ในเช้าวันที่อากาศเริ่มจะสดใส หิมะที่โปรยปรายมาอย่างยาวนานหยุดตกไปได้หลายวันแล้ว ลำแสงแรกแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูสาดส่องลงมากระทบยอดหญ้าที่แตกยอดใหม่ดูงดงามจับตา
และในเช้าวันนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนต้องแปลกใจ เมื่อมีคำสั่งจากบิดาให้นางย้ายออกจากเรือนร้างท้ายจวนแห่งนี้ไปยังเรือนเหลียนฮวาที่กว้างขวางและงดงาม อีกทั้งยังมอบอาภรณ์และเครื่องประดับล้ำค่ามาให้นางมากมาย ให้อิสระในการออกนอกจวนกับนาง บ่าวรับใช้ของมารดาถูกส่งกลับมาให้รับใช้นาง รวมถึงส่งบ่าวรับใช้อีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้นางเทียบเท่ากับบุตรคนอื่นๆ แต่นางคิดว่าส่งมาเพื่อจับตาและควบคุมนางต่างหาก
"เกิดอะไรขึ้น"
เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายดังจะถามตัวเองเสียมากกว่า
ถิงถิงสบสายตากับผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าน้อยๆ อย่างจนปัญญา คาดเดาไม่ถูกถึงการกระทำทั้งหมดของท่านเสนาบดีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของผู้เป็นนาย นางที่เติบโตมาพร้อมกับคุณหนู อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลาย่อมรับรู้สิ่งที่ผู้เป็นนายต้องเผชิญ รับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติและไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรง
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู ปกป้องคุณหนูจากภัยอันตรายทั้งปวง
จ้าวหลี่เชี่ยนได้แต่มองทุกอย่างอย่างมึนงง เมื่อผู้ที่ไม่เคยสนใจไยดีนางมาก่อนกลับมาเอาใจใส่นางอย่างน่าแปลกใจ แม้แต่พิธีปักปิ่นของนางที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าก็ยังถูกจัดเตรียมขึ้นเป็นอย่างดี จากที่คิดว่ามันจะผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย มีแม่นมผิงที่เป็นผู้ปักปิ่นให้นางแต่ทุกอย่างกลับผิดคาดไปเสียหมด ผู้เป็นบิดาให้ความสำคัญกับพิธีปักปิ่นของนางถึงขนาดจัดเตรียมพิธีเอาไว้อย่างใหญ่โตและครบถ้วนสมบูรณ์ นั่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับนางมาก
เรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะมั่นใจว่ามีบางอย่างแอบซ่อนอยู่ แต่นางก็รู้สึกยินดีอยู่บ้างกับเรื่องนี้ อย่างน้อยคนของนางจะได้ไม่ต้องลำบาก ระยะนี้แม่นมผิงที่แก่ชราลงเริ่มเจ็บป่วยบ่อยๆ หากได้อาศัยอยู่ในเรือนที่สะดวกสบายย่อมที่จะดีกว่าอยู่ในเรือนที่ผุพังจนแทบจะไม่สามารถกันลมกันฝนได้แห่งนี้ อีกทั้งบิดายังอนุญาตให้ท่านหมอมาดูอาการของอีกฝ่ายและยังมอบของบำรุงร่างกายให้มากมาย เป็นเช่นนี้แม่นมผิงคงจะแข็งแรงและหายป่วยในเร็ววัน
แต่เมื่อถึงวันปักปิ่นในวันนี้ นางถึงได้รู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงได้รับความเมตตาและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากบิดา เมื่อได้เห็นสายตาของบรรดาแขกที่บิดาเชิญมาร่วมในวันพิธี ทุกคนล้วนเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ทั้งจากตระกูลขุนนางและคหบดีที่มีอำนาจและร่ำรวย หากเกี่ยวดองด้วยย่อมส่งเสริมให้ผู้เป็นบิดายิ่งแข็งแกร่ง
นางได้กลายเป็นตัวแลกเปลี่ยนอำนาจของบิดาไปเสียแล้ว กลายเป็นหมากที่ใช้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของผู้เป็นบิดา เป็นเช่นดังสินค้าที่บิดาเตรียมจะขายให้กับผู้ที่ให้ราคามากที่สุด
ชีวิตสตรีเช่นนางคล้ายดังเรือลำน้อยกลางท้องมหาสมุทร ที่ลอยเคว้งคว้าง แล้วแต่คลื่นจะซัดสาดให้ลอยไปในทิศทางใด มันช่างน่าเศร้าและน่าเจ็บปวดใจอย่างที่สุดที่นางไม่สามารถเดินไปตามเส้นทางชีวิตที่ตนปรารถนาได้
"คุณหนูเจ้าคะ"
ถิงถิงเอ่ยเรียกนายของตน ตั้งแต่เสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นคุณหนูของนางก็เอาแต่เหม่อลอย เพราะรู้สึกเจ็บช้ำกับการกระทำของผู้เป็นบิดา
"คุณชายมู่ส่งของขวัญมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ"
ถิงถิงยื่นถุงผ้าปักลวดลายดอกหลานฮวา [1] งดงามให้ผู้เป็นนาย บ่าวผู้ซื่อสัตย์ระบายยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นคุณหนูของตนยิ้มออกมาได้
จ้าวหลี่เชี่ยนรับเอาถุงผ้านั้นมาถือไว้ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนดวงหน้าหวานละมุน คิดไปถึงผู้เป็นเจ้าของ มองลายปักดอกหลานฮวาที่สื่อถึงมิตรภาพ อย่างน้อยท่ามกลางความเศร้าโศกและเจ็บปวด นางก็ยังมีโอกาสได้พบเจอคนดีๆ คนผู้นั้นเป็นอีกผู้หนึ่งที่นางยอมทำความรู้จักและพูดคุยด้วยได้อย่างสนิทใจ
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ ทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้น เขามักจะบังเอิญ พบเจอนางเสมอ ถึงแม้จะรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดโปงอีกฝ่าย
ความสัมพันธ์ของนางกับคุณชายมู่นั้นพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต เขากลายมาเป็นดั่งพี่ชาย เป็นดั่งมิตรสหายที่น่าคบหา เขาเป็นบุรุษที่ดีมากและน่านับถือมากผู้หนึ่ง นางรู้สึกคุ้นเคย และผูกพันกับคนผู้นี้อย่างประหลาดทั้งๆ ที่พึ่งจะรู้จักกัน แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้ นางไม่อาจบอกได้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะพัฒนาไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ รู้เพียงว่าตอนนี้การมีอีกคนคอยห่วงใย ให้คำปรึกษา และถามไถ่ทุกข์สุข ความสัมพันธ์เช่นนี้มันดีเหลือเกิน
"เปิดเลยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวอยากรู้ว่ากำไลข้อมือของคุณชายมู่งดงามเพียงใด"
ถิงถิงเอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับมองใบหน้างามด้วยสายตาล้อเลียน นางถือถุงผ้าใบเล็กนั้นเอาไว้ในมือก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือกำไลข้อมือ
จ้าวหลี่เชี่ยนมิได้กล่าวอันใด เพียงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้บ่าวคนสนิทของตน เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะผูกวาสนาให้นางกับคุณชายมู่
เมื่อเปิดออกดูปรากฏว่าด้านในนั้นเป็นกำไลหยกสีแดงเนื้อเนียนละเอียด มันงดงามมากและคงจะมีราคาแพงมากด้วย นั่นทำให้นางไม่ใคร่จะสบายใจนักที่อีกฝ่ายมอบของมีราคามากจนเกินไปเช่นนี้ให้นาง
"งดงามมากเลยเจ้าค่ะคุณหนู คุณชายมู่ช่างใส่ใจคุณหนูนัก มันเหมาะกับคุณหนูมากเลยเจ้าค่ะ"
จ้าวหลี่เชี่ยนเก็บกำไลวงนั้นเอาไว้ในถุงผ้าเช่นเดิม หันไปมองบ่าวตัวน้อยของตนที่ตอนนี้หลับตาพริ้ม ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นแสดงออกว่ากำลังเคลิ้มฝัน จนนางอยากจะบิดเนื้อขาวๆ ของอีกฝ่ายให้หลุดติดมือมาเสียเหลือเกิน ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับกล่องไม้ในมือของอีกฝ่าย
"แล้วนั่นกล่องอันใดเล่า"
ถิงถิงมองตามสายตาผู้เป็นนาย เมื่อเห็นกล่องในมือของตนจึงนึกขึ้นมาได้
"อ้อ บ่าวเกือบจะลืมไปเลยเจ้าค่ะ"
ถิงถิงยื่นกล่องไม้ในมือให้ผู้เป็นนาย เอ่ยบอกด้วยสีหน้าฉงน
"มีคนผู้หนึ่งนำมาให้บ่าวเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นของขวัญที่ผู้เป็นนายของเขามอบให้คุณหนู แต่กลับไม่ยอมบอกว่านายของตนนั้นเป็นใคร"
ซึ่งนางคิดว่าคงจะเป็นเหล่าคุณชายทั้งหลายที่ชมชอบคุณหนูของนาง แต่ไม่ปรารถนาที่จะส่งมอบของขวัญผ่านฮูหยินใหญ่จึงได้ส่งผ่านมาทางนาง
จ้าวหลี่เชี่ยนมองพิจารณากล่องไม้ใบนั้น มือเรียวลูบไล้ลงบนรูปแกะสลักดอกหลานฮวาอ่อนช้อยงดงาม มันคือดอกหลานฮวาเช่นเดียวกับลายปักบนถุงผ้าของคุณชายมู่ แต่เป็นดอกหลานฮวาที่เลื้อยเกี่ยวพันกัน ซึ่งความหมายของมันนั้นแตกต่างออกไป ลวดลายบนกล่องใบนี้ทำให้คิ้วเรียวบนใบหน้างามขมวดมุ่นปรากฏร่องรอยครุ่นคิด เพราะความหมายของมันคือ ความรักใคร่ พอใจซึ่งกันและกัน
เป็นผู้ใดที่มอบให้นางกัน
มือขาวนุ่มนิ่มเปิดฝากล่องไม้นั้นออก อยากจะรู้ว่าด้านในนั้นคือสิ่งใด ปรากฏว่ามันคือปิ่นปักผมสีทองอร่าม นิ้วเรียวยื่นไปสัมผัสปิ่นอันนั้นแผ่วเบาก่อนจะหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ ลวดลายของปิ่นคือลวดลายเดียวกันกับกล่องใบนั้น มีไข่มุกและอัญมณีประดับเอาไว้อย่างงดงาม มันงดงามมากและนางก็ชื่นชอบมากด้วยเช่นกัน
"งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นปิ่นที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ"
นางเห็นด้วยกับถิงถิง แต่ผู้ที่มอบให้นางต้องการจะสื่อสิ่งใดกัน
ความรักใคร่ พอใจซึ่งกันและกันเช่นนั้นหรือ
จ้าวหลี่เชี่ยนคิดไม่ตกสำหรับเรื่องนี้ นางไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยแม้กระทั่งมีความรู้สึกเช่นนั้นให้กับผู้ใด แล้วใครกันเล่าช่างใจกล้ามอบปิ่นความหมายเช่นนี้ให้กับนาง
แล้วอยู่ๆ ก็คิดถึงคำถามที่ถิงถิงเคยเอ่ยถามนาง
"คุณหนู ยามได้อยู่ใกล้กับคุณชายมู่เฉินอี้หัวใจของคุณหนูเต้นแรงหรือไม่เจ้าคะ"
"เหตุใดจึงได้ถามข้าเช่นนี้เล่าถิงถิง"
ใบหน้างามปรากฏร่องรอยฉงนไม่เข้าใจคำถามของบ่าวของตนที่ดูกระตือรือร้นที่จะทราบคำตอบ
"ก็เพราะว่ายามเมื่อเราอยู่ใกล้ๆ บุรุษที่เราพึงใจ หัวใจของเราก็จะเต้นแรงอย่างไรเล่าเจ้าคะ หรือเพียงแค่ได้สบตากับเขาหัวใจของเราก็จะเต้นแรงเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าคุณหนูมีใจชอบพอคุณชายมู่หรือไม่"
จ้าวหลี่เชี่ยนถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดของอีกฝ่าย ดูท่าถิงถิงจะอ่านตำราเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงมากเกินไป จึงได้เก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะเพ้อฝันเช่นนี้
ความรู้สึกยามเมื่อได้สบตาแล้วทำให้หัวใจเต้นแรงเช่นนั้นหรือ
จ้าวหลี่เชี่ยนนึกถึงประโยคนั้นแล้วใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด ทำให้หัวใจดวงน้อยของนางเต้นแรงสั่นระรัว ดวงตาคู่งามเปล่งประกายยินดีขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะหม่นเศร้าลง
"คุณหนูรู้แล้วหรือเจ้าคะว่าเป็นผู้ใดที่มอบให้"
ถิงถิงเอ่ยถามขึ้น นั่นทำให้นางรีบส่ายศีรษะปฏิเสธอีกฝ่ายพัลวัน
"ไม่ ข้าไม่รู้หรอก"
ไม่มีทางที่จะเป็นคนผู้นั้นไปได้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับนางเสียหน่อย เป็นนางที่เผลอคิดเข้าข้างตนเองอย่างหน้าไม่อาย
แม้นางจะมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแล้วอย่างไร ในเมื่อนางนั้นรู้ตัวดีว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เขาคือบุรุษต้องห้ามสำหรับนาง เพียงแค่ได้ชื่นชมอยู่ไกลๆ ก็เพียงพอแล้ว
"อย่ามัวแต่สงสัยอยู่เลย เจ้ามานั่งนี่ดีกว่า"
จ้าวหลี่เชี่ยนกล่าวพร้อมกับวางปิ่นอันนั้นเอาไว้บนโต๊ะ โดยไม่คิดที่จะหันไปมองมันอีก ลุกขึ้นมาจับร่างบอบบางของถิงถิงให้นั่งลงบนตั่งแทนนาง
"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"
ถิงถิงที่ตกใจกับการกระทำของผู้เป็นนาย รีบดีดตัวลุกขึ้นราวกับนั่งลงบนของร้อน นางไม่อาจตีตัวเสมอนาย
"นั่งลงเถิด"
จ้าวหลี่เชี่ยนกดไหล่เล็กของอีกฝ่ายให้นั่งลงตามเดิม แล้วจึงเปิดกล่องเครื่องประดับของนางหยิบเอาปิ่นเงินลวดลายงดงามออกมา
"ของขวัญจากข้า"
ถิงถิงเองก็ถึงวัยที่ต้องปักปิ่นแล้วเช่นกัน แต่อีกฝ่ายนั้นไร้บิดามารดาและญาติพี่น้อง มีเพียงนางและแม่นมผิงเท่านั้น ตอนนี้แม่นมผิงนั้นล้มป่วยร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง จึงมีเพียงนางที่จะปักปิ่นให้อีกฝ่าย จ้าวหลี่เชี่ยนหวีผมและเกล้ามวยผมปักปิ่นให้บ่าวตัวน้อยที่นั่งน้ำตาคลออย่างอ่อนโยน
"คุณหนู"
เสียงสั่นเครือเอ่ยเรียกผู้เป็นนาย ดวงตาเรียวแดงระเรื่อมองผู้เป็นนายอย่างซาบซึ้งใจ
"จงมีชีวิตที่ดี"
จ้าวหลี่เชี่ยนส่งยิ้มให้ผู้ที่เปรียบเสมือนสหายของตน อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ น้ำตาที่เอ่อคลอหยดลงมาอย่างมิอาจห้าม
"เจ้าค่ะ คุณหนู"
^(1)ดอกกล้วยไม้
หลังจากพิธีปักปิ่น ชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนสุขสบาย นางได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเช่นดังคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งแต่สิ่งที่ทำให้นางไร้ความสุข คือบรรดาแม่สื่อที่ถูกส่งมายังจวนตระกูลจ้าว นางหวั่นเกรงทุกครั้งที่มีผู้มาทาบทามสู่ขอ แต่ก็นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางที่คุณหนูใหญ่ของจวนยังไม่ได้ออกเรือน นั่นจึงเป็นข้ออ้างที่บิดาของนางใช้ตอบกลับไป ทั้งที่ความจริงแล้วยังไม่มีผู้ใดที่เข้าตาและมีผลประโยชน์ตรงตามที่เขาต้องการต่างหากวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนให้สตรีที่ไร้ตัวตนในจวนตระกูลจ้าว สตรีผู้ที่ถูกผู้คนลืมเลือน บัดนี้นางได้กลายเป็นยอดพธูของเมืองหลวง เป็นสตรีที่ถูกขนานนามว่างดงามเป็นหนึ่ง ความงามลือเลื่องจนเป็นที่กล่าวขาน มีบุรุษมากมายที่หมายปองนาง รวมถึงบุรุษที่นางคิดเสมอว่าเขาอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับนาง บุรุษที่สายตาของนางมักจะมองดูเขาเสมอยามอีกฝ่ายมาเยือนจวนตระกูลจ้าว"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ว่ามันเหมาะสมกับเจ้า เจ้า งดงามมาก"เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังขึ้นด้านหลังทำให้โฉมงามที่กำลังชื่นชมความงดงามของหมู่มวลบุปผาต้องหันกลับไปมองบุรุษผู้มีรูปร่างหน้
"คุณหนูเจ้าคะ"เสียงเรียกของบ่าวคนสนิทที่ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่จมอยู่กับความฝันเมื่อคืนนี้ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้างามนั้นไม่ใคร่จะสดใสนัก เมื่อคืนนางฝันร้าย ในฝันนั้นรอบกายของนางปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาจนมองไม่เห็นสิ่งใด มองเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง เขาเดินเข้ามาหานางอย่างคุกคาม แต่นางกลับไม่อาจที่จะหลีกหนีได้ ราวกับทั้งร่างของนางถูกพันธนาการเอาไว้ นางถูกคนผู้นั้นใช้มีดอันคมกริบกรีดลงมาบนหัวใจ โลหิตสีแดงพุ่งทะลักออกมาอย่างน่ากลัว ในฝันนั้นนางทั้งเจ็บปวดและรู้สึกหวาดกลัว หัวใจของนางบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก นั่นจึงทำให้เช้าวันนี้ของนางไม่สดใสอย่างที่ควร นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนักราวกับมันมีลางบอกเหตุ"มีอะไรเช่นนั้นหรือถิงถิง"เสียงหวานที่ฟังดูอ่อนแรงเอ่ยถามคนสนิท"คนจากเรือนใหญ่มาแจ้งว่าท่านเสนาบดีเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ"ถิงถิงรายงานผู้เป็นนายของตนทันทีหลังจากที่ก้าวเข้ามาทรุดกายลงใกล้ๆ มองนายของตนอย่างเป็นห่วงนางรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ รับรู้มาว่าวันนี้ท่านเสนาบดีถูกเรียกให้เข้าวังตั้งแต่รุ่งสาง และทันทีที่กลับมาจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เรียกหาคุณหนูของนางทันที นั่นยิ่งทำให้นางมั่
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสทุกครายามที่แหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง ในวันนี้กลับมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน มันมืดดำจนดูน่ากลัว พาให้หมู่มวลบุปผางามรอบกายที่มักจะชูช่อเบ่งบานอย่างงดงามดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา คล้ายดังชีวิตของนางในตอนนี้จ้าวหลี่เชี่ยนเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องหน้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนด้วยดวงใจที่บอบช้ำ รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะแหลกสลาย นางช่างโง่งมนัก โง่งมจริงๆ ที่หลงมัวเมาในรักจนโดนบุรุษผู้นั้นหลอกลวง เหยียบย่ำดวงใจจนแหลกเหลวการถูกบิดาใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นหมากในการแสวงหาอำนาจไม่เจ็บเท่าโดนบุรุษทำให้เจ็บช้ำใจ นางช่างน่าขันเสียจริงจ้าวหลี่เชี่ยนหัวเราะออกมาทั้งที่หยาดน้ำตานั้นไหลอาบแก้ม ตั้งแต่วันนั้นน้ำตาของนางยังคงไม่หยุดไหลยามเมื่อคิดถึงคนผู้นั้น จากผู้ที่มอบรอยยิ้มให้นางกลับกลายเป็นผู้ที่ทำให้นางมีน้ำตาเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล เอ่ยออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย"ถิงถิงบอกแล้วอย่างไรว่าข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"นางไม่อยากให้ถิงถิงเห็นน้ำตา รู้ดีว่าอีกฝ่ายรักและเป็นห่วงนางมากแค่ไหน รู้ดีว่าตนนั้นทำให้คนที่รักและหวังดีกับนางนั้นทุกข์ใจเพียงใด แต่ความเงี
จ้าวหลี่เชี่ยนวิ่งฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่สนใจว่ามันอาจจะทำให้นางล้มป่วย นางขอเพียงแค่ไปให้พ้นจากคนผู้นั้นโดยเร็วที่สุดก็พอแล้วหัวใจของนางเจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนัก นางรู้สึกสับสนไปหมด ไม่อาจที่จะสลัดคนผู้นั้นออกจากความคิดได้เลยฝ่ามือเล็กกอบกุมหัวใจที่ปวดร้าวจนเจ็บแน่น นางไม่อาจทนแบกรับความผิดหวังและเสียใจนั้นได้ไหว เพียงก้าวเข้ามาในเรือน ร่างบอบบางก็อ่อนปวกเปียกทรุดฮวบลงกับพื้นรอบกายมืดมนไปหมด นางหมดสติไปด้วยความโศกเศร้าที่ท่วมท้นหยาดน้ำตายังคงนองใบหน้าเมื่อฟื้นคืนสติจ้าวหลี่เชี่ยนพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในเรือนของนางเอง แต่ทันทีที่ลืมตาขึ้นเสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยเรียกนางพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นเข้ามากอบกุมมือของนางเอาไว้"คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีกครั้ง ความรักความห่วงใยและร่องรอยความโศกเศร้าในดวงตาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกผิด"แม่นมผิง ข้าขอโทษเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ"จ้าวหลี่เชี่ยนลุกขึ้นนั่งตามการประคองของสตรีที่ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า ใบหน้าซีดขาวนั้น
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวเป็นเสียยิ่งกว่านักโทษ นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนเหลียนฮวาไม่ให้พบผู้ใด รอวันที่ราชโองการมาถึงนางก็จะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงทันทีวันนี้นางได้ย่างเท้าออกจากเรือนเหลียนฮวาเป็นครั้งแรก เนื่องจากฮูหยินเฒ่ารู้สึกเวทนาจึงเรียกให้มาสนทนาและรับประทานอาหารร่วมกันที่เรือนใหญ่ นางจึงได้รู้ว่าแม่นมผิงนั้นยังถูกกักขังส่วนถิงถิงนั้นถูกขายออกไป นั่นจึงทำให้นางรู้สึกเศร้าโศกและเป็นกังวล จึงได้ลอบให้บ่าวที่เป็นคนของมารดาตามหาถิงถิงวันนี้ทั้งวันจ้าวหลี่เชี่ยนยังคงคอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินเฒ่า และอีกฝ่ายนั้นเกิดอยากจะกินแกงไหลบัวขึ้นมา ถงฮูหยิน ฮูหยินใหญ่ตระกูลจ้าวลูกสะใภ้ผู้กตัญญูจึงโยนหน้าที่นั้นให้นางและบุตรสาวของตน โดยให้เหตุผลว่าหากนางได้ทำอะไรเสียบ้างนางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งแน่นอนจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งนาง ถึงแม้ว่าพอจะทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นงานกันรุนแรงถึงเพียงนี้คุณหนูใหญ่จ้าวเสวี่ยเฟย ผู้เป็นพี่สาวนั้นเกลียดชังนางไม่ต่างจากฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา หากมีโอกาสย่อมไม่พลาดที่จะกลั่นแกล้งให้นางต้องเจ็บตัว
วังหลวงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในวันนี้ดูอู้ฟู่งดงามตระการตาขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะวันนี้มีพิธีการอันยิ่งใหญ่คือการสถาปนาฮองเฮาของแผ่นดินพระองค์ใหม่ หลังจากที่บัลลังก์หงส์ว่างเว้นมานาน ในที่สุดก็มีสตรีที่สามารถกุมพระทัยผู้ครองแคว้นแม้วังหลังจะเต็มไปด้วยเหล่าสนมและหญิงงามมากมายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ถูกเลือก ไม่อาจที่จะได้ครอบครองบัลลังก์หงส์ แต่สตรีที่จะได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดอยู่เหนือสตรีทั้งปวงกลับเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งสตรีโฉมงามวัยเพียงสิบหกปี สตรีผู้ที่มีใบหน้างดงามปานล่มเมือง นางคือฮองเฮาพระองค์ใหม่องค์ที่สองในรัชศกนี้คันฉ่องทองคำบานใหญ่สูงจรดเพดาน สะท้อนให้เห็นเงาร่างของสตรีผู้มีความงามพิสุทธิ์ งดงามเย้ายวนราวกับนางจิ้งจอก เรือนร่างสะโอดสะองอยู่ในชุดอาภรณ์ล้ำค่าควรเมือง อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตชุดตัวในคือผ้าไหมเรียบลื่นสีแดงสด ผ้าไหมที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปีถึงจะได้เส้นไหมเพียงพอมาถักทอเป็นผืนผ้าขึ้นมาได้หนึ่งผืน อาภรณ์ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อได้สวมใส่ บัดนี้ห่อหุ้มอยู่บนเรือนร่างอวบอิ่มขาวนวลเนียนราวกับน้ำนม คลุมทับด้วยชุดพระ
ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำในป่าทึบแสนวังเวงและน่ากลัว เสียงร้องของสัตว์น้อยใหญ่ในป่าดังกึกก้อง มองไปเบื้องหน้ามีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปเสียหมด ร่างบอบบางของสตรีในอาภรณ์สีแดงล้ำค่า แต่ทว่าตอนนี้กลับขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดี อาภรณ์แสนงามเปียกลู่แนบไปกับเรือนร่างเย้ายวน เส้นผมดำขลับนุ่มสลวยที่ได้รับการจัดแต่งอย่างงดงามหลุดลุ่ยมาปรกใบหน้านวลจนมองดูยุ่งเหยิง แต่กลับมิได้รับความสนใจจากเจ้าของ ใบหน้างดงามนั้นซีดเผือดไร้สีเลือด สองเท้าเล็กเปล่าเปลือยที่ย่ำลงบนเศษใบไม้ใบหญ้านั้นปวดแปลบจนเริ่มชาไปหมด พยายามวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย โดยมีเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำวิ่งไล่ล่าตามมาด้านหลัง รอบกายต่างเต็มไปด้วยป่าเปลี่ยวหลังจากออกมาจากกำแพงวังหลวงได้สำเร็จ จ้าวหลี่เชี่ยนก็วิ่งต่อไปอย่างไร้ทิศทาง รู้ตัวอีกทีรอบกายก็โอบล้อมไปด้วยป่าทึบ นางวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยหอบ เห็นได้ชัดว่าสองขาเรียวนั้นเริ่มไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่กระแสลมที่โหมกระหน่ำมาปะทะร่างเล็กก็ช่างเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งฝ่าไปข้างหน้า แม้ว่าแขนขาแทบไม่มีแรงวิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำตามมาด้านหลัง ยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พลันเต้นก
จ้าวหลี่เชี่ยนบัดนี้อยู่ในฐานะแขกของจวนแม่ทัพแห่งนี้ เรือนร่างงดงามในอาภรณ์สีชมพูอ่อนหวานเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนรับรองอย่างกระวนกระวายเพื่อรอพบกับเจ้าของจวนฐานะของอีกฝ่ายทำให้นางอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ชีวิตของนางจะพบเจอกับสิ่งใดบ้าง และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอันใดถึงได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ แล้วเขารู้หรือไม่ว่านางเป็นใครสกุลเหอ ตระกูลที่ล่มสลายไปพร้อมกับราชวงศ์ก่อน คิดไม่ถึงว่ายังจะหลงเหลือทายาท อีกทั้งเขายังนำพาตระกูลกลับมาเกรียงไกรอีกครั้ง นางพอจะได้ยินเรื่องราวของตระกูลเหอมาบ้างหลังจากมาอาศัยอยู่จวนตระกูลจ้าว แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหลังจากที่นางสลบไสลไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็มๆ ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ในจวนของผู้อื่นและที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือนางยังคงอยู่ในแคว้นต้าถัง อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูกับตระกูลจ้าวอีกด้วยและจากที่นางได้สอบถามกับสตรีที่เข้ามาดูแลนาง ก็ได้ทราบว่าจวนที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้คือจวนของแม่ทัพใหญ่คนใหม่ของแคว้นต้าถัง ผู้ที่ช่วยเหลือนางเอาไว้จากความตาย และแม่ทัพผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ยึดบัลลังก์กลับคืนจากฮ่องเต้ทรราชแต่หลังจากที่นางฟื้นข
ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า เปล่งแสงสีทองอันอบอุ่นผ่านหน้าต่างห้องนอนของจวนขนาดกลางที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอันเงียบสงบ จวนซึ่งมีความทรงจำในวัยเยาว์ของหญิงสาว ขณะที่คู่สามีภรรยานั่งด้วยกันอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นของธรรมชาติเบื้องหน้า เสียงวิหคที่พากันโบยบินกลับรวงรังร้องขับขานดังเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานก้องอยู่บนท้องนภา ช่อดอกไม้สีสันสดใสที่ประดับอยู่ในแจกันส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วห้อง ในสถานที่อันเรียบง่ายแห่งนี้ คือสถานที่อันแสนสุขของทั้งสอง เหอไป๋เหยียนตระกองกอดเรือนร่างหอมกรุ่นของภรรยาที่เอนซบไออุ่นจากอกแกร่งของเขาด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ข้างๆ กันนั้นมีเปลนอนเด็กอ่อนที่ด้านในนั้นทารกเพศหญิงใบหน้ากลมป้อมวัยห้าเดือนกำลังนอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดตัดกับผิวขาวผ่องฟูนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าแม่หนูน้อยคนงามกำลังหลับฝันดี ช่างดูน่ารักน่าชังจนผู้เป็นบิดาจ้องมองด้วยความรักใคร่หลงใหล มือใหญ่ของผู้เป็นบิดาคอยแกว่งไกวเบาๆ ยามนี้บริเวณรอบๆ จวน โคมไฟสีเหลืองนวลถูกจุดให้ความสว่าง สองสามีภรรยาที่ยังคงตระกองกอดกันอยู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว มือของพวกเขาประ
เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น บ้านเมืองที่เดิมนั้นชาวบ้านชาวเมืองยากไร้อดอยากคงจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อฝ่าบาท องค์รัชทายาทและเหล่าขุนนางที่เหลือเพียงขุนนางน้ำดีต่างร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นอย่างเร่งด่วน ทรัพย์สมบัติที่ยึดมาจากเหล่าขุนนางชั่วช้า โกงกิน ที่ร่วมกับฝั่งกบฏถูกยึดเข้าท้องพระคลังทั้งหมด ก่อนจะถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน เหล่าชาวบ้านที่ไร้อาชีพและไร้ที่ทำกินจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้อย่างยุติธรรม และหากตรวจพบว่ามีการทุจริตก็มีข้อกำหนดโทษเอาไว้สูงสุดและไม่มีข้อยกเว้น การปราบกบฏครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระล้างอำนาจมืด ขุดรากถอนโคน คนโกง คนชั่วครั้งใหญ่ แม้ว่าจะไม่หมดไปทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าคนเหล่านั้นต่างเก็บมือเก็บไม้ ไม่โผล่หางออกมาระรานผู้คนส่วนเรื่องราวภายในวังหลวงตอนนี้ องค์หญิงใหญ่เฉินหลี่เชี่ยน ก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วแม้ตอนนี้นางจะคืนสู่ฐานันดร แต่นามของนางยังคงเดิม เปลี่ยนก็เพียงแค่แซ่เท่านั้น เพราะนามหลี่เชี่ยนเป็นนามที่มารดาเป็นผู้ตั้งให้ นางมีเพียงสิ่งนี้ที่ให้ระลึกถึงมารด
ความจริงที่ได้รับรู้สร้างความตกตะลึงให้กับเหอไป๋เหยียนเป็นอย่างมาก เขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมามากมาย แต่เขากลับยังซ้ำเติมใจร้ายใจดำกับนาง ทำร้ายจิตใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า"เฉิงซีหมิง เจ้าอย่าได้คิดว่าจะได้บุตรสาวเจ้ากลับคืน ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย ทนมองสายเลือดของเจ้าขาดใจตายไปต่อหน้า ข้าจะพานางไปพบกับมารดาของนาง จะพานางไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับว่านจื่อในปรโลก""จ่งชิว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ปล่อยนางไป หากเจ้าปรารถนาชีวิตของข้า ข้าก็จะให้เจ้า"ฮ่องเต้เฉิงซีหมิงตรัสออกมาด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนขอต่อผู้ที่เคยเป็นสหาย มองดูสายเลือดของตนอย่างรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องนางได้"ฮ่าฮ่าฮ่า เฉิงซีหมิงความตายสำหรับเจ้านั้นมันง่ายดายเกินไป ข้าปรารถนาให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่า"จ้าวจ่งชิวดึงกริชรูปทรงงดงามล้ำค่าที่เขาเตรียมเอาไว้สำหรับการนี้ออกมา หันปลายแหลมคมของมันเข้าหาตำแหน่งหัวใจของสตรีที่เขาเฝ้ามองนางมาตั้งแต่เล็ก ดวงตาแข็งกร้าวนั้นแดงก่ำจนดูน่ากลัวจ้าวหลี่เชี่ยนร่ำไห้ตัวสั่นเทา มองปลายกริชวาววับนั้นด้วยความหวาดกลัว จิตใจขอ
จ้าวจ่งชิวหันมาเผชิญหน้ากับบุรุษสูงศักดิ์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายของเขา แต่ตอนนี้ระหว่างเขากับคนผู้นี้ไม่อาจที่จะยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้อีกแล้ว"พอได้แล้วจ้าวจ่งชิว เจ้าแค้นเคืองเกลียดชังข้าก็ไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง"ฮ่องเต้เฉินซีหมิงเอ่ยกับคนตรงหน้า สายพระเนตรเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจจ้าวจ่งชิวแสยะยิ้มให้กับคำกล่าวนั้น เขากระชากร่างเล็กของสตรีที่ยืนสั่นเทาร่างกายโงนเงนเข้าหาตัว ฝ่ามือหยาบยกขึ้นบีบปลายคางเล็กๆ นั้นให้หันไปทางบุรุษทั้งสองที่ทำลายชีวิตเขาจนพังพินาศภาพนั้นสร้างความเจ็บปวดใจให้คนทั้งสองที่กำลังจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง แต่ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยเหลือเหอไป๋เหยียนกำมือเข้าหากันแน่น ลอบส่งสัญญาณให้คนของเขารอจังหวะจู่โจมอีกฝ่าย สายตานั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าซีดขาว จ้องมองนางด้วยความเจ็บร้าวในอก บอกนางผ่านแววตาให้นางอดทน ให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา"ผู้ใดกันที่ไม่เกี่ยวข้อง เด็กคนนี้หรือ"ฮ่าฮ่าฮ่า"เด็กที่เกิดจากการทรยศของพวกเจ้าน่ะหรือที่ไม่เกี่ยวข้อง"จ้าวจ่งชิวหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตด้วยความเจ็บปวดเขาและว่านจื่อนั้นเติบโตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนเล่นกันม
ทางฝั่งของบุรุษนั้นก็มีการปะทะเกิดขึ้นเช่นกัน มีนักฆ่าบุกเข้ามาเพื่อที่จะสังหารฮ่องเต้ แต่ทุกอย่างกลับถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วเหอไป๋เหยียนให้ทหารองครักษ์คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทกลับไปยังที่พักอย่างปลอดภัย ส่วนเขานั้นเข้าปะทะกับเหล่านักฆ่าและสังหารพวกมันจนหมดสิ้นสายตาคมกล้ากวาดมองซากศพด้วยความเคร่งเครียด เขายังคงไม่คลายความระมัดระวังลง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าทุกอย่างมันดูง่ายดายเกินไป นักฆ่าที่ถูกส่งมานั้นไร้ฝีมือจนถูกกำจัดได้โดยง่ายจนน่าฉงน อีกทั้งจ้าวจ่งชิวยังคงไม่ปรากฏตัว ราวกับว่าการลอบสังหารในครั้งนี้เป็นการถ่วงเวลาเสียมากกว่า แต่มันต้องการถ่วงเวลาจากสิ่งใดกันแต่แล้วเสียงฝีเท้าม้าที่มุ่งตรงมาทางพวกเขาทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักลง ใบหน้าขององครักษ์ผู้นั้นทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบเพราะคนผู้นี้คือองครักษ์ที่เขาส่งไปคุ้มครองจ้าวหลี่เชี่ยน"ท่านแม่ทัพขอรับ""เสนาบดีจ้าวจ่งชิวจับตัวคุณหนูจ้าวและคุณหนูตู้ไปขอรับ"ฟังคำรายงานทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง สตรีนางนั้นร่วมมือกับบิดาของนางเพื่อจะหลบหนีไป หรือว่านางถูกจับตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่จ้าวจ
"ยังไม่มีคนจากในวังติดต่อมาหรือ""เอ่อ ไม่มีขอรับ" ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ผ่านไปร่วมเดือนแล้วที่เขาเฝ้าถามคำถามนี้ สตรีนางนั้นเมินเฉยต่อคำขอของเขา ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำกล่าวใดจากปากนาง ไม่แม้แต่จะยอมพบหน้ากัน เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางมันจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วเสียอีก นางกล่าวว่าเขาใจร้าย แต่นางเองก็ใจร้ายกับเขาเช่นกัน เขายอมนางถึงเพียงนี้แล้ว นางยังเมินเฉยต่อเขา ไม่คิดจะกลับมาหาเขา ไม่คิดจะมีเขาร่วมทาง"ท่านแม่ทัพขอรับ คนเสนาบดีจ้าวมีความเคลื่อนไหวขอรับ"คำรายงานนั้นทำให้แผ่นหลังกว้างเหยียดเกร็งขึ้น รับกระดาษแผ่นเล็กจากคนสนิทเหอไป๋เหยียนกวาดตามองจดหมายฉบับนั้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย็น ดวงตาคมกริบทอประกายโหดเหี้ยม ที่แท้เจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นก็รอที่จะลงมือในพิธีล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด แต่คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้มันผู้นั้นกระทำตามใจ"เตรียมคนเอาไว้ให้พร้อม"ขบวนเสด็จเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ใช้ในการจัดพิธีล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในทุกปีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ซึ่งถือเป็นฤกษ์มงคลในการออกเดินทาง ผู้คนต่างเบียดเสียดกันออกมาเพื่อต
สัมผัสนุ่มละมุนที่กำลังคลอเคลียใบหน้า ทำให้ผู้ที่หลับใหลรู้สึกตัวตื่นขึ้น พอลืมตาขึ้นมองก็พบกับเจ้าขนปุกปุยสีขาวอ่อนนุ่มที่กำลังคลอเคลียแก้มนางและราวกับรู้ว่านางนั้นลืมตาตื่นแล้ว เจ้าตัวน้อยนี่ก็หันมาจ้องมองนางตาแป๋วส่งเสียงร้องทักทายอย่างออดอ้อน เหมียว...."เจ้าตัวน้อย มาจากไหนกันหืม"จ้าวหลี่เชี่ยนยันกายลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าจับเจ้าแมวแปลกหน้าหน้าตาน่ารักขึ้นอุ้ม นางไม่เคยเห็นแมวที่นี่มาก่อน ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบันเพราะผู้เป็นบิดาไม่ชมชอบสัตว์หน้าขน ถึงแม้ว่าจะอยากเลี้ยงเพียงไรก็ไม่เคยได้รับอนุญาต แมวตัวนี้คงจะพลัดหลงมาเป็นแน่ ป่านนี้เจ้าของของมันคงจะเป็นห่วงและออกตามหา เพราะดูแล้วมันคงถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี"เจ้าแอบหนีมาเที่ยวเล่นหรือ รู้หรือไม่ว่าผู้เป็นเจ้าของจะเป็นห่วง"เหมียว...เจ้าแมวน้อยราวกับรู้ความซบหัวถูไถกับมือของนางอย่างน่าเอ็นดู หลังจากเล่นกับแมวน้อยอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกหิวขึ้นมา เมื่อคืนนี้นางถูกคนชั่วนั่นรังแกจนหมดเรี่ยวแรง ทั้งยังนอนร้องไห้จนหลับไป ไม่แปลกที่จะรู้สึกหิวเช่นนี้"เจ้าหิวแล้วหรือยังเจ้าแมวน้อย รอข้าสักครู่ประเดี๋ยวข้าจะหาอะไรให้เจ้ากินนะ"เหมียว...."น
ภาพโฉมสะคราญในอาภรณ์ตัวในบางเบา สัดส่วนโค้งเว้าของสตรีงดงามวูบไหวอยู่ภายใต้แสงนวลของเปลวเทียนที่ส่องสลัว กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อบอวลอยู่รอบตัวของนาง ช่างยั่วยวนและล่อลวงบุรุษให้หลงใหลได้เป็นอย่างดีบุรุษผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจ้องมองโฉมสะคราญที่ทำให้เขาแทบจะคลั่งตาย สตรีที่กล้าเมินเฉยต่อเขา สตรีอวดดีที่เขาไม่สามารถลบนางออกไปจากใจได้สีกที เพียงแค่คิดว่าหากนางต้องกลายเป็นของบุรุษอื่นเขาก็แทบจะทนไม่ไหวจ้าวหลี่เชี่ยนที่กำลังเตรียมตัวจะเข้านอน จำต้องชะงักมือที่กำลังจะดับเทียนเมื่อรับรู้ได้ถึงเงาร่างไหววูบที่เคลื่อนไหวอยู่ทางด้านหลัง แต่ทว่ารู้ตัวตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่อาจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ของผู้ที่เข้ามาประชิดทางด้านหลังตะครุบปิดปากของนางเอาไว้"อื้อ อื้อ"ดวงตาตื่นตระหนกกลอกกลิ้งไปมาด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ไม่คาดคิดว่าเวรยามแน่นหนาเช่นนี้ยังมีผู้บุกรุกเข้ามาได้ คนผู้นี้สามารถรอดสายตาเหล่าองครักษ์มากมายเข้ามาได้อย่างไร และต้องการสิ่งใดจากนาง นั่นเป็นคำถามที่วกวนอยู่ในหัวแต่แล้วเสียงอันคุ้นเคยที่ดังชิดใบหูเล็กของนางและลมหายใจอุ่นร้อ
จ้าวหลี่เชี่ยนเปิดม่านหน้าต่างของรถม้าคันหรู ทอดตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเพลิดเพลิน ในวันนี้บรรยากาศภายนอกรถม้านั้นช่างดูงดงามเหลือเกิน มันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนที่นางเดินทางมาที่นี่ยิ่งนักในวันนี้นางกำลังเดินทางไปเคารพป้ายวิญญาณของมารดาโดยที่ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ทั้งยังไม่ต้องเกรงกลัวอันตรายใดๆ เมื่อภายนอกรถม้านั้นห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์ฝีมือดีที่ฝ่าบาททรงประทานให้มาคุ้มครองนาง และยังมีข้ารับใช้อีกหลายคนที่ถูกส่งมาเพื่อทำความสะอาดและซ่อมแซมเรือนที่มารดาและนางเคยใช้ชีวิตอยู่"คุณหนูฝ่าบาททรงมีเมตตาต่อคุณหนูเหลือเกินนะเจ้าคะ ดูสิเพียงคุณหนูเอ่ยว่าอยากจะมาเคารพป้ายวิญญาณของนายหญิงก็ทรงประทานข้าวของเงินทองและบ่าวรับใช้มามากมาย"จ้าวหลี่เชี่ยนยิ้มรับคำกล่าวนั้นของถิงถิง ตลอดหลายวันมานี้ยอมรับว่านางมีความสุขมาก ยิ่งได้สนทนากับฝ่าบาทนางยิ่งรู้สึกได้ถึงความสุขความอบอุ่นที่โอบล้อมรอบตัว แต่ยิ่งนางมีความสุขมากเพียงไร นางก็กลัวความผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น ยอมรับว่านางกำลังมีความหวัง กำลังคาดหวังอยู่ภายในใจ เมื่อได้ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ท่าทียามเมื่อฝ่าบาทเอ่ยถึงมารดามันเต็มไปด