...วังหลวงแคว้นต้าถัง รัชศกหลู่อี้ที่แปด ฮ่องเต้เฉิงฮ่าวฉี...
ภายในวังหลวงอันหรูหรางามวิจิตร บ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยและความฟุ้งเฟ้อของราชวงศ์ผู้ปกครองแคว้น แปดปีที่ฮ่องเต้เฉิงฮ่าวฉี ยึด ครองบัลลังก์ วังหลวงแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสวรรค์บนดินที่มีอยู่จริง
แต่ทว่าภายหลังกำแพงหรูหราสูงตระหง่าน คล้ายดังเป็นเส้นแบ่งแยกดินแดนระหว่างชนชั้นวรรณะเอาไว้ได้อย่างชัดเจน เพราะมันช่างต่างกันราวขุมนรกกับสรวงสวรรค์ สภาพความเป็นอยู่ของราษฎรชนชั้นรากหญ้าด้านหลังกำแพงล้วนแร้นแค้น เรียกได้ว่าย่ำแย่จนน่าเวทนา ถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบจากเหล่าขุนนางและชนชั้นสูง ขอทาน เหล่าคนพเนจร และเด็กกำพร้า คนเร่ร่อนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
สำหรับประชาชนชาวต้าถัง แปดปีที่ผ่านมาคือการตกนรกที่ยาวนานอย่างแท้จริง
ภายนอกกำแพงเมืองหลวงในเวลานี้นั้นเงียบสงบ เหล่าชาวบ้านชาวเมืองต่างหลบลี้ซ่อนกายอยู่เพียงในเรือน เฝ้ามองหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างท้อแท้สิ้นหวัง หลายชีวิตกำลังจะอดตายและอีกหลายชีวิตก็กำลังจะหนาวตาย พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ภาวนาให้ฤดูกาลที่แสนทรมานนี้พัดผ่านพ้นไปเสียที และภาวนาให้ชีวิตของพวกเขาหลุดพ้นจากการปกครองอันเลวร้ายของทรราชด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวจากอากาศที่หนาวเหน็บ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาบางเบากลับมีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอดด้านหน้าเรือนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา สตรีเรือนร่างงามระหงนางหนึ่งก้าวลงมายืนจ้องมองเรือนขนาดกลางที่รอบด้านนั้นโอบล้อมไปด้วยต้นไผ่ โดยมีสตรีอีกนางคอยถือร่มกระดาษยืนอยู่ไม่ห่างกาย
แม้จะสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่เสียดลึกเข้าไปถึงกระดูก แต่นางหาได้นำพาต่อความหนาวที่แสนทรมานนั้น
นางก็เป็นคนอีกผู้หนึ่งที่หวังให้ความเลวร้ายในชีวิตทั้งหมดผ่านพ้นไป พัดผ่านไปพร้อมกับฤดูเหมันต์ที่กำลังจะสิ้นสุดนี้
นัยน์ตาคู่งามจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่สนต่อความหนาวที่โอบล้อมรอบกาย ส่วนลึกในดวงตาดำขลับไหวระริก
...คิดถึง...
คำคำนี้ผุดขึ้นมาภายในใจ เท้าเล็กในรองเท้าปักที่เริ่มเปียกชื้นจึงค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้ามาหยุดยืนอยู่หลังบานประตูที่ขวางกั้นนางไว้
หลังจากบ่าวชายเข้ามาไขแม่กุญแจที่คล้องไว้ด้วยโซ่ตรวนเส้นใหญ่ออก บานประตูก็เปิดแง้มออกจากกันเล็กน้อย ฝ่ามือเล็กขาวผ่องจึงยกขึ้นผลักบานประตูสีคล้ำ สัมผัสเพียงเบาๆ ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกกว้าง เสียงบานประตูเสียดสีฝืดเคืองบ่งบอกถึงอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดี
ภาพเบื้องหน้าคือเรือนขนาดกลางที่ดูคุ้นตา และให้ความรู้สึกคุ้นเคย ภายในอกรู้สึกอุ่นวาบจนต้องเร่งสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน ก้าวเดินไปตามทางเดินทอดยาวที่จำได้ว่าเดิมนั้นปูด้วยกระเบื้องสีขาวแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีน้ำตาลหม่น บางจุดมีร่องรอยด่างดวงดำคล้ำดูสกปรก จนมองไม่เห็นสีเดิม
สองข้างทางที่ในอดีตเต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้งามนานาชนิดที่เจ้าของเรือนชื่นชอบ แข่งกันชูช่อส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งเรือน แต่ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน บัดนี้มันกลายเป็นเพียงภาพความทรงจำ พื้นที่ที่เคยงดงามกลับรกครึ้มไปด้วยต้นหญ้าและเถาวัลย์ที่เกี่ยวพันกันจนหนาแน่น จนกลัวว่าจะมีสัตว์มีพิษอาศัยอยู่ ทุกสิ่งที่ปรากฏล้วนบ่งบอกว่าเรือนหลังนี้ ไร้การดูแลมาเนิ่นนาน
มันถูกปล่อยปละละเลยตั้งแต่ที่นายหญิงของจวนจากไป
หญิงสาวยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า เข้าไปยังตัวเรือนที่พักอาศัย จุดหมายปลายทางคือห้องเล็กที่ตั้งอยู่สุดโถงทางเดิน
"บ่าวไปชงชาร้อนๆ มาให้นะเจ้าคะ"
เมื่อพาผู้เป็นนายเข้ามาถึงในเรือน บ่าวตัวน้อยที่ติดตามมาด้านหลังก็ขอปลีกตัวออกไปด้วยใบหน้าเป็นกังวล กลัวเหลือเกินว่าต้องลมหนาวเช่นนี้ผู้เป็นนายจะล้มป่วยลง
หญิงสาวทำเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวเดินต่อไป แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่จังหวะการก้าวเดินและความหนักอึ้งยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ระยะทางที่เพียงก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดหมายกับคล้ายดังนานชั่วกัปชั่วกัลป์
แต่แล้วในที่สุดนางก็สามารถพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าห้องห้องนั้น มือเรียวสั่นน้อยๆ เลื่อนประตูบานเล็กให้เปิดออกกว้าง ดวงตาคู่งามไหวระริกจ้องมองภาพวาดเก่าซีดบนฝาผนังที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทันทีที่บานประตูเปิดออก
ภาพนั้นถึงแม้จะเก่าซีดจางลงตามกาลเวลาแต่ความงดงามของสตรีในรูปภาพยังคงไม่จางหาย ร่างบอบบางทรุดกายลง คุกเข่าตรงหน้าแผ่นป้ายวิญญาณที่จารึกชื่อของสตรีผู้อยู่ในความทรงจำ อยู่ในห้วงคำนึงความคิดถึง จารึกอยู่ในดวงใจของนางเสมอมา ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่แย้มเป็นรอยยิ้มบางเบาเอื้อนเอ่ยราวกระซิบ
"ท่านแม่ ลูกมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ ท่านคงจะเหงามากใช่หรือไม่"
ภาพร่างเล็กของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบนั่งคุกเข่า แผ่นหลังเล็กยืดตรงอยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาว ซ้อนทับเข้ามาในความทรงจำ รอบกายของเด็กน้อยโอบล้อมไปด้วยความหม่นหมอง ร่างเล็กๆ นั้นดูบอบบางโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ใบหน้าหวานละมุนจิ้มลิ้มส่อเค้าว่าในภายหน้าจะต้องเป็นสตรีที่งดงามล่มเมืองนั้นหม่นเศร้า ใบหน้าเล็กๆ ยังคงมีร่องรอยของคราบหยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เต็มสองข้างแก้ม นัยน์ตาคู่งามที่มักจะเปล่งประกายเจิดจ้ากระจ่างใส เจิดจรัสเสียยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องฟ้า บัดนี้แดงก่ำ รอบดวงตาบวมช้ำ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวนั้นผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เด็กหญิงตัวน้อยนางกำลังนั่งจ้องมองป้ายวิญญาณของมารดาผู้ล่วงลับที่ร่างพึ่งจะถูกฝังกลบลงผืนดินด้วยความโศกเศร้าอาดูร ภาพนั้นสร้างความเวทนาสงสารต่อบ่าวไพร่ภายในเรือน จนต้องหลั่งน้ำตาตามเจ้านายตัวน้อยอย่างไม่อาจที่จะอดกลั้น
เด็กหญิงผู้นี้มีนามว่า จ้าวหลี่เชี่ยน ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของจวนตระกูลจ้าว คุณหนูสามบุตรีของขุนนางผู้ที่กำลังเรืองอำนาจ ท่านเสนาบดีคนใหม่แห่งแคว้นต้าถัง จ้าวจ่งชิว
หลังจากกราบไหว้ป้ายวิญญาณของผู้เป็นมารดา ร่างบอบบางของสาวน้อยในวัยแรกแย้มก็เดินทอดน่องไปตามโถงทางเดินของเรือนที่นางเคยใช้ชีวิตในวัยเด็ก สายลมหนาวในเหมันต์ฤดูพัดลอดผ่านเข้ามาปะทะใบหน้างามระลอกแล้วระลอกเล่า หอบเอาความทรงจำในอดีตให้หวนกลับมาอีกครั้ง
นางผู้ได้ชื่อว่าเป็นทายาทคนหนึ่งของนายท่านตระกูลจ้าว จ้าวจ่งชิว รองเสนาบดีหนุ่มอนาคตไกลแห่งแคว้นต้าถังในขณะนั้น แต่กลับเติบโตอยู่เรือนนอกเมืองตั้งแต่เล็ก ไร้ซึ่งการเหลียวแลจากผู้เป็นบิดา
นางผู้เป็นบุตรแทบจะนับครั้งได้กับการได้เจอหน้ากันกับบิดา และทุกครั้งที่พบเจอกันนั้น มันช่างดูห่างเหินเย็นชาราวกับคนแปลกหน้า ไร้ซึ่งความเมตตาเอ็นดูในดวงตาของชายผู้ให้กำเนิด มีเพียงความเกลียดชังที่นางสัมผัสได้
ความเกลียดชังที่นางเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
ตั้งแต่จำความได้ข้างกายของนางมีเพียงมารดาที่มีตำแหน่งเป็นภรรยารองของบิดา นางรับรู้เพียงเท่านั้น ถึงแม้จะเคยถามมารดาว่าเหตุใดมารดาจึงต้องอยู่ที่นี่ เหตุใดพวกนางถึงไม่อยู่ร่วมกันกับบิดาที่จวนตระกูลจ้าว แต่นางก็ไม่เคยได้รับคำตอบ มีเพียงนัยน์ตาโศกเศร้าของมารดาเท่านั้นที่ตอบกลับมา นั่นจึงทำให้นางไม่อยากที่จะทราบถึงสาเหตุอีก
นางและมารดาอาศัยอยู่ในเรือนนอกเมืองแห่งนี้โดยมีกฎข้อห้ามสารพัด ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้เป็นเช่นนั้น นางคิดว่ามันคล้ายดังกรงขังเสียมากกว่า เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนของผู้อื่น ห้อมล้อมไปด้วยป่าไผ่และถูกขวางกั้นไว้ด้วยกำแพงอิฐสูงอีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งยังมีคนของบิดาคอยเฝ้าอย่างแน่นหนา คนในเรือนไม่สามารถออกไปนอกอาณาเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้ที่จะอนุญาตให้ก้าวเท้าออกจากเรือนได้มีเพียงผู้เดียวคือผู้เป็นบิดาเท่านั้น
ซึ่งนางและมารดาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ย่างเท้าออกจากเรือน หากจะกล่าวให้ถูกต้องคงเป็นมารดาของนางเสียมากกว่าที่ไม่เคยที่จะย่างเท้าออกจากเรือน ส่วนตัวของนางนั้นมักจะลอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกเรือนอยู่เสมอ
แต่เรือนแห่งนี้กลับเป็นที่เดียวที่นางเรียกมันว่า บ้าน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายเกี่ยวกับมารดาผู้เป็นที่รัก เรือนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
นางเมื่อครั้งยังเป็นเพียงแค่เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเล่นไปรอบๆ เรือนอย่างสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่งความหดหู่โศกเศร้าก็ได้ปกคลุมไปทั่วเรือน เมื่อนายหญิงของเรือนจากไปไม่มีวันกลับ นายหญิง ว่านจื่อ จากไปแล้ว ทิ้งบุตรสาวตัวน้อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องเผชิญกับชะตากรรมเพียงลำพัง เด็กหญิงที่เคยสดใสร่าเริง เฉลียวฉลาด ช่างพูดช่างเจรจา เป็นที่รักของทุกคนในเรือน กลับกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมเก็บเนื้อเก็บตัว
นางยังจำได้ดีไม่มีวันลืม ในปีที่นางอายุครบเจ็ดขวบ ภายในเรือนวันนั้นร้อนระอุไปด้วยไฟแห่งอารมณ์ บิดามารดาของนางมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง นางได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของมารดาแต่กลับไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือมารดาได้ ในวันนั้นมีคนของบิดาเต็มไปหมด
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดา หลังจากบิดากลับไปนางรีบเข้าไปหามารดา กอดกายสั่นเทาของท่านเอาไว้แน่น นางไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายบนร่างกายของมารดา แต่ท่านกลับร้องไห้ออกมาราวกับเจ็บปวด
ในดวงตาคู่ที่เหมือนกันกับนางราวกับถอดแบบออกมาปรากฏร่องรอยของความเจ็บช้ำ มันเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ เสียใจ โหยหา และคิดถึง มันปะปนกันจนนางรู้สึกสับสน แต่สิ่งที่นางมั่นใจว่าตนนั้นมองไม่ผิด คือความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่มารดามีให้ผู้เป็นบิดาอย่างแน่นอน
แล้วมารดาก็ล้มป่วยลงตั้งแต่บัดนั้น ท่านกลายเป็นคนซึมเศร้า มักจะร้องไห้ไม่ยอมพูดจาและเหม่อลอยอยู่เสมอ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งปีมารดาก็จากไป
เมื่อสิ้นมารดาภายในเรือนราวกับมีเมฆดำเข้ามาปกคลุม และนางก็ได้รู้ว่าความสูญเสียครั้งใหญ่นั้นมันหาใช่จุดสิ้นสุดของความทุกข์ทรมานของนาง แต่มันเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น
หลังจากมารดาจากไปบิดาก็รับนางกลับเข้าสู่จวนตระกูลจ้าว กลายเป็นคุณหนูสามจ้าวหลี่เชี่ยนผู้น่าสงสารที่อาภัพต้องกำพร้ามารดา
เรือนแห่งนี้ถูกปิดตาย ป้ายวิญญาณของมารดาถูกทิ้งเอาไว้ให้โดดเดี่ยว ข้ารับใช้เก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์ต้องไปเป็นบ่าวใช้แรงงานในจวนตระกูลจ้าว
นางจะโดดเดี่ยว จะลำบากได้เช่นไร แม้สิ้นมารดาแต่บิดาคือผู้ที่มากด้วยอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตนางมันต้องน่าอิจฉาเสียมากกว่าน่าสงสาร ใครหลายคนอาจจะคิดเช่นนั้น
แต่ไหนเลยใครจะรู้ ว่าตำแหน่งคุณหนูสูงศักดิ์ที่ผู้คนอิจฉานั้น แท้จริงแล้วมันเป็นแค่เพียงเปลือกนอก เป็นหน้ากากที่ต้องสวมเท่านั้น ความสุขในฐานะคุณหนูสามของจวนมันไม่มีอยู่จริง
เด็กหญิงที่ผู้คนต่างอิจฉาริษยาในวาสนา เพราะได้กลายมาเป็นบุตรสาวของขุนนางมากอำนาจ ท่านเสนาบดีคนใหม่ของแคว้นต้าถัง
นางไม่รู้ว่าภายนอกนั้นเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าแคว้นต้าถังถูกปกครองด้วยฮ่องเต้พระองค์ใหม่ และบิดาของนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีแห่งแคว้น
ภายในจวนอันใหญ่โตโอ่อ่า จ้าวหลี่เชี่ยนกลับเป็นเพียงตัวกาลกิณีของตระกูล ถูกคนในจวนตั้งแง่รังเกียจ บิดาเกลียดชังและกราดเกรี้ยวทุกครั้งยามเห็นหน้านาง นางต้องใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีปากเสียง แม้กระทั่งบ่าวไพร่ในจวนก็ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง กลายเป็นที่รองรับอารมณ์รองมือรองเท้าให้บรรดาเหล่าพี่สาวน้องสาวต่างมารดาบุตรของฮูหยินเอกและอนุของบิดา นางมักจะถูกกลั่นแกล้งจากคนเหล่านั้นอยู่เสมอ ชีวิตของนางต้องอยู่บนความหวาดผวาและหวาดกลัว
แล้วเด็กหญิงผู้น่าอิจฉาผู้นั้นก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
นางใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลจ้าวตั้งแต่อายุย่างเข้าแปดขวบ ได้รับการเลี้ยงดูโดย แม่นมผิง บ่าวคนสนิทของมารดาผู้ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อนาง ใช้ชีวิตตามแบบแผนที่ผู้เป็นบิดาขีดเอาไว้ วันเวลาล่วงเลยจนกระทั่งนางจะมีอายุครบสิบห้าปีเต็มในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางจึงใช้โอกาสนี้ร้องขอต่อฮูหยินเฒ่าผู้มีศักดิ์เป็นท่านย่าของนางที่พอจะมีเมตตาต่อนางอยู่บ้าง กลับมาเคารพป้ายวิญญาณของมารดาก่อนที่จะปักปิ่น
เวลาเจ็ดแปดปีในตระกูลจ้าวสอนให้นางกลายเป็นสตรีที่เข้มแข็งและรู้จักอดทน เปลี่ยนเด็กหญิงไร้เดียงสาให้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น
จ้าวหลี่เชี่ยนหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า มือเรียวกระชับเสื้อคลุมตัวหนาที่ห่อหุ้มกายบางแน่นขึ้น เมื่ออากาศหนาวเย็นจากข้างนอกพัดโชยผ่านเข้ามากระทบกาย อยากซึมซับช่วงเวลาสงบสุขที่ตลอดแปดปีในตระกูลจ้าวไม่เคยได้พานพบให้นานขึ้น
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ทำได้เพียงมองไปรอบๆ เรือนแห่งนี้ที่ดูเก่าทรุดโทรมลงไปมากเลยทีเดียว ดวงตากลมโตหวานซึ้งทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังมีหิมะโปรยปรายบางเบา อีกไม่นานก็จะสิ้นสุดฤดูหนาวที่แสนจะทรมานนี้ ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่กำลังจะมาเยือน อีกไม่กี่วันจะถึงวันปักปิ่นของนาง นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผ่านพ้นวันปักปิ่นนี้ไป ชีวิตของนางจะได้เริ่มต้นใหม่ เช่นดังต้นไม้ที่ทิ้งใบเสมือนตายไปแล้ว แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็ผลิใบใหม่และลำต้นได้ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เมื่อผ่านพ้นการปักปิ่น ชีวิตหลังจากนั้นย่อมหมายถึงการแต่งงานออกเรือน นางวางแผนจะใช้เรื่องนี้พาตัวเองออกจากสถานที่อันเหน็บหนาวเช่นจวนตระกูลจ้าว หากไร้วาสนาไม่พบเจอบุรุษที่พึงใจก็เพียงหาบุรุษธรรมดาสักคนหนึ่งมาแต่งด้วยแล้วหย่าขาดภายหลัง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง ซึ่งแน่นอนว่าบิดาย่อมไม่ยินยอมให้นางแต่งให้บุรุษที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขา หมากที่เขาอุตส่าห์ทนชุบเลี้ยงมาจะปล่อยไปโดยง่ายโดยไม่ได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาได้อย่างไรกัน เขาย่อมที่จะให้นางตบแต่งกับผู้ที่เขาเลือกและนางยังต้องเป็นเบี้ยให้เขา แต่หากนางสร้างเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นบิดาไม่อาจที่จะปฏิเสธเล่า คนผู้นั้นที่เกลียดชังนางเป็นทุนเดิมคงรีบขับไล่นางออกจากตระกูลของเขาแทบไม่ทันเป็นแน่
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ"เสียงอันคุ้นเคยของบ่าวคนสนิทดังขึ้น ทำให้ผู้ที่กำลังวาดฝันถึงอนาคตละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันกลับมามองบ่าวคนสนิทผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์ถิงถิง เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนาง อดีตเด็กหญิงกำพร้าตัวผอมบาง ใบหน้าซูบตอบสกปรกมอมแมม เด็กหญิงที่มารดารับเข้าเรือนมาเพราะความเวทนาสงสารจ้าวหลี่เชี่ยนรู้สึกถูกชะตากับถิงถิงตั้งแต่แรกเห็น หลังจากนั้นอีกฝ่ายจึงกลายมาเป็นเพื่อนเล่นและบ่าวข้างห้องให้กับนาง ต่อมาก็กลายเป็นผู้พิทักษ์ เป็นผู้ที่คอยปกป้องนางมาตลอดตั้งแต่มารดาได้จากไป และเพราะปกป้องนางจึงทำให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในจวนอย่างยากลำบากตลอดมาทว่าตอนนี้ถิงถิงตัวน้อยได้กลายเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามมากเลยทีเดียว สำหรับนาง ถิงถิงไม่ใช่เพียงแค่บ่าวรับใช้ แต่อีกฝ่ายเป็นดั่งสหายสนิท เป็นดั่งพี่น้อง เป็นคนที่นางรักและไว้ใจมากที่สุดเทียบเท่ากับแม่นมผิง"มีอันใดหรือถิงถิง"จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยถามเด็กสาวที่เติบโตมาพร้อมกับนางด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางอึดอัดคับข้องใจ"ก็เจ้าบ่าวหน้าเหม็นผู้นั้นน่ะสิเจ้าคะ ทั้งๆ ที่เราพึ่งจะมาถึงกันได้ไม่นานแท้ๆ แต่กลั
ในเช้าวันที่อากาศเริ่มจะสดใส หิมะที่โปรยปรายมาอย่างยาวนานหยุดตกไปได้หลายวันแล้ว ลำแสงแรกแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูสาดส่องลงมากระทบยอดหญ้าที่แตกยอดใหม่ดูงดงามจับตาและในเช้าวันนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนต้องแปลกใจ เมื่อมีคำสั่งจากบิดาให้นางย้ายออกจากเรือนร้างท้ายจวนแห่งนี้ไปยังเรือนเหลียนฮวาที่กว้างขวางและงดงาม อีกทั้งยังมอบอาภรณ์และเครื่องประดับล้ำค่ามาให้นางมากมาย ให้อิสระในการออกนอกจวนกับนาง บ่าวรับใช้ของมารดาถูกส่งกลับมาให้รับใช้นาง รวมถึงส่งบ่าวรับใช้อีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้นางเทียบเท่ากับบุตรคนอื่นๆ แต่นางคิดว่าส่งมาเพื่อจับตาและควบคุมนางต่างหาก"เกิดอะไรขึ้น"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายดังจะถามตัวเองเสียมากกว่าถิงถิงสบสายตากับผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าน้อยๆ อย่างจนปัญญา คาดเดาไม่ถูกถึงการกระทำทั้งหมดของท่านเสนาบดีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของผู้เป็นนาย นางที่เติบโตมาพร้อมกับคุณหนู อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลาย่อมรับรู้สิ่งที่ผู้เป็นนายต้องเผชิญ รับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติและไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรงแต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู ปกป
หลังจากพิธีปักปิ่น ชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนสุขสบาย นางได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเช่นดังคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งแต่สิ่งที่ทำให้นางไร้ความสุข คือบรรดาแม่สื่อที่ถูกส่งมายังจวนตระกูลจ้าว นางหวั่นเกรงทุกครั้งที่มีผู้มาทาบทามสู่ขอ แต่ก็นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางที่คุณหนูใหญ่ของจวนยังไม่ได้ออกเรือน นั่นจึงเป็นข้ออ้างที่บิดาของนางใช้ตอบกลับไป ทั้งที่ความจริงแล้วยังไม่มีผู้ใดที่เข้าตาและมีผลประโยชน์ตรงตามที่เขาต้องการต่างหากวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนให้สตรีที่ไร้ตัวตนในจวนตระกูลจ้าว สตรีผู้ที่ถูกผู้คนลืมเลือน บัดนี้นางได้กลายเป็นยอดพธูของเมืองหลวง เป็นสตรีที่ถูกขนานนามว่างดงามเป็นหนึ่ง ความงามลือเลื่องจนเป็นที่กล่าวขาน มีบุรุษมากมายที่หมายปองนาง รวมถึงบุรุษที่นางคิดเสมอว่าเขาอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับนาง บุรุษที่สายตาของนางมักจะมองดูเขาเสมอยามอีกฝ่ายมาเยือนจวนตระกูลจ้าว"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ว่ามันเหมาะสมกับเจ้า เจ้า งดงามมาก"เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังขึ้นด้านหลังทำให้โฉมงามที่กำลังชื่นชมความงดงามของหมู่มวลบุปผาต้องหันกลับไปมองบุรุษผู้มีรูปร่างหน้
"คุณหนูเจ้าคะ"เสียงเรียกของบ่าวคนสนิทที่ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่จมอยู่กับความฝันเมื่อคืนนี้ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้างามนั้นไม่ใคร่จะสดใสนัก เมื่อคืนนางฝันร้าย ในฝันนั้นรอบกายของนางปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาจนมองไม่เห็นสิ่งใด มองเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง เขาเดินเข้ามาหานางอย่างคุกคาม แต่นางกลับไม่อาจที่จะหลีกหนีได้ ราวกับทั้งร่างของนางถูกพันธนาการเอาไว้ นางถูกคนผู้นั้นใช้มีดอันคมกริบกรีดลงมาบนหัวใจ โลหิตสีแดงพุ่งทะลักออกมาอย่างน่ากลัว ในฝันนั้นนางทั้งเจ็บปวดและรู้สึกหวาดกลัว หัวใจของนางบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก นั่นจึงทำให้เช้าวันนี้ของนางไม่สดใสอย่างที่ควร นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนักราวกับมันมีลางบอกเหตุ"มีอะไรเช่นนั้นหรือถิงถิง"เสียงหวานที่ฟังดูอ่อนแรงเอ่ยถามคนสนิท"คนจากเรือนใหญ่มาแจ้งว่าท่านเสนาบดีเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ"ถิงถิงรายงานผู้เป็นนายของตนทันทีหลังจากที่ก้าวเข้ามาทรุดกายลงใกล้ๆ มองนายของตนอย่างเป็นห่วงนางรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ รับรู้มาว่าวันนี้ท่านเสนาบดีถูกเรียกให้เข้าวังตั้งแต่รุ่งสาง และทันทีที่กลับมาจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เรียกหาคุณหนูของนางทันที นั่นยิ่งทำให้นางมั่
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสทุกครายามที่แหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง ในวันนี้กลับมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน มันมืดดำจนดูน่ากลัว พาให้หมู่มวลบุปผางามรอบกายที่มักจะชูช่อเบ่งบานอย่างงดงามดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา คล้ายดังชีวิตของนางในตอนนี้จ้าวหลี่เชี่ยนเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องหน้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนด้วยดวงใจที่บอบช้ำ รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะแหลกสลาย นางช่างโง่งมนัก โง่งมจริงๆ ที่หลงมัวเมาในรักจนโดนบุรุษผู้นั้นหลอกลวง เหยียบย่ำดวงใจจนแหลกเหลวการถูกบิดาใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นหมากในการแสวงหาอำนาจไม่เจ็บเท่าโดนบุรุษทำให้เจ็บช้ำใจ นางช่างน่าขันเสียจริงจ้าวหลี่เชี่ยนหัวเราะออกมาทั้งที่หยาดน้ำตานั้นไหลอาบแก้ม ตั้งแต่วันนั้นน้ำตาของนางยังคงไม่หยุดไหลยามเมื่อคิดถึงคนผู้นั้น จากผู้ที่มอบรอยยิ้มให้นางกลับกลายเป็นผู้ที่ทำให้นางมีน้ำตาเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล เอ่ยออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย"ถิงถิงบอกแล้วอย่างไรว่าข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"นางไม่อยากให้ถิงถิงเห็นน้ำตา รู้ดีว่าอีกฝ่ายรักและเป็นห่วงนางมากแค่ไหน รู้ดีว่าตนนั้นทำให้คนที่รักและหวังดีกับนางนั้นทุกข์ใจเพียงใด แต่ความเงี
จ้าวหลี่เชี่ยนวิ่งฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่สนใจว่ามันอาจจะทำให้นางล้มป่วย นางขอเพียงแค่ไปให้พ้นจากคนผู้นั้นโดยเร็วที่สุดก็พอแล้วหัวใจของนางเจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนัก นางรู้สึกสับสนไปหมด ไม่อาจที่จะสลัดคนผู้นั้นออกจากความคิดได้เลยฝ่ามือเล็กกอบกุมหัวใจที่ปวดร้าวจนเจ็บแน่น นางไม่อาจทนแบกรับความผิดหวังและเสียใจนั้นได้ไหว เพียงก้าวเข้ามาในเรือน ร่างบอบบางก็อ่อนปวกเปียกทรุดฮวบลงกับพื้นรอบกายมืดมนไปหมด นางหมดสติไปด้วยความโศกเศร้าที่ท่วมท้นหยาดน้ำตายังคงนองใบหน้าเมื่อฟื้นคืนสติจ้าวหลี่เชี่ยนพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในเรือนของนางเอง แต่ทันทีที่ลืมตาขึ้นเสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยเรียกนางพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นเข้ามากอบกุมมือของนางเอาไว้"คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีกครั้ง ความรักความห่วงใยและร่องรอยความโศกเศร้าในดวงตาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกผิด"แม่นมผิง ข้าขอโทษเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ"จ้าวหลี่เชี่ยนลุกขึ้นนั่งตามการประคองของสตรีที่ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า ใบหน้าซีดขาวนั้น
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวเป็นเสียยิ่งกว่านักโทษ นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนเหลียนฮวาไม่ให้พบผู้ใด รอวันที่ราชโองการมาถึงนางก็จะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงทันทีวันนี้นางได้ย่างเท้าออกจากเรือนเหลียนฮวาเป็นครั้งแรก เนื่องจากฮูหยินเฒ่ารู้สึกเวทนาจึงเรียกให้มาสนทนาและรับประทานอาหารร่วมกันที่เรือนใหญ่ นางจึงได้รู้ว่าแม่นมผิงนั้นยังถูกกักขังส่วนถิงถิงนั้นถูกขายออกไป นั่นจึงทำให้นางรู้สึกเศร้าโศกและเป็นกังวล จึงได้ลอบให้บ่าวที่เป็นคนของมารดาตามหาถิงถิงวันนี้ทั้งวันจ้าวหลี่เชี่ยนยังคงคอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินเฒ่า และอีกฝ่ายนั้นเกิดอยากจะกินแกงไหลบัวขึ้นมา ถงฮูหยิน ฮูหยินใหญ่ตระกูลจ้าวลูกสะใภ้ผู้กตัญญูจึงโยนหน้าที่นั้นให้นางและบุตรสาวของตน โดยให้เหตุผลว่าหากนางได้ทำอะไรเสียบ้างนางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งแน่นอนจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งนาง ถึงแม้ว่าพอจะทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นงานกันรุนแรงถึงเพียงนี้คุณหนูใหญ่จ้าวเสวี่ยเฟย ผู้เป็นพี่สาวนั้นเกลียดชังนางไม่ต่างจากฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา หากมีโอกาสย่อมไม่พลาดที่จะกลั่นแกล้งให้นางต้องเจ็บตัว
วังหลวงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในวันนี้ดูอู้ฟู่งดงามตระการตาขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะวันนี้มีพิธีการอันยิ่งใหญ่คือการสถาปนาฮองเฮาของแผ่นดินพระองค์ใหม่ หลังจากที่บัลลังก์หงส์ว่างเว้นมานาน ในที่สุดก็มีสตรีที่สามารถกุมพระทัยผู้ครองแคว้นแม้วังหลังจะเต็มไปด้วยเหล่าสนมและหญิงงามมากมายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ถูกเลือก ไม่อาจที่จะได้ครอบครองบัลลังก์หงส์ แต่สตรีที่จะได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดอยู่เหนือสตรีทั้งปวงกลับเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งสตรีโฉมงามวัยเพียงสิบหกปี สตรีผู้ที่มีใบหน้างดงามปานล่มเมือง นางคือฮองเฮาพระองค์ใหม่องค์ที่สองในรัชศกนี้คันฉ่องทองคำบานใหญ่สูงจรดเพดาน สะท้อนให้เห็นเงาร่างของสตรีผู้มีความงามพิสุทธิ์ งดงามเย้ายวนราวกับนางจิ้งจอก เรือนร่างสะโอดสะองอยู่ในชุดอาภรณ์ล้ำค่าควรเมือง อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตชุดตัวในคือผ้าไหมเรียบลื่นสีแดงสด ผ้าไหมที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปีถึงจะได้เส้นไหมเพียงพอมาถักทอเป็นผืนผ้าขึ้นมาได้หนึ่งผืน อาภรณ์ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อได้สวมใส่ บัดนี้ห่อหุ้มอยู่บนเรือนร่างอวบอิ่มขาวนวลเนียนราวกับน้ำนม คลุมทับด้วยชุดพระ
ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า เปล่งแสงสีทองอันอบอุ่นผ่านหน้าต่างห้องนอนของจวนขนาดกลางที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอันเงียบสงบ จวนซึ่งมีความทรงจำในวัยเยาว์ของหญิงสาว ขณะที่คู่สามีภรรยานั่งด้วยกันอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นของธรรมชาติเบื้องหน้า เสียงวิหคที่พากันโบยบินกลับรวงรังร้องขับขานดังเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานก้องอยู่บนท้องนภา ช่อดอกไม้สีสันสดใสที่ประดับอยู่ในแจกันส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วห้อง ในสถานที่อันเรียบง่ายแห่งนี้ คือสถานที่อันแสนสุขของทั้งสอง เหอไป๋เหยียนตระกองกอดเรือนร่างหอมกรุ่นของภรรยาที่เอนซบไออุ่นจากอกแกร่งของเขาด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ข้างๆ กันนั้นมีเปลนอนเด็กอ่อนที่ด้านในนั้นทารกเพศหญิงใบหน้ากลมป้อมวัยห้าเดือนกำลังนอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดตัดกับผิวขาวผ่องฟูนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าแม่หนูน้อยคนงามกำลังหลับฝันดี ช่างดูน่ารักน่าชังจนผู้เป็นบิดาจ้องมองด้วยความรักใคร่หลงใหล มือใหญ่ของผู้เป็นบิดาคอยแกว่งไกวเบาๆ ยามนี้บริเวณรอบๆ จวน โคมไฟสีเหลืองนวลถูกจุดให้ความสว่าง สองสามีภรรยาที่ยังคงตระกองกอดกันอยู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว มือของพวกเขาประ
เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น บ้านเมืองที่เดิมนั้นชาวบ้านชาวเมืองยากไร้อดอยากคงจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อฝ่าบาท องค์รัชทายาทและเหล่าขุนนางที่เหลือเพียงขุนนางน้ำดีต่างร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นอย่างเร่งด่วน ทรัพย์สมบัติที่ยึดมาจากเหล่าขุนนางชั่วช้า โกงกิน ที่ร่วมกับฝั่งกบฏถูกยึดเข้าท้องพระคลังทั้งหมด ก่อนจะถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน เหล่าชาวบ้านที่ไร้อาชีพและไร้ที่ทำกินจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้อย่างยุติธรรม และหากตรวจพบว่ามีการทุจริตก็มีข้อกำหนดโทษเอาไว้สูงสุดและไม่มีข้อยกเว้น การปราบกบฏครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระล้างอำนาจมืด ขุดรากถอนโคน คนโกง คนชั่วครั้งใหญ่ แม้ว่าจะไม่หมดไปทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าคนเหล่านั้นต่างเก็บมือเก็บไม้ ไม่โผล่หางออกมาระรานผู้คนส่วนเรื่องราวภายในวังหลวงตอนนี้ องค์หญิงใหญ่เฉินหลี่เชี่ยน ก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วแม้ตอนนี้นางจะคืนสู่ฐานันดร แต่นามของนางยังคงเดิม เปลี่ยนก็เพียงแค่แซ่เท่านั้น เพราะนามหลี่เชี่ยนเป็นนามที่มารดาเป็นผู้ตั้งให้ นางมีเพียงสิ่งนี้ที่ให้ระลึกถึงมารด
ความจริงที่ได้รับรู้สร้างความตกตะลึงให้กับเหอไป๋เหยียนเป็นอย่างมาก เขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมามากมาย แต่เขากลับยังซ้ำเติมใจร้ายใจดำกับนาง ทำร้ายจิตใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า"เฉิงซีหมิง เจ้าอย่าได้คิดว่าจะได้บุตรสาวเจ้ากลับคืน ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย ทนมองสายเลือดของเจ้าขาดใจตายไปต่อหน้า ข้าจะพานางไปพบกับมารดาของนาง จะพานางไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับว่านจื่อในปรโลก""จ่งชิว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ปล่อยนางไป หากเจ้าปรารถนาชีวิตของข้า ข้าก็จะให้เจ้า"ฮ่องเต้เฉิงซีหมิงตรัสออกมาด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนขอต่อผู้ที่เคยเป็นสหาย มองดูสายเลือดของตนอย่างรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องนางได้"ฮ่าฮ่าฮ่า เฉิงซีหมิงความตายสำหรับเจ้านั้นมันง่ายดายเกินไป ข้าปรารถนาให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่า"จ้าวจ่งชิวดึงกริชรูปทรงงดงามล้ำค่าที่เขาเตรียมเอาไว้สำหรับการนี้ออกมา หันปลายแหลมคมของมันเข้าหาตำแหน่งหัวใจของสตรีที่เขาเฝ้ามองนางมาตั้งแต่เล็ก ดวงตาแข็งกร้าวนั้นแดงก่ำจนดูน่ากลัวจ้าวหลี่เชี่ยนร่ำไห้ตัวสั่นเทา มองปลายกริชวาววับนั้นด้วยความหวาดกลัว จิตใจขอ
จ้าวจ่งชิวหันมาเผชิญหน้ากับบุรุษสูงศักดิ์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายของเขา แต่ตอนนี้ระหว่างเขากับคนผู้นี้ไม่อาจที่จะยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้อีกแล้ว"พอได้แล้วจ้าวจ่งชิว เจ้าแค้นเคืองเกลียดชังข้าก็ไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง"ฮ่องเต้เฉินซีหมิงเอ่ยกับคนตรงหน้า สายพระเนตรเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจจ้าวจ่งชิวแสยะยิ้มให้กับคำกล่าวนั้น เขากระชากร่างเล็กของสตรีที่ยืนสั่นเทาร่างกายโงนเงนเข้าหาตัว ฝ่ามือหยาบยกขึ้นบีบปลายคางเล็กๆ นั้นให้หันไปทางบุรุษทั้งสองที่ทำลายชีวิตเขาจนพังพินาศภาพนั้นสร้างความเจ็บปวดใจให้คนทั้งสองที่กำลังจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง แต่ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยเหลือเหอไป๋เหยียนกำมือเข้าหากันแน่น ลอบส่งสัญญาณให้คนของเขารอจังหวะจู่โจมอีกฝ่าย สายตานั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าซีดขาว จ้องมองนางด้วยความเจ็บร้าวในอก บอกนางผ่านแววตาให้นางอดทน ให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา"ผู้ใดกันที่ไม่เกี่ยวข้อง เด็กคนนี้หรือ"ฮ่าฮ่าฮ่า"เด็กที่เกิดจากการทรยศของพวกเจ้าน่ะหรือที่ไม่เกี่ยวข้อง"จ้าวจ่งชิวหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตด้วยความเจ็บปวดเขาและว่านจื่อนั้นเติบโตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนเล่นกันม
ทางฝั่งของบุรุษนั้นก็มีการปะทะเกิดขึ้นเช่นกัน มีนักฆ่าบุกเข้ามาเพื่อที่จะสังหารฮ่องเต้ แต่ทุกอย่างกลับถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วเหอไป๋เหยียนให้ทหารองครักษ์คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทกลับไปยังที่พักอย่างปลอดภัย ส่วนเขานั้นเข้าปะทะกับเหล่านักฆ่าและสังหารพวกมันจนหมดสิ้นสายตาคมกล้ากวาดมองซากศพด้วยความเคร่งเครียด เขายังคงไม่คลายความระมัดระวังลง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าทุกอย่างมันดูง่ายดายเกินไป นักฆ่าที่ถูกส่งมานั้นไร้ฝีมือจนถูกกำจัดได้โดยง่ายจนน่าฉงน อีกทั้งจ้าวจ่งชิวยังคงไม่ปรากฏตัว ราวกับว่าการลอบสังหารในครั้งนี้เป็นการถ่วงเวลาเสียมากกว่า แต่มันต้องการถ่วงเวลาจากสิ่งใดกันแต่แล้วเสียงฝีเท้าม้าที่มุ่งตรงมาทางพวกเขาทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักลง ใบหน้าขององครักษ์ผู้นั้นทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบเพราะคนผู้นี้คือองครักษ์ที่เขาส่งไปคุ้มครองจ้าวหลี่เชี่ยน"ท่านแม่ทัพขอรับ""เสนาบดีจ้าวจ่งชิวจับตัวคุณหนูจ้าวและคุณหนูตู้ไปขอรับ"ฟังคำรายงานทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง สตรีนางนั้นร่วมมือกับบิดาของนางเพื่อจะหลบหนีไป หรือว่านางถูกจับตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่จ้าวจ
"ยังไม่มีคนจากในวังติดต่อมาหรือ""เอ่อ ไม่มีขอรับ" ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ผ่านไปร่วมเดือนแล้วที่เขาเฝ้าถามคำถามนี้ สตรีนางนั้นเมินเฉยต่อคำขอของเขา ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำกล่าวใดจากปากนาง ไม่แม้แต่จะยอมพบหน้ากัน เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางมันจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วเสียอีก นางกล่าวว่าเขาใจร้าย แต่นางเองก็ใจร้ายกับเขาเช่นกัน เขายอมนางถึงเพียงนี้แล้ว นางยังเมินเฉยต่อเขา ไม่คิดจะกลับมาหาเขา ไม่คิดจะมีเขาร่วมทาง"ท่านแม่ทัพขอรับ คนเสนาบดีจ้าวมีความเคลื่อนไหวขอรับ"คำรายงานนั้นทำให้แผ่นหลังกว้างเหยียดเกร็งขึ้น รับกระดาษแผ่นเล็กจากคนสนิทเหอไป๋เหยียนกวาดตามองจดหมายฉบับนั้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย็น ดวงตาคมกริบทอประกายโหดเหี้ยม ที่แท้เจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นก็รอที่จะลงมือในพิธีล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด แต่คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้มันผู้นั้นกระทำตามใจ"เตรียมคนเอาไว้ให้พร้อม"ขบวนเสด็จเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ใช้ในการจัดพิธีล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในทุกปีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ซึ่งถือเป็นฤกษ์มงคลในการออกเดินทาง ผู้คนต่างเบียดเสียดกันออกมาเพื่อต
สัมผัสนุ่มละมุนที่กำลังคลอเคลียใบหน้า ทำให้ผู้ที่หลับใหลรู้สึกตัวตื่นขึ้น พอลืมตาขึ้นมองก็พบกับเจ้าขนปุกปุยสีขาวอ่อนนุ่มที่กำลังคลอเคลียแก้มนางและราวกับรู้ว่านางนั้นลืมตาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยนี่ก็หันมาจ้องมองนางตาแป๋วส่งเสียงร้องทักทายอย่างออดอ้อน เหมียว...."เจ้าตัวน้อย มาจากไหนกันหืม"จ้าวหลี่เชี่ยนยันกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าจับเจ้าแมวแปลกหน้าหน้าตาน่ารักขึ้นอุ้ม นางไม่เคยเห็นแมวที่นี่มาก่อน ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันเพราะผู้เป็นบิดาไม่ชมชอบสัตว์หน้าขน ถึงแม้ว่าจะอยากเลี้ยงเพียงไรก็ไม่เคยได้รับอนุญาต แมวตัวนี้คงจะพลัดหลงมาเป็นแน่ ป่านนี้เจ้าของของมันคงจะเป็นห่วงและออกตามหา เพราะดูแล้วมันคงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี"เจ้าแอบหนีมาเที่ยวเล่นหรือ รู้หรือไม่ว่าผู้เป็นเจ้าของจะเป็นห่วง"เหมียว...เจ้าแมวน้อยราวกับรู้ความซบหัวถูไถกับมือของนางอย่างน่าเอ็นดู หลังจากเล่นกับแมวน้อยอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกหิวขึ้นมา เมื่อคืนนี้นางถูกคนชั่วนั่นรังแกจนหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังนอนร้องไห้จนหลับไป ไม่แปลกที่จะรู้สึกหิวเช่นนี้"เจ้าหิวแล้วหรือยังเจ้าแมวน้อย รอข้าสักครู่ประเดี๋ยวข้าจะหาอะไรให้เจ้ากินนะ"เหมียว...."น
ภาพโฉมสะคราญในอาภรณ์ตัวในบางเบา สัดส่วนโค้งเว้าของสตรีงดงามวูบไหวอยู่ภายใต้แสงนวลของเปลวเทียนที่ส่องสลัว กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อบอวลอยู่รอบตัวของนาง ช่างยั่วยวนและล่อลวงบุรุษให้หลงใหลได้เป็นอย่างดีบุรุษผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจ้องมองโฉมสะคราญที่ทำให้เขาแทบจะคลั่งตาย สตรีที่กล้าเมินเฉยต่อเขา สตรีอวดดีที่เขาไม่สามารถลบนางออกไปจากใจได้สีกที เพียงแค่คิดว่าหากนางต้องกลายเป็นของบุรุษอื่นเขาก็แทบจะทนไม่ไหวจ้าวหลี่เชี่ยนที่กำลังเตรียมตัวจะเข้านอน จำต้องชะงักมือที่กำลังจะดับเทียนเมื่อรับรู้ได้ถึงเงาร่างไหววูบที่เคลื่อนไหวอยู่ทางด้านหลัง แต่ทว่ารู้ตัวตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่อาจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของผู้ที่เข้ามาประชิดทางด้านหลังตะครุบปิดปากของนางเอาไว้"อื้อ อื้อ"ดวงตาตื่นตระหนกกลอกกลิ้งไปมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ไม่คาดคิดว่าเวรยามแน่นหนาเช่นนี้ยังมีผู้บุกรุกเข้ามาได้ คนผู้นี้สามารถรอดสายตาเหล่าองครักษ์มากมายเข้ามาได้อย่างไร และต้องการสิ่งใดจากนาง นั่นเป็นคำถามที่วกวนอยู่ในหัวแต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ดังชิดใบหูเล็กของนางและลมหายใจอุ่นร้อ
จ้าวหลี่เชี่ยนเปิดม่านหน้าต่างของรถม้าคันหรู ทอดตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเพลิดเพลิน ในวันนี้บรรยากาศภายนอกรถม้านั้นช่างดูงดงามเหลือเกิน มันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนที่นางเดินทางมาที่นี่ยิ่งนักในวันนี้นางกำลังเดินทางไปเคารพป้ายวิญญาณของมารดาโดยที่ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องเกรงกลัวอันตรายใดๆ เมื่อภายนอกรถม้านั้นห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์ฝีมือดีที่ฝ่าบาททรงประทานให้มาคุ้มครองนาง และยังมีข้ารับใช้อีกหลายคนที่ถูกส่งมาเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมเรือนที่มารดาและนางเคยใช้ชีวิตอยู่"คุณหนูฝ่าบาททรงมีเมตตาต่อคุณหนูเหลือเกินนะเจ้าคะ ดูสิเพียงคุณหนูเอ่ยว่าอยากจะมาเคารพป้ายวิญญาณของนายหญิงก็ทรงประทานข้าวของเงินทองและบ่าวรับใช้มามากมาย"จ้าวหลี่เชี่ยนยิ้มรับคำกล่าวนั้นของถิงถิง ตลอดหลายวันมานี้ยอมรับว่านางมีความสุขมาก ยิ่งได้สนทนากับฝ่าบาทนางยิ่งรู้สึกได้ถึงความสุขความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่ยิ่งนางมีความสุขมากเพียงไร นางก็กลัวความผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น ยอมรับว่านางกำลังมีความหวัง กำลังคาดหวังอยู่ภายในใจ เมื่อได้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ท่าทียามเมื่อฝ่าบาทเอ่ยถึงมารดามันเต็มไปด