"คุณหนูเจ้าคะ"
เสียงเรียกของบ่าวคนสนิทที่ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่จมอยู่กับความฝันเมื่อคืนนี้ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้างามนั้นไม่ใคร่จะสดใสนัก เมื่อคืนนางฝันร้าย ในฝันนั้นรอบกายของนางปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาจนมองไม่เห็นสิ่งใด มองเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง เขาเดินเข้ามาหานางอย่างคุกคาม แต่นางกลับไม่อาจที่จะหลีกหนีได้ ราวกับทั้งร่างของนางถูกพันธนาการเอาไว้ นางถูกคนผู้นั้นใช้มีดอันคมกริบกรีดลงมาบนหัวใจ โลหิตสีแดงพุ่งทะลักออกมาอย่างน่ากลัว ในฝันนั้นนางทั้งเจ็บปวดและรู้สึกหวาดกลัว หัวใจของนางบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก นั่นจึงทำให้เช้าวันนี้ของนางไม่สดใสอย่างที่ควร นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนักราวกับมันมีลางบอกเหตุ
"มีอะไรเช่นนั้นหรือถิงถิง"
เสียงหวานที่ฟังดูอ่อนแรงเอ่ยถามคนสนิท
"คนจากเรือนใหญ่มาแจ้งว่าท่านเสนาบดีเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ"
ถิงถิงรายงานผู้เป็นนายของตนทันทีหลังจากที่ก้าวเข้ามาทรุดกายลงใกล้ๆ มองนายของตนอย่างเป็นห่วง
นางรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ รับรู้มาว่าวันนี้ท่านเสนาบดีถูกเรียกให้เข้าวังตั้งแต่รุ่งสาง และทันทีที่กลับมาจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เรียกหาคุณหนูของนางทันที นั่นยิ่งทำให้นางมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ตั้งแต่เล็กจนโต คุณหนูของนางไม่เคยได้รับการต้อนรับจากคนตระกูลจ้าว ร้อยวันพันปีตั้งแต่อาศัยอยู่ที่นี่ท่านเสนาบดีไม่เคยเรียกหาคุณหนูเลยสักครั้ง ถึงแม้จะไม่ละเลยคุณหนูเช่นดังก่อนหน้า แต่ก็ยังไม่แม้แต่จะมองหน้าเสียด้วยซ้ำ เห็นทีว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
บิดาเรียกหานางเช่นนั้นหรือ
จ้าวหลี่เชี่ยนเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ถึงแม้บิดาจะเมตตาให้นางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในจวนตระกูลจ้าว แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยที่จะเรียกหานางมาก่อน
"คุณหนูใหญ่ก็ถูกเรียกให้ไปพบเช่นกันเจ้าค่ะ แล้วบ่าวยังได้ยินมาอีกว่าเย็นนี้ทุกคนถูกเรียกให้ไปรับสำรับยังเรือนใหญ่เจ้าค่ะ"
ถิงถิงเอ่ยกับผู้เป็นนายของตนในสิ่งที่ได้รับรู้มา
"มีเรื่องน่ายินดีอันใดกัน"
"บ่าวก็ไม่ทราบเช่นกันเจ้าค่ะ"
จ้าวหลี่เชี่ยนมองเห็นความกังวลในดวงตาของบ่าวคนสนิท นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลสิ่งใด
"เช่นนั้นเรารีบไปเรือนใหญ่กันก่อนเถิด"
แม้จะรู้สึกหวั่นใจเช่นกัน แต่นางก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ หากยังชักช้ากลัวว่าจะทำให้ผู้เป็นบิดาไม่พอใจขึ้นมาได้
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ถิงถิงถูกกันให้รอนางอยู่ด้านนอก ร่างบอบบางของจ้าวหลี่เชี่ยนก้าวผ่านประตูห้องโถงเข้ามายืนอยู่กลางห้อง อยู่ท่ามกลางสายตาของผู้ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"หลี่เชี่ยนคารวะท่านย่า คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ"
จ้าวหลี่เชี่ยนทำความเคารพหนึ่งบุรุษและสองสตรีต่างวัยตรงหน้าอย่างอ่อนช้อย ใบหน้างามนั้นยังคงก้มนิ่งอย่างสงบเสงี่ยม แม้ภายในอกนั้นจะรู้สึกหวาดหวั่น ด้วยไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คิดจะทำสิ่งใดกับตนเอง แม้จะพยายามเข้มแข็ง แต่นางเป็นเพียงมดปลวกตัวน้อยเท่านั้นไหนเลยจะสามารถต่อกรกับผู้ที่มากด้วยอำนาจได้
"เข้ามานี่สิ มาให้ข้าดูใกล้ๆ"
เสียงแหบแห้งของฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวผู้มีศักดิ์เป็นท่านย่าของนางเอ่ยดังขึ้น หลี่เชี่ยนก้าวเข้าไปหาหญิงชราทรุดกายลงนั่งแทบเท้าคนตรงหน้า ปลายคางมนถูกเชยขึ้นด้วยนิ้วเรียวยาวของฮูหยินเฒ่า
ดวงตาฝ้าฟางสำรวจองคาพยพบนดวงหน้างดงาม มองใบหน้ากระจ่างใสอย่างพินิจพิจารณา ใบหน้าที่มีร่องรอยแห่งวัยคลี่เป็นรอยยิ้มพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เด็กคนนี้งดงามมาก งดงามจนไร้ที่ติ นับวันความงามของเด็กคนนี้ยิ่งฉายชัดโดดเด่น
"เจ้างดงามมากจริงๆ"
จ้าวหลี่เชี่ยนฝืนยิ้มกับคำชมนั้น รู้สึกได้ว่าความงามนั้นกำลังนำภัยมาสู่นาง
การกระทำเช่นนี้ทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนยิ่งกระวนกระวายใจ เพราะมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ อีกทั้งแววตาของบิดาผู้ที่แสดงออกเสมอมาว่าชิงชังนางมันเต็มไปด้วยความพึงพอใจและสุขสมหวัง แววตาที่อีกฝ่ายไม่เคยใช้มันมองนาง นอกเสียจากว่าเขากำลังต้องการบางอย่างจากนาง นางกำลังมีผลประโยชน์กับอีกฝ่าย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงเปิดและปิดประตูด้านหลังทำให้นางจำต้องหันไปมองผู้มาใหม่ บุรุษและสตรีที่พึ่งจะก้าวเข้ามาสร้างความแปลกใจให้กับนางเป็นอย่างมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกเจ็บหน่วงข้างในอก หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเจ็บ ความสนิทสนมของคนทั้งสองทำให้นางรู้สึกราวมีมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นหัวใจของนาง นางไม่คิดว่าจะเป็นเขา บุรุษผู้ที่นางมอบใจให้เขา
คุณชายซุนเหยียน
แต่ตอนนี้เขากลับกำลังยืนเคียงข้างกับสตรีอื่น
"ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะแจ้งข่าวมงคลอันน่ายินดีให้ทุกคนทราบ"
เสียงของบิดาที่เอ่ยดังขึ้นทำให้นางละสายตาจากความสับสนและว้าวุ่นใจตรงหน้า ประโยคต่อมาทำให้ใบหน้างามเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอย่างตกตะลึง
"ฝ่าบาททรงเมตตา ปรารถนาให้เชี่ยนเอ๋อร์ของเราเป็นฮองเฮาเคียงข้างพระองค์ อีกไม่นานคงมีพระราชโองการลงมา และอีกเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเช่นกัน เฟยเอ๋อร์และคุณชายซุนจะแต่งงานกันหลังจากเชี่ยนเอ๋อร์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นฮองเฮา"
เรื่องราวที่เกิดขึ้นสร้างความยินดีให้กับทุกคน แต่สำหรับนางแล้วราวกับว่าฟ้าเบื้องหน้าของนางถล่มลงมา ผืนดินที่ยืนอยู่คล้ายดังจะสะเทือน ในหูของนางไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้ว มันอื้ออึงไปหมด ความสุขที่ผ่านมาคล้ายดังภาพฝัน
ใบหน้าหล่อเหลาคุ้นเคยของคนผู้นั้นกำลังส่งยิ้มให้สตรีข้างกายของเขา ดวงตาเรียบเฉยที่มองมายังนางทำให้นางเจ็บปวดหัวใจอย่างที่สุด เขาคล้ายดังคนที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาทำเหมือนไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ กับนาง นั่นทำให้นางรู้สึกว่าใบหน้าและหัวใจของนางชาและตายด้านไปหมด ใจของนางดุจเถ้าถ่านที่ดับมอดไป หัวใจนางคล้ายจะเจ็บปวดจนไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว การกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของคนผู้นั้นคล้ายไม่มีอยู่จริง ความหวังที่นางวาดฝันเอาไว้พังทลายลงในพริบตา
"ขอแสดงความยินดีด้วยคุณหนูสาม"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอีกฝ่ายที่เอ่ยกับนางมันช่างห่างเหินเย็นชา จนนางต้องเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากของนางมันสั่นไม่ต่างจากเนื้อตัว สองมือที่สั่นเทากำเข้าหากันแน่นจนนิ้วมือขึ้นข้อขาว ขอบตาของนางมันร้อนผ่าวไปหมด
คุณหนูสาม คุณหนูสามหรือ
หึหึหึ คุณหนูสาม หาใช่ เชี่ยนเชี่ยน ที่เขามักจะเรียกนางอย่างสนิทสนมยามเมื่ออยู่ด้วยกัน
เขาพึ่งจะจูบนาง ได้จูบแรกของนางไปแท้ๆ แต่กลับสู่ขอพี่สาวของนาง ไร้ความรู้สึกใดในดวงตาของคนผู้นี้เมื่อรับรู้ว่านางจะต้องแต่งกับชายอื่น
เขาล้อเล่นกับความรู้สึกของนางอย่างเลือดเย็น เป็นนางเองที่โง่งม เป็นนางเช่นนั้นหรือที่คิดทุกอย่างไปเอง คิดอยู่เพียงฝ่ายเดียว
ความรักที่นางมอบให้คนผู้นี้จบสิ้นลงแล้ว ความฝันความหวังทั้งหมดพังทลายลง เขาทำร้ายนางได้อย่างเลือดเย็นและเจ็บปวดอย่างที่สุด เขาไม่ใช่บุรุษผู้อบอุ่นและแสนดีผู้นั้นของนางอีกต่อไปแล้ว
บุรุษที่นางคิดว่าแสนดีที่สุดกลับกลายเป็นผู้ที่ร้ายกาจกับนางอย่างที่สุด
ถูกต้องที่สุดแล้วที่นางสมควรต้องเจ็บปวด
คนเช่นนางไม่เป็นที่ต้องการของใครมาตั้งแต่แรก แม้แต่บุรุษที่เป็นผู้ทำให้นางเกิดมายังชิงชังนาง แล้วนางยังจะหวังให้บุรุษใดมอบความรักความจริงใจให้แก่นางอีก
ดวงตาคู่งามที่มักมองเขาด้วยความรักและเทิดทูน บัดนี้มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดผิดหวัง หยาดน้ำเอ่อคลออยู่เต็มหน่วยตา
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสทุกครายามที่แหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง ในวันนี้กลับมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน มันมืดดำจนดูน่ากลัว พาให้หมู่มวลบุปผางามรอบกายที่มักจะชูช่อเบ่งบานอย่างงดงามดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา คล้ายดังชีวิตของนางในตอนนี้จ้าวหลี่เชี่ยนเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องหน้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนด้วยดวงใจที่บอบช้ำ รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะแหลกสลาย นางช่างโง่งมนัก โง่งมจริงๆ ที่หลงมัวเมาในรักจนโดนบุรุษผู้นั้นหลอกลวง เหยียบย่ำดวงใจจนแหลกเหลวการถูกบิดาใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นหมากในการแสวงหาอำนาจไม่เจ็บเท่าโดนบุรุษทำให้เจ็บช้ำใจ นางช่างน่าขันเสียจริงจ้าวหลี่เชี่ยนหัวเราะออกมาทั้งที่หยาดน้ำตานั้นไหลอาบแก้ม ตั้งแต่วันนั้นน้ำตาของนางยังคงไม่หยุดไหลยามเมื่อคิดถึงคนผู้นั้น จากผู้ที่มอบรอยยิ้มให้นางกลับกลายเป็นผู้ที่ทำให้นางมีน้ำตาเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล เอ่ยออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย"ถิงถิงบอกแล้วอย่างไรว่าข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"นางไม่อยากให้ถิงถิงเห็นน้ำตา รู้ดีว่าอีกฝ่ายรักและเป็นห่วงนางมากแค่ไหน รู้ดีว่าตนนั้นทำให้คนที่รักและหวังดีกับนางนั้นทุกข์ใจเพียงใด แต่ความเงี
จ้าวหลี่เชี่ยนวิ่งฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่สนใจว่ามันอาจจะทำให้นางล้มป่วย นางขอเพียงแค่ไปให้พ้นจากคนผู้นั้นโดยเร็วที่สุดก็พอแล้วหัวใจของนางเจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนัก นางรู้สึกสับสนไปหมด ไม่อาจที่จะสลัดคนผู้นั้นออกจากความคิดได้เลยฝ่ามือเล็กกอบกุมหัวใจที่ปวดร้าวจนเจ็บแน่น นางไม่อาจทนแบกรับความผิดหวังและเสียใจนั้นได้ไหว เพียงก้าวเข้ามาในเรือน ร่างบอบบางก็อ่อนปวกเปียกทรุดฮวบลงกับพื้นรอบกายมืดมนไปหมด นางหมดสติไปด้วยความโศกเศร้าที่ท่วมท้นหยาดน้ำตายังคงนองใบหน้าเมื่อฟื้นคืนสติจ้าวหลี่เชี่ยนพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในเรือนของนางเอง แต่ทันทีที่ลืมตาขึ้นเสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยเรียกนางพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นเข้ามากอบกุมมือของนางเอาไว้"คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีกครั้ง ความรักความห่วงใยและร่องรอยความโศกเศร้าในดวงตาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกผิด"แม่นมผิง ข้าขอโทษเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ"จ้าวหลี่เชี่ยนลุกขึ้นนั่งตามการประคองของสตรีที่ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า ใบหน้าซีดขาวนั้น
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวเป็นเสียยิ่งกว่านักโทษ นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนเหลียนฮวาไม่ให้พบผู้ใด รอวันที่ราชโองการมาถึงนางก็จะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงทันทีวันนี้นางได้ย่างเท้าออกจากเรือนเหลียนฮวาเป็นครั้งแรก เนื่องจากฮูหยินเฒ่ารู้สึกเวทนาจึงเรียกให้มาสนทนาและรับประทานอาหารร่วมกันที่เรือนใหญ่ นางจึงได้รู้ว่าแม่นมผิงนั้นยังถูกกักขังส่วนถิงถิงนั้นถูกขายออกไป นั่นจึงทำให้นางรู้สึกเศร้าโศกและเป็นกังวล จึงได้ลอบให้บ่าวที่เป็นคนของมารดาตามหาถิงถิงวันนี้ทั้งวันจ้าวหลี่เชี่ยนยังคงคอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินเฒ่า และอีกฝ่ายนั้นเกิดอยากจะกินแกงไหลบัวขึ้นมา ถงฮูหยิน ฮูหยินใหญ่ตระกูลจ้าวลูกสะใภ้ผู้กตัญญูจึงโยนหน้าที่นั้นให้นางและบุตรสาวของตน โดยให้เหตุผลว่าหากนางได้ทำอะไรเสียบ้างนางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งแน่นอนจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งนาง ถึงแม้ว่าพอจะทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นงานกันรุนแรงถึงเพียงนี้คุณหนูใหญ่จ้าวเสวี่ยเฟย ผู้เป็นพี่สาวนั้นเกลียดชังนางไม่ต่างจากฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา หากมีโอกาสย่อมไม่พลาดที่จะกลั่นแกล้งให้นางต้องเจ็บตัว
วังหลวงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในวันนี้ดูอู้ฟู่งดงามตระการตาขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะวันนี้มีพิธีการอันยิ่งใหญ่คือการสถาปนาฮองเฮาของแผ่นดินพระองค์ใหม่ หลังจากที่บัลลังก์หงส์ว่างเว้นมานาน ในที่สุดก็มีสตรีที่สามารถกุมพระทัยผู้ครองแคว้นแม้วังหลังจะเต็มไปด้วยเหล่าสนมและหญิงงามมากมายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ถูกเลือก ไม่อาจที่จะได้ครอบครองบัลลังก์หงส์ แต่สตรีที่จะได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดอยู่เหนือสตรีทั้งปวงกลับเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งสตรีโฉมงามวัยเพียงสิบหกปี สตรีผู้ที่มีใบหน้างดงามปานล่มเมือง นางคือฮองเฮาพระองค์ใหม่องค์ที่สองในรัชศกนี้คันฉ่องทองคำบานใหญ่สูงจรดเพดาน สะท้อนให้เห็นเงาร่างของสตรีผู้มีความงามพิสุทธิ์ งดงามเย้ายวนราวกับนางจิ้งจอก เรือนร่างสะโอดสะองอยู่ในชุดอาภรณ์ล้ำค่าควรเมือง อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตชุดตัวในคือผ้าไหมเรียบลื่นสีแดงสด ผ้าไหมที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปีถึงจะได้เส้นไหมเพียงพอมาถักทอเป็นผืนผ้าขึ้นมาได้หนึ่งผืน อาภรณ์ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อได้สวมใส่ บัดนี้ห่อหุ้มอยู่บนเรือนร่างอวบอิ่มขาวนวลเนียนราวกับน้ำนม คลุมทับด้วยชุดพระ
ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำในป่าทึบแสนวังเวงและน่ากลัว เสียงร้องของสัตว์น้อยใหญ่ในป่าดังกึกก้อง มองไปเบื้องหน้ามีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปเสียหมด ร่างบอบบางของสตรีในอาภรณ์สีแดงล้ำค่า แต่ทว่าตอนนี้กลับขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดี อาภรณ์แสนงามเปียกลู่แนบไปกับเรือนร่างเย้ายวน เส้นผมดำขลับนุ่มสลวยที่ได้รับการจัดแต่งอย่างงดงามหลุดลุ่ยมาปรกใบหน้านวลจนมองดูยุ่งเหยิง แต่กลับมิได้รับความสนใจจากเจ้าของ ใบหน้างดงามนั้นซีดเผือดไร้สีเลือด สองเท้าเล็กเปล่าเปลือยที่ย่ำลงบนเศษใบไม้ใบหญ้านั้นปวดแปลบจนเริ่มชาไปหมด พยายามวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย โดยมีเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำวิ่งไล่ล่าตามมาด้านหลัง รอบกายต่างเต็มไปด้วยป่าเปลี่ยวหลังจากออกมาจากกำแพงวังหลวงได้สำเร็จ จ้าวหลี่เชี่ยนก็วิ่งต่อไปอย่างไร้ทิศทาง รู้ตัวอีกทีรอบกายก็โอบล้อมไปด้วยป่าทึบ นางวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยหอบ เห็นได้ชัดว่าสองขาเรียวนั้นเริ่มไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่กระแสลมที่โหมกระหน่ำมาปะทะร่างเล็กก็ช่างเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งฝ่าไปข้างหน้า แม้ว่าแขนขาแทบไม่มีแรงวิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำตามมาด้านหลัง ยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พลันเต้นก
จ้าวหลี่เชี่ยนบัดนี้อยู่ในฐานะแขกของจวนแม่ทัพแห่งนี้ เรือนร่างงดงามในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนรับรองอย่างกระวนกระวายเพื่อรอพบกับเจ้าของจวนฐานะของอีกฝ่ายทำให้นางอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ชีวิตของนางจะพบเจอกับสิ่งใดบ้าง และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอันใดถึงได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ แล้วเขารู้หรือไม่ว่านางเป็นใครสกุลเหอ ตระกูลที่ล่มสลายไปพร้อมกับราชวงศ์ก่อน คิดไม่ถึงว่ายังจะหลงเหลือทายาท อีกทั้งเขายังนำพาตระกูลกลับมาเกรียงไกรอีกครั้ง นางพอจะได้ยินเรื่องราวของตระกูลเหอมาบ้างหลังจากมาอาศัยอยู่จวนตระกูลจ้าว แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากที่นางสลบไสลไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็มๆ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ในจวนของผู้อื่นและที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือนางยังคงอยู่ในแคว้นต้าถัง อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูกับตระกูลจ้าวอีกด้วยและจากที่นางได้สอบถามกับสตรีที่เข้ามาดูแลนาง ก็ได้ทราบว่าจวนที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้คือจวนของแม่ทัพใหญ่คนใหม่ของแคว้นต้าถัง ผู้ที่ช่วยเหลือนางเอาไว้จากความตาย และแม่ทัพผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ยึดบัลลังก์กลับคืนจากฮ่องเต้ทรราชแต่หลังจากที่นางฟื้นข
เหอไป๋เหยียน แม่ทัพหนุ่มวัยฉกรรจ์ในวัยสามสิบ เขาไม่ได้มีสิ่งใดต้องทำอย่างที่เอ่ยกับสตรีนางนั้น แต่กลับมาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชนสกุลเหอเพราะรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจ ในที่สุดเขาก็ทำผิดกับผู้ที่ล่วงลับ วิญญาณของบรรพบุรุษคงกำลังสาปแช่งเขา เขาจึงได้รู้สึกเจ็บปวดและทรมานอยู่เช่นนี้ ถึงแม้จะแก้แค้นทวงความยุติธรรมกลับคืนให้ตระกูลได้สำเร็จ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อเขาไม่อาจตัดใจพรากชีวิตสายเลือดของศัตรู อีกทั้งยังไม่อาจปล่อยมือจากนาง นำนางมาอยู่ข้างกาย ลุ่มหลงดังคนโง่แต่เขาก็ไม่เคยลืมความแค้นในอดีต ไม่เคยลืมความรู้สึกเจ็บปวดยามเมื่อสูญเสียคนที่รักเขาคือคุณชายรองตระกูลเหอ ตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเมื่อแปดปีก่อนด้วยวิธีสกปรก เรื่องราวการตายของคนในครอบครัว ทุกคนที่เขารัก แทบทำให้ชายหนุ่มในตอนนั้นเจ็บปวดจนแทบเสียสติ เขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อมกัน ทุกชีวิตสังเวยให้กับการก่อกบฏในครั้งนั้นบิดาและพี่ใหญ่ของเขาเป็นนักรบที่เก่งกาจ ปกป้องนายเหนือหัวจนตัวตาย แม้ทั้งสองจะเก่งกล้าเพียงใดแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ บิดาและพี่ชายถูกสังหารในห้องทรงอักษรพร้อมกับอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้
"นายหญิง ท่านแม่ทัพส่งอาภรณ์มาเจ้าค่ะ"จ้าวหลี่เชี่ยนละสายตาจากภาพผีเสื้อตัวน้อยที่พากันโบยบินอย่างอิสระ ดมดอมตอมกลิ่นดอกไม้แสนสวยอย่างเพลิดเพลินจนน่าอิจฉา หันมามองเจ้าของคำพูดนั้น คำเรียกขานที่อีกฝ่ายใช้เรียกนางมันช่างฟังขัดหูเหลือเกิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียกนางเช่นนี้ แต่ถึงแม้นางจะเอ่ยห้ามเช่นไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง กล่าวว่าในเมื่อถูกส่งมารับใช้นางก็ควรแล้วที่ต้องเอ่ยเรียกนางเช่นนี้ นางจึงต้องปล่อยเลยตามเลยดวงตาเศร้าหมองของหญิงสาวที่ตนต้องดูแลทำให้คนที่เดินถืออาภรณ์เข้ามาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ลู่เจียว สตรีวัยประมาณยี่สิบปีผู้ที่คอยรับใช้หญิงสาวตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในจวนแม่ทัพแห่งนี้ เดินเข้ามาพร้อมกับวางอาภรณ์ที่ถืออยู่ในมือลงตรงหน้าผู้ที่ต้องสวมใส่มันในคืนนี้ แม้จะรู้สึกเวทนาสงสารอีกฝ่ายมากเพียงใดแต่นางก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย"ท่านแม่ทัพแจ้งว่าอาภรณ์สำหรับใส่ในคืนนี้เจ้าค่ะ ท่านลุกขึ้นมาชำระกายก่อนเถอะนะเจ้าคะ บ่าวเตรียมน้ำเอาไว้แล้ว"คำพูดนั้นทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนสะท้านในอก ในที่สุดนางก็ไร้ซึ่งทางเลือก ยอมเอาตัวเองแลกกับชีวิตบ่าวของตนและแลกกับการที่อีกฝ่ายจะตามหาแม่นม
ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า เปล่งแสงสีทองอันอบอุ่นผ่านหน้าต่างห้องนอนของจวนขนาดกลางที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอันเงียบสงบ จวนซึ่งมีความทรงจำในวัยเยาว์ของหญิงสาว ขณะที่คู่สามีภรรยานั่งด้วยกันอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นของธรรมชาติเบื้องหน้า เสียงวิหคที่พากันโบยบินกลับรวงรังร้องขับขานดังเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานก้องอยู่บนท้องนภา ช่อดอกไม้สีสันสดใสที่ประดับอยู่ในแจกันส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วห้อง ในสถานที่อันเรียบง่ายแห่งนี้ คือสถานที่อันแสนสุขของทั้งสอง เหอไป๋เหยียนตระกองกอดเรือนร่างหอมกรุ่นของภรรยาที่เอนซบไออุ่นจากอกแกร่งของเขาด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ข้างๆ กันนั้นมีเปลนอนเด็กอ่อนที่ด้านในนั้นทารกเพศหญิงใบหน้ากลมป้อมวัยห้าเดือนกำลังนอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดตัดกับผิวขาวผ่องฟูนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าแม่หนูน้อยคนงามกำลังหลับฝันดี ช่างดูน่ารักน่าชังจนผู้เป็นบิดาจ้องมองด้วยความรักใคร่หลงใหล มือใหญ่ของผู้เป็นบิดาคอยแกว่งไกวเบาๆ ยามนี้บริเวณรอบๆ จวน โคมไฟสีเหลืองนวลถูกจุดให้ความสว่าง สองสามีภรรยาที่ยังคงตระกองกอดกันอยู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว มือของพวกเขาประ
เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น บ้านเมืองที่เดิมนั้นชาวบ้านชาวเมืองยากไร้อดอยากคงจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อฝ่าบาท องค์รัชทายาทและเหล่าขุนนางที่เหลือเพียงขุนนางน้ำดีต่างร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นอย่างเร่งด่วน ทรัพย์สมบัติที่ยึดมาจากเหล่าขุนนางชั่วช้า โกงกิน ที่ร่วมกับฝั่งกบฏถูกยึดเข้าท้องพระคลังทั้งหมด ก่อนจะถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน เหล่าชาวบ้านที่ไร้อาชีพและไร้ที่ทำกินจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้อย่างยุติธรรม และหากตรวจพบว่ามีการทุจริตก็มีข้อกำหนดโทษเอาไว้สูงสุดและไม่มีข้อยกเว้น การปราบกบฏครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระล้างอำนาจมืด ขุดรากถอนโคน คนโกง คนชั่วครั้งใหญ่ แม้ว่าจะไม่หมดไปทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าคนเหล่านั้นต่างเก็บมือเก็บไม้ ไม่โผล่หางออกมาระรานผู้คนส่วนเรื่องราวภายในวังหลวงตอนนี้ องค์หญิงใหญ่เฉินหลี่เชี่ยน ก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วแม้ตอนนี้นางจะคืนสู่ฐานันดร แต่นามของนางยังคงเดิม เปลี่ยนก็เพียงแค่แซ่เท่านั้น เพราะนามหลี่เชี่ยนเป็นนามที่มารดาเป็นผู้ตั้งให้ นางมีเพียงสิ่งนี้ที่ให้ระลึกถึงมารด
ความจริงที่ได้รับรู้สร้างความตกตะลึงให้กับเหอไป๋เหยียนเป็นอย่างมาก เขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมามากมาย แต่เขากลับยังซ้ำเติมใจร้ายใจดำกับนาง ทำร้ายจิตใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า"เฉิงซีหมิง เจ้าอย่าได้คิดว่าจะได้บุตรสาวเจ้ากลับคืน ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย ทนมองสายเลือดของเจ้าขาดใจตายไปต่อหน้า ข้าจะพานางไปพบกับมารดาของนาง จะพานางไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับว่านจื่อในปรโลก""จ่งชิว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ปล่อยนางไป หากเจ้าปรารถนาชีวิตของข้า ข้าก็จะให้เจ้า"ฮ่องเต้เฉิงซีหมิงตรัสออกมาด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนขอต่อผู้ที่เคยเป็นสหาย มองดูสายเลือดของตนอย่างรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องนางได้"ฮ่าฮ่าฮ่า เฉิงซีหมิงความตายสำหรับเจ้านั้นมันง่ายดายเกินไป ข้าปรารถนาให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่า"จ้าวจ่งชิวดึงกริชรูปทรงงดงามล้ำค่าที่เขาเตรียมเอาไว้สำหรับการนี้ออกมา หันปลายแหลมคมของมันเข้าหาตำแหน่งหัวใจของสตรีที่เขาเฝ้ามองนางมาตั้งแต่เล็ก ดวงตาแข็งกร้าวนั้นแดงก่ำจนดูน่ากลัวจ้าวหลี่เชี่ยนร่ำไห้ตัวสั่นเทา มองปลายกริชวาววับนั้นด้วยความหวาดกลัว จิตใจขอ
จ้าวจ่งชิวหันมาเผชิญหน้ากับบุรุษสูงศักดิ์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายของเขา แต่ตอนนี้ระหว่างเขากับคนผู้นี้ไม่อาจที่จะยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้อีกแล้ว"พอได้แล้วจ้าวจ่งชิว เจ้าแค้นเคืองเกลียดชังข้าก็ไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง"ฮ่องเต้เฉินซีหมิงเอ่ยกับคนตรงหน้า สายพระเนตรเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจจ้าวจ่งชิวแสยะยิ้มให้กับคำกล่าวนั้น เขากระชากร่างเล็กของสตรีที่ยืนสั่นเทาร่างกายโงนเงนเข้าหาตัว ฝ่ามือหยาบยกขึ้นบีบปลายคางเล็กๆ นั้นให้หันไปทางบุรุษทั้งสองที่ทำลายชีวิตเขาจนพังพินาศภาพนั้นสร้างความเจ็บปวดใจให้คนทั้งสองที่กำลังจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง แต่ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยเหลือเหอไป๋เหยียนกำมือเข้าหากันแน่น ลอบส่งสัญญาณให้คนของเขารอจังหวะจู่โจมอีกฝ่าย สายตานั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าซีดขาว จ้องมองนางด้วยความเจ็บร้าวในอก บอกนางผ่านแววตาให้นางอดทน ให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา"ผู้ใดกันที่ไม่เกี่ยวข้อง เด็กคนนี้หรือ"ฮ่าฮ่าฮ่า"เด็กที่เกิดจากการทรยศของพวกเจ้าน่ะหรือที่ไม่เกี่ยวข้อง"จ้าวจ่งชิวหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตด้วยความเจ็บปวดเขาและว่านจื่อนั้นเติบโตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนเล่นกันม
ทางฝั่งของบุรุษนั้นก็มีการปะทะเกิดขึ้นเช่นกัน มีนักฆ่าบุกเข้ามาเพื่อที่จะสังหารฮ่องเต้ แต่ทุกอย่างกลับถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วเหอไป๋เหยียนให้ทหารองครักษ์คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทกลับไปยังที่พักอย่างปลอดภัย ส่วนเขานั้นเข้าปะทะกับเหล่านักฆ่าและสังหารพวกมันจนหมดสิ้นสายตาคมกล้ากวาดมองซากศพด้วยความเคร่งเครียด เขายังคงไม่คลายความระมัดระวังลง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าทุกอย่างมันดูง่ายดายเกินไป นักฆ่าที่ถูกส่งมานั้นไร้ฝีมือจนถูกกำจัดได้โดยง่ายจนน่าฉงน อีกทั้งจ้าวจ่งชิวยังคงไม่ปรากฏตัว ราวกับว่าการลอบสังหารในครั้งนี้เป็นการถ่วงเวลาเสียมากกว่า แต่มันต้องการถ่วงเวลาจากสิ่งใดกันแต่แล้วเสียงฝีเท้าม้าที่มุ่งตรงมาทางพวกเขาทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักลง ใบหน้าขององครักษ์ผู้นั้นทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบเพราะคนผู้นี้คือองครักษ์ที่เขาส่งไปคุ้มครองจ้าวหลี่เชี่ยน"ท่านแม่ทัพขอรับ""เสนาบดีจ้าวจ่งชิวจับตัวคุณหนูจ้าวและคุณหนูตู้ไปขอรับ"ฟังคำรายงานทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง สตรีนางนั้นร่วมมือกับบิดาของนางเพื่อจะหลบหนีไป หรือว่านางถูกจับตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่จ้าวจ
"ยังไม่มีคนจากในวังติดต่อมาหรือ""เอ่อ ไม่มีขอรับ" ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ผ่านไปร่วมเดือนแล้วที่เขาเฝ้าถามคำถามนี้ สตรีนางนั้นเมินเฉยต่อคำขอของเขา ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำกล่าวใดจากปากนาง ไม่แม้แต่จะยอมพบหน้ากัน เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางมันจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วเสียอีก นางกล่าวว่าเขาใจร้าย แต่นางเองก็ใจร้ายกับเขาเช่นกัน เขายอมนางถึงเพียงนี้แล้ว นางยังเมินเฉยต่อเขา ไม่คิดจะกลับมาหาเขา ไม่คิดจะมีเขาร่วมทาง"ท่านแม่ทัพขอรับ คนเสนาบดีจ้าวมีความเคลื่อนไหวขอรับ"คำรายงานนั้นทำให้แผ่นหลังกว้างเหยียดเกร็งขึ้น รับกระดาษแผ่นเล็กจากคนสนิทเหอไป๋เหยียนกวาดตามองจดหมายฉบับนั้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย็น ดวงตาคมกริบทอประกายโหดเหี้ยม ที่แท้เจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นก็รอที่จะลงมือในพิธีล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด แต่คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้มันผู้นั้นกระทำตามใจ"เตรียมคนเอาไว้ให้พร้อม"ขบวนเสด็จเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ใช้ในการจัดพิธีล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในทุกปีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ซึ่งถือเป็นฤกษ์มงคลในการออกเดินทาง ผู้คนต่างเบียดเสียดกันออกมาเพื่อต
สัมผัสนุ่มละมุนที่กำลังคลอเคลียใบหน้า ทำให้ผู้ที่หลับใหลรู้สึกตัวตื่นขึ้น พอลืมตาขึ้นมองก็พบกับเจ้าขนปุกปุยสีขาวอ่อนนุ่มที่กำลังคลอเคลียแก้มนางและราวกับรู้ว่านางนั้นลืมตาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยนี่ก็หันมาจ้องมองนางตาแป๋วส่งเสียงร้องทักทายอย่างออดอ้อน เหมียว...."เจ้าตัวน้อย มาจากไหนกันหืม"จ้าวหลี่เชี่ยนยันกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าจับเจ้าแมวแปลกหน้าหน้าตาน่ารักขึ้นอุ้ม นางไม่เคยเห็นแมวที่นี่มาก่อน ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันเพราะผู้เป็นบิดาไม่ชมชอบสัตว์หน้าขน ถึงแม้ว่าจะอยากเลี้ยงเพียงไรก็ไม่เคยได้รับอนุญาต แมวตัวนี้คงจะพลัดหลงมาเป็นแน่ ป่านนี้เจ้าของของมันคงจะเป็นห่วงและออกตามหา เพราะดูแล้วมันคงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี"เจ้าแอบหนีมาเที่ยวเล่นหรือ รู้หรือไม่ว่าผู้เป็นเจ้าของจะเป็นห่วง"เหมียว...เจ้าแมวน้อยราวกับรู้ความซบหัวถูไถกับมือของนางอย่างน่าเอ็นดู หลังจากเล่นกับแมวน้อยอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกหิวขึ้นมา เมื่อคืนนี้นางถูกคนชั่วนั่นรังแกจนหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังนอนร้องไห้จนหลับไป ไม่แปลกที่จะรู้สึกหิวเช่นนี้"เจ้าหิวแล้วหรือยังเจ้าแมวน้อย รอข้าสักครู่ประเดี๋ยวข้าจะหาอะไรให้เจ้ากินนะ"เหมียว...."น
ภาพโฉมสะคราญในอาภรณ์ตัวในบางเบา สัดส่วนโค้งเว้าของสตรีงดงามวูบไหวอยู่ภายใต้แสงนวลของเปลวเทียนที่ส่องสลัว กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อบอวลอยู่รอบตัวของนาง ช่างยั่วยวนและล่อลวงบุรุษให้หลงใหลได้เป็นอย่างดีบุรุษผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจ้องมองโฉมสะคราญที่ทำให้เขาแทบจะคลั่งตาย สตรีที่กล้าเมินเฉยต่อเขา สตรีอวดดีที่เขาไม่สามารถลบนางออกไปจากใจได้สีกที เพียงแค่คิดว่าหากนางต้องกลายเป็นของบุรุษอื่นเขาก็แทบจะทนไม่ไหวจ้าวหลี่เชี่ยนที่กำลังเตรียมตัวจะเข้านอน จำต้องชะงักมือที่กำลังจะดับเทียนเมื่อรับรู้ได้ถึงเงาร่างไหววูบที่เคลื่อนไหวอยู่ทางด้านหลัง แต่ทว่ารู้ตัวตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่อาจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของผู้ที่เข้ามาประชิดทางด้านหลังตะครุบปิดปากของนางเอาไว้"อื้อ อื้อ"ดวงตาตื่นตระหนกกลอกกลิ้งไปมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ไม่คาดคิดว่าเวรยามแน่นหนาเช่นนี้ยังมีผู้บุกรุกเข้ามาได้ คนผู้นี้สามารถรอดสายตาเหล่าองครักษ์มากมายเข้ามาได้อย่างไร และต้องการสิ่งใดจากนาง นั่นเป็นคำถามที่วกวนอยู่ในหัวแต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ดังชิดใบหูเล็กของนางและลมหายใจอุ่นร้อ
จ้าวหลี่เชี่ยนเปิดม่านหน้าต่างของรถม้าคันหรู ทอดตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเพลิดเพลิน ในวันนี้บรรยากาศภายนอกรถม้านั้นช่างดูงดงามเหลือเกิน มันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนที่นางเดินทางมาที่นี่ยิ่งนักในวันนี้นางกำลังเดินทางไปเคารพป้ายวิญญาณของมารดาโดยที่ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องเกรงกลัวอันตรายใดๆ เมื่อภายนอกรถม้านั้นห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์ฝีมือดีที่ฝ่าบาททรงประทานให้มาคุ้มครองนาง และยังมีข้ารับใช้อีกหลายคนที่ถูกส่งมาเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมเรือนที่มารดาและนางเคยใช้ชีวิตอยู่"คุณหนูฝ่าบาททรงมีเมตตาต่อคุณหนูเหลือเกินนะเจ้าคะ ดูสิเพียงคุณหนูเอ่ยว่าอยากจะมาเคารพป้ายวิญญาณของนายหญิงก็ทรงประทานข้าวของเงินทองและบ่าวรับใช้มามากมาย"จ้าวหลี่เชี่ยนยิ้มรับคำกล่าวนั้นของถิงถิง ตลอดหลายวันมานี้ยอมรับว่านางมีความสุขมาก ยิ่งได้สนทนากับฝ่าบาทนางยิ่งรู้สึกได้ถึงความสุขความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่ยิ่งนางมีความสุขมากเพียงไร นางก็กลัวความผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น ยอมรับว่านางกำลังมีความหวัง กำลังคาดหวังอยู่ภายในใจ เมื่อได้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ท่าทียามเมื่อฝ่าบาทเอ่ยถึงมารดามันเต็มไปด