลุบตาลง ชักมือขอ
”เช่นนั้นแล้ว องค์ชายมาเพื่อพูดเรื่องถอนหมั้นกับข้าหรือ?” ใบหน้าของฉู่เยว่หลียังคงราบเรียบ สงบนิ่งทว่าสิบนิ้วที่เก็บซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อนั้นจิกเกร็งแน่นเล็บอันแหลมคม จิกเข้าไปในเนื้อกลางฝ่ามือ เจ็บแสบเล็กน้อย แต่เพราะความเจ็บปวดที่หัวใจ ความเจ็บปวดบนฝ่ามือนั้นจึงไม่หนักหนาต่อไปคู่หมั้นของนางเอ่ยกันนางด้วยสีหน้าทุกข์ทนว่าเขาชอบหญิงอื่น แต่ต้องการให้นางปลอบโยนเขาเหมือนเช่นเคยเฮ้อ ใต้นภายิ่งใหญ่ อัศจรรย์ใดก็เกิดขึ้นทั้งนั้นช่างน่าขันนัก“ถอนหมั้น” สองพยางค์นี้ แทงหัวใจของลู่เฟิงจิ่งสาหัสนัก“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร! ข้าจะถอนหมั้นกับเจ้าได้อย่างไร? ชาตินี้ข้าจะไม่มีวันไปจากเจ้า”เขาตื่นตระหนก กุมมือของฉู่เยว่หลีเอาไว้อีกครั้งคราวนี้กำแน่นกว่าคราวไหน บีบเลยด้วยซ้ำ เล็บมือของฉู่เยว่หลีเดิมทีจ่ออยู่กลางฝ่ามือ เมื่อถูกเขาบีบเช่นนั้น เล็บทั้งเล็บจึงจิกลึกเข้าไปในเนื้อทั้ง ๆ ที่เจ็บยิ่งนัก แต่กลับไม่รู้สึกอันใดนางมองลู่เฟิงจิ่น น้ำเสียงนิ่งเรียบ “เช่นนั้นแล้วที่องค์ชายมาคืนนี้ อยากจะพูดอะไรกับข้ากันแน่?”“อาหลี เจ้าอย่าได้เย็นชากับข้าเช่นนี้ได้หรือไม่? เราสองรักกันมานานหลาย
ฉู่เยว่หลีไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่มองหน้าลู่เฟิงจิ่น แล้วยิ้มบางนางไม่ปลอบใจเขาเหมือนเช่นเคย ลู่เฟิงจิ่นผิดหวังไม่น้อยเขาคิดว่าอย่างน้อยอาหลีคงเอ่ยปากให้อภัยเขา ให้เขาเบาใจขึ้นบ้างในเมื่อเขาไม่ได้ปิดบังนาง สิ่งในที่ตนเองคิด เขานั้นสารภาพกับนางจากใจจริงใต้ฟ้านี้มีชายหลายใจมากนัก เขาบอกตัวเองว่าจะทำให้ดีกว่าชายใดบนโลกหล้าทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ไม่โมโหอีกลู่เฟิงจิ่งรู้ อาหลีนั้นจิตใจงามที่สุด ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หากนางเข้าใจแล้วสุดคงยกโทษให้เขา“อารมณ์ดีหน่อย ระหว่าวเราต้องดีขึ้นแน่นอน รอข้านะ” เขากลับไปอย่างพอใจระดับหนึ่งวินาทีที่แผ่นหลังของเขาหายไปจากหน้าประตูเรือน รอยยิ้มมุมปากของฉู่เยว่หลีถึงได้ค่อย ๆ จางหายไปนางหันหลังเดินเข้าไปในห้องของจื่อซูทว่ากลับเห็นจื่อซูนั่งอยู่บนเตียงกำลังเช็ดน้ำตา“เป็นอะไรไป? เจ็บตรงไหนหรือ?” แววตาของฉู่เยว่หลีเปลี่ยนไป รีบเดินเข้าไปหาจื่อซูส่ายหน้า มองนาง น้ำตาคลอเบ้า “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่ข้า ได้ยินทั้งหมดแล้ว องค์ชายจิ่น พระองค์... พระองค์ทำเกินไปแล้ว! เหตุใดเขาถึงได้ทำกับท่านเช่นนี้!”อันที่จริงวันนั้น ยามที่ได้ยินทั่วป๋าเฟยเยวียนกล้สเรีย
เมื่อองค์ชายลู่เฟิงจิ่นลงมาจากรถม้า ผมของเขายุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งโรมรันหญิงสาวในรถม้าอย่างหนักหน่วงเขาไม่คิดว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น จะเห็นฉู่เยว่หลี่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายลม มองเขาอยู่ยามนั้นสายลมพัดผ่านฉู่เยว่หลี่ในชุดขาวพลิ้วไหวไปตามสายลม สง่างามและงดงามราวกับเทพธิดาส่วนเขานั้นสง่างามและเยือกเย็น แต่บัดนี้กลับดูยุ่งเหยิงเพราะทั่วป๋าเฟยเยวียนเขาลงจากรถม้า ทั่วป๋าเฟยเยวียนตามลงมาแล้วดึงม่านรถขึ้นนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉู่เยว่หลี่อยู่ไม่ไกลใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้า ทำให้ทั่วป๋าเฟยเยวียนหรี่ตาลงนางหันไปมองลู่เฟิงจิ่นที่ยืนอยู่ข้างรถม้า ความโกรธในดวงตาเพิ่มขึ้น ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “หึ นางงามในจวนของเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่ ยังมาเกี่ยวข้องกับข้าทำไม?”นางกระโดดลงจากรถม้า มองไปยังฉู่เยว่หลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น แค้นที่ถูกแทง สักวันข้าจะเอาคืนให้สาสม! ผู้ใดก็ตามที่คิดร้ายกับทั่วป๋าเฟยเยวียน แม้จะอยู่ไกลก็จะถูกกำจัด! ฉู่เยว่หลี่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”เอ่ยจบนางก็หันหลังเดินจากไป โดยไม่เหลียวแลแม้แต่น้อยทว่าลู่เฟิงจิ่นนั้นเดินเข้าหยุดอยู่ตรงหน้านางเขาจับข้อมือนางไ
ลู่เฟิงจิ่นนำความโกรธแค้นไปพร้อมกับทั่วป๋าเฟยเยวียนเดินทางกลับเมืองหลวงเขาคิดว่าเพียงแค่ไม่สนใจฉู่เยว่หลี เวลาผ่านไปนานเข้า นางก็ต้องร้องไห้มาขอให้เขายกโทษแต่ครั้งนี้ เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้ว นางกลับอยู่แต่ในเรือนของท่านกั่วกงถึงสิบวัน ไม่ย่างกรายออกจากประตูเรือนเลยแม้แต่น้อยแรกเริ่ม เขาก็เฉยเมยต่อมา เขาทนไม่ไหว จึงส่งองครักษ์ไปสืบถาม “นางป่วยหรือ? หรือว่าบาดแผลของฉู่เซียวเหอยังไม่หาย ต้องให้นางไปดูแลด้วยตัวเอง?”องครักษ์สืบข่าวเรียบร้อยแล้ว รีบรายงาน “กราบทูลองค์ชาย บาดแผลของแม่ทัพฉู่ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้ว วันนี้ท่านแม่ทัพฉู่ยังเข้าไปเฝ้าในวังด้วย”“เข้าเฝ้าในวัง?” แม่ทัพที่ละทิ้งหน้าที่ ยังหน้าด้านไปเฝ้าเสด็จพ่อ?“เมื่อฉู่เซียวเหอไม่เป็นอะไรแล้ว แล้วอาหลีเอาแต่หลบอยู่แต่ในเรือนไปทำไม?” ไม่ยอมมารับโทษกับเขาที่วัง นางคิดอะไรอยู่กันแน่? “หรือว่าข้าเตะแรงไป จื่อซูยังบาดเจ็บอยู่หรือ?”“ดูเหมือนว่าจื่อซูจะหายดีแล้ว วันนี้ยังไปตากยาที่สวนหลังเรือนกับแม่นางหลีด้วย”“นางยอมไปตากยา แต่ไม่ยอมมาหาข้า?”ลู่เฟิงจิ่นตั้งใจจะรอให้ฉู่เยว่หลีมาขอโทษ แล้วค่อยใช้โอกาสนี้ขอสิ่งที่ตนเองต้อ
“เจ้ายังคงโกรธเรื่องนี้อยู่จริง ๆ ด้วย!” ลู่เฟิงจิ่นผิดหวังในฉู่เยว่หลีเป็นอย่างมาก “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เจ้ายังจำมาจนถึงบัดนี้!”“องค์ชายคิดว่าพี่ชายข้าเสียอนาคตไป เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือ?”เขาผิดหวังในตัวฉู่เยว่หลี ฉู่เยว่หลีก็ผิดหวังในตัวเขาอย่างที่สุดเช่นกันไม่ได้หรือ?ลู่เฟิงจิ่นผู้ที่เคยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เที่ยงธรรม ได้หายไปแล้ว“หากองค์ชายคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย คราวหน้าก็ให้นางแทงองค์ชายบ้างสิเพคะ?”ลู่เฟิงจิ่นนึกภาพนั้นก็รู้สึกแน่นที่ท้องขึ้นมาในทันทีเขาพลันรู้สึกหมดแรงอย่างที่สุด “ช่างเถอะ อาหลี เจ้าก็แทงนางไปทีหนึ่ง ทำให้นาง... เจ้ารู้ไหมว่านางเจ็บปวดแค่ไหน? ไม่ใช่แค่เจ็บแค่กาย แต่ศักดิ์ศรีก็ถูกทำลายด้วย มีดนั้นทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่หญิงสาวที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไป...”“นางเคยสมบูรณ์แบบตั้งแต่เมื่อใด?”“อาหลี!” ลู่เฟิงจิ่นไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า เรื่องที่ผ่านมา จบลงแค่เท่านี้เถิด! ส่วนเรื่องที่เจ้ากับแม่ทัพฉู่ละทิ้งหน้าที่...”“ข้าให้คนส่งข่าวเร็วที่สุดไปยังฮ่องเต้ ขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าพาพี่ชายกลับเมืองหลวง พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าได้ร
ลู่เฟิงจิ่นคิดว่าฉู่เยว่หลีจะโวยวาย ในเมื่อเรื่องนี้เป็นถูกเอาเปรียบแต่ฉู่เยว่หลีกลับนิ่งเงียบมองเขา ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย ความเงียบสงบนี้ ทำให้เขารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก“อาหลี นิสัยของเยวียนเอ๋อร์ เจ้าก็ได้เห็นแล้ว นางไม่ยอมใช้สามีกับเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าจึงจะถอนหมั้นกับเจ้า”ลู่เฟิงจิ่นรู้ว่าคำพูดนี้ทำร้ายจิตใจ หากฉู่เยว่หลีว่าง่าย เขาก็คงไม่ทำเช่นนี้คงต้องโทษที่นิสัยนางแข็งกร้าวเกินไป เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนาง“อาหลี บัดนี้เยวียนเอ๋อร์ยอมแต่งงานพร้อมกับเจ้าแล้ว นั่นคือถอยมากที่สุดเท่าที่นางจะทำได้แล้ว หากเจ้าไม่ยอม เรื่องแต่งงานของเราก็ต้องยกเลิก”ฉู่เยว่หลียังคงจ้องมองเขา แววตาที่ไม่ร้อนรนนั้น ทำให้ลู่เฟิงจิ่นโมโหอย่างน่าประหลาด“เจ้าคิดอะไรอยู่? อาหลี ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไร ข้าก็จะไม่ทิ้งเยวียนเอ๋อร์! อาหลี เรามาพูดกันตรง ๆ อย่าได้คิดอ้อมค้อมมากความได้หรือไม่?”เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับนางมากไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วป๋าเฟยเยวียนกำลังยังรอเขาอยู่ที่จวนด้วยนิสัยของนาง หากเขาไม่รีบกลับ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก!“ได้ ข้าจะพูดกับองค์ชายอย่างตรงไปตรงมา” ฉู่เยว่หลีเอ่
“เยวียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร?” ลู่เฟิงจิ่นลุกขึ้นยืนในทันใด คว้าข้อมือของทั่วป๋าเฟยเยวียน “วางมีดลง!”ด้านนอก องครักษ์ของจวนกั๋วกงพากันวิ่งเข้ามาฉินอู่รีบวิ่งเข้าไป ตะโกนเสียงดังลั่น “องค์ชายจิ่นอยู่ที่นี่ ผู้ใดกล้าสามหาว! ถอยไปให้หมด!”องครักษ์ไม่กล้าทำอะไรใครคนหนึ่งรีบหันไปแจ้งให้ฉู่เซียวเหอทราบ“เยวียนเอ๋อร์ วางมีดลงก่อน” ลู่เฟิงจิ่นบีบข้อมือของนางแน่นขึ้นทั่วป๋าเฟยเยวียนโกรธจัด “ใจเจ้ายังมีนางอยู่จริง ๆ ด้วย!”“เยวียนเอ๋อร์!” ลู่เฟิงจิ่นก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงได้ใจอ่อนกับนางไปเสียทุกครั้งเมื่อเห็นเปลวไฟแห่งความโกรธในดวงตาของนาง เขาก็ไม่โมโหแล้ว“เยวียนเอ๋อร์ ข้ามีแต่เจ้า แต่นี่คือจวนกั๋วกง อย่าได้ก่อเรื่อง วางมีดลงก่อน!”“หมายความว่า หากนางนางเข้าจวนแล้ว ข้าก็สามารถทำอะไรนางได้ตามใจชอบใช่หรือไม่” ทั่วป๋าเฟยเยวียนหัวเราะเยาะ “แต่ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”“เยวียนเอ๋อร์...”“แล้วเจ้าต้องการจะทำอะไร?” ฉู่เยว่หลียังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตั้งแต่ทั่วป๋าเฟยเยวียนเข้ามา มีดที่ส่องแสงแวววาวก็กวัดแกว่งอยู่ตรงหน้า แต่นางก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆความสงบนิ่งนั้น ทำให้ทั่วป๋าเฟยเยวียนเดือด