"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ"
เสียงอันคุ้นเคยของบ่าวคนสนิทดังขึ้น ทำให้ผู้ที่กำลังวาดฝันถึงอนาคตละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันกลับมามองบ่าวคนสนิทผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างนางมาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์
ถิงถิง เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนาง อดีตเด็กหญิงกำพร้าตัวผอมบาง ใบหน้าซูบตอบสกปรกมอมแมม เด็กหญิงที่มารดารับเข้าเรือนมาเพราะความเวทนาสงสาร
จ้าวหลี่เชี่ยนรู้สึกถูกชะตากับถิงถิงตั้งแต่แรกเห็น หลังจากนั้นอีกฝ่ายจึงกลายมาเป็นเพื่อนเล่นและบ่าวข้างห้องให้กับนาง ต่อมาก็กลายเป็นผู้พิทักษ์ เป็นผู้ที่คอยปกป้องนางมาตลอดตั้งแต่มารดาได้จากไป และเพราะปกป้องนางจึงทำให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในจวนอย่างยากลำบากตลอดมา
ทว่าตอนนี้ถิงถิงตัวน้อยได้กลายเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามมากเลยทีเดียว สำหรับนาง ถิงถิงไม่ใช่เพียงแค่บ่าวรับใช้ แต่อีกฝ่ายเป็นดั่งสหายสนิท เป็นดั่งพี่น้อง เป็นคนที่นางรักและไว้ใจมากที่สุดเทียบเท่ากับแม่นมผิง
"มีอันใดหรือถิงถิง"
จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยถามเด็กสาวที่เติบโตมาพร้อมกับนางด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางอึดอัดคับข้องใจ
"ก็เจ้าบ่าวหน้าเหม็นผู้นั้นน่ะสิเจ้าคะ ทั้งๆ ที่เราพึ่งจะมาถึงกันได้ไม่นานแท้ๆ แต่กลับเร่งให้กลับจวนเสียแล้ว"
ถิงถิงกล่าวถึงบ่าวชายผู้ที่เป็นคนบังคับรถม้าพาพวกนางมาที่นี่ ตลอดการเดินทางอีกฝ่ายมีสีหน้าบูดบึ้งเพราะไม่เต็มใจที่จะพาพวกนางมา แต่เพราะไม่อาจขัดคำสั่งของฮูหยินเฒ่าจึงทำให้ไม่มีทางเลือกจนต้องฝืนใจมาอย่างไม่เต็มใจ
ดวงตาเรียวของถิงถิงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม กว่าจะเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาหลายชั่วยาม นี่พึ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็เร่งให้กลับจวนเสียแล้ว คุณหนูของนางยังไม่ทันจะหายเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ มันช่างน่าโมโหเสียจริง
จ้าวหลี่เชี่ยนได้แต่ระบายยิ้มกับท่าทางกระฟัดกระเฟียดของบ่าวคนสนิท รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นห่วงนาง ก่อนจะทอดถอนใจอย่างยอมจำนน
เวลาช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน
"เช่นนั้นเราก็กลับกันเถิด"
นางไม่ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนที่นี่ แต่แค่ได้มาเคารพป้ายวิญญาณของมารดาก็ถือว่าเป็นความเมตตามากที่สุดสำหรับนางแล้ว ถึงแม้ว่าอยากจะอยู่ต่อให้นานกว่านี้มากแค่ไหนก็ตาม หากนางดื้อรั้นนั่นอาจจะเป็นการทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน และอาจจะไม่ได้ย่างเท้ามาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง
ถิงถิงเมื่อได้ยินผู้เป็นนายกล่าวเช่นนั้นก็ให้รู้สึกสงสารและเห็นใจผู้เป็นนาย ด้วยรู้ดีว่าความจริงแล้วคุณหนูนั้นยังไม่อยากจะกลับ คุณหนูจากที่แห่งนี้ไปถึงแปดปี พึ่งจะได้เหยียบย่างเข้ามาไม่ทันไรก็ต้องจากไปอีกแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้จึงคว้าเอาร่มกระดาษออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจะช่วยจัดเสื้อคลุมกันหนาวบนร่างของผู้เป็นนายอย่างห่วงใย จากนั้นสองนายบ่าวก็เร่งฝีเท้าเดินฝ่าหิมะตรงไปยังรถม้าเพื่อกลับจวนตระกูลจ้าว
รถม้ากลางเก่ากลางใหม่แล่นไปตามถนนขรุขระที่มีหิมะทับถมด้วยความเร็ว ทำให้สตรีสองนางที่นั่งอยู่ภายในรู้สึกกังวลในความปลอดภัย ถนนสายนี้ค่อนข้างที่จะลาดชันเพราะอยู่บนเนินเขาอีกทั้งมีหิมะทับถมย่อมทำให้ถนนลื่น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นคงไม่ดีแน่
"พี่ชาย ช่วยช้าลงหน่อยเถิด"
จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยกับบ่าวชายผู้บังคับรถม้าเมื่อรู้สึกถึงอันตรายแต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย
"นี่เจ้า ไม่ได้ยินที่คุณหนูบอกหรือ จะรีบร้อนไปไหนกัน ถนนลื่นเช่นนี้มันอันตรายเจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร"
เป็นถิงถิงที่ไม่อาจทนไหวกับความหน้ามึนของบ่าวผู้นั้น จึงเปิดม่านตะโกนบอกเสียงดังใส่ผู้ที่แสร้งหูหนวกตาบอด แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของนางหรืออาจจะอยากกลั่นแกล้งกัน เขาจึงไม่มีทีท่าว่าจะชะลอรถม้าให้ช้าลง อีกทั้งยังบังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้นยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก
ถิงถิงโกรธจนตัวสั่นขยับออกมาใกล้ประตูรถม้า หมายจะด่าสั่งสอนเจ้าคนโง่และงี่เง่าผู้นี้ให้หูชา
กรี๊ด!!!
"ถิงถิง"
แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยวาจาใดก็ต้องกรีดร้องออกมาเสียงหลง หูนั้นได้ยินเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยเรียกตนอย่างตื่นตระหนก เมื่อรถม้าเกิดตกหลุมจนโคลงเคลงไปทั้งคันและไถลไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เกิดอุบัติเหตุขึ้นอย่างที่พวกนางกังวลจริงๆ
"ถิงถิงระวัง"
จ้าวหลี่เชี่ยนร้องบอกบ่าวของตนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเกือบจะพลัดตกจากรถม้า
"คุณหนูจับเอาไว้ให้แน่นๆ นะเจ้าคะ"
ส่วนถิงถิงนั้นหาได้ห่วงตัวเอง หันไปเอ่ยบอกผู้เป็นนายที่จับยึดหน้าต่างรถม้ามองมาที่นางอย่างห่วงใย ยิ่งเห็นใบหน้าผู้เป็นนายซีดเผือดเพราะตกใจยิ่งรู้สึกเดือดดาล ส่วนเจ้าโง่ผู้นั้นก็ตกใจจนหน้าตาตื่นหน้าซีดปากสั่น ไร้สติที่จะบังคับม้า หากรอดไปได้ นางสาบานว่าจะเอาเลือดหัวของเจ้าลาโง่ผู้นี้ออกให้จงได้
แต่ทว่าเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ล้อรถม้าดันไปชนเข้ากับหินก้อนใหญ่จนเกิดความเสียหายทำให้ล้อรถม้าเกือบหลุดออกมาจากตัวรถ ถิงถิงที่พยายามเข้าไปหานายของตนถูกกระแทกจากแรงปะทะนั้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวนางจึงกระเด็นพลัดตกจากรถม้า
เกิดความโกลาหลขึ้น ม้านั้นตื่นตกใจจนวิ่งเตลิดลากรถม้าที่ล้อใกล้จะหลุดออกจากกันไปอย่างไร้ทิศทาง
กรี๊ด!!!
ถิงถิงรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัวได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้เป็นนายก็หลงลืมความเจ็บรีบหันไปตามเสียงนั้น ทันได้เห็นม้าที่กำลังพยศวิ่งเตลิดลากรถม้าที่ล้อข้างหนึ่งโยกคลอนใกล้จะหลุดจากตัวรถ หัวใจของนางพลันเต้นแรงอย่างตื่นตระหนก หางตาเหลือบเห็นเจ้าคนชั่วนั่นกระโดดเอาตัวรอดปล่อยให้ม้าวิ่งไปตามเนินเขาที่ลาดชัน ทั้งๆ ที่คุณหนูของนางยังคงติดอยู่ในนั้น
"คุณหนู!!! ไอ้เจ้าคนบัดซบเอ๊ย"
ถิงถิงร้องเรียกผู้เป็นนายพร้อมกับก่นด่าชายผู้บังคับรถม้า นางอยากจะฆ่ามันให้ตายนัก พยายามชันกายลุกขึ้นวิ่งตามไปอย่างสุดกำลัง
ม้าวิ่งเตลิดลากรถม้าไปตามทางลาดชันที่คดเคี้ยว เบื้องหน้าเป็นผาสูงหากเกิดพลาดพลัดตกลงไปคนในรถม้าคงไม่อาจรักษาชีวิต
แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตา มีคนกลุ่มหนึ่งควบม้าผ่านมาทางนี้และได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุรุษผู้หนึ่งที่ควบม้าอยู่ด้านหน้าเร่งม้าควบทะยานจนสามารถตีขนาบอยู่ด้านข้างรถม้า เขาจ้องมองสตรีที่จับยึดหน้าต่างรถม้าเอาไว้แน่น กายบางสั่นเทาก้มหน้าก้มตาคุดคู้อยู่ในซอกหนึ่งของรถม้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองออกมาภายนอก
"แม่นาง แม่นางเจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ส่งมือมาให้ข้า"
เสียงทุ้มร้องเรียกให้นางส่งมือมาให้เขาในขณะที่บังคับม้าให้ขนาบเคียงไปกับรถม้า
จ้าวหลี่เชี่ยนได้ยินเสียงร้องเรียกก็ฝืนความกลัวหันไปมองตามเสียงนั้น
ใบหน้าของสตรีที่หันมาทำให้ชายหนุ่มแทบจะลืมหายใจ ทันทีที่สตรีนางนั้นหันมามองสบตาเขา หัวใจของบุรุษหนุ่มพลันกระตุก ก่อนจะเต้นระรัวผิดจังหวะเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาที่กำลังตื่นตระหนก ดวงตาคู่งามที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งความหวาดกลัว ท่าทางน่าสงสารนั้นทำให้หัวใจของบุรุษเช่นเขาไหววูบ
หยดน้ำแวววาวที่ปริ่มขอบตาเมื่อครู่บัดนี้หลั่งไหลออกมาราวกับเม็ดมุก นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่มีคนมาช่วย แต่ถึงแม้จะรู้สึกยินดี แต่รับรู้ได้ถึงความเร็วในขณะนี้ ก็อดที่หวั่นกลัวเสียไม่ได้
น้ำตาของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มได้สติรีบส่งมือไปให้นางได้เกาะกุม มองเห็นความลังเลและหวาดกลัวของอีกฝ่ายจึงเอ่ยกับนาง
"อย่ากลัว เชื่อใจข้า ส่งมือมาแล้วเจ้าจะปลอดภัย"
จ้าวหลี่เชี่ยนมองสบดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เรือนกายกำยำทรงตัวอยู่บนหลังม้าอย่างองอาจสง่างาม ฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมาหานางดูทรงพลัง กลิ่นอายทุกอย่างบนตัวเขาทำให้นางรู้สึกมั่นใจและรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด
มือขาวเนียนสั่นระริกตัดสินใจยื่นไปหาฝ่ามือใหญ่อย่างระมัดระวัง ทันทีที่เขากอบกุมมือนางเอาไว้และกระชับแน่น ความรู้สึกอุ่นวาบที่ได้สัมผัสช่วยให้นางใจสงบมากขึ้น กระชับมือของตนกับมือแข็งแกร่งนั้นไม่ยอมให้มันหลุดออกจากกัน
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวเขาก็สามารถดึงนางออกมาจากรถม้า ร่างบอบบางตกมาอยู่ในอ้อมแขนแกร่งได้อย่างปลอดภัย
เมื่อนั่งอยู่บนหลังม้าที่ห้อตะบึงฝ่ามือเล็กจับกระชับอาภรณ์อีกฝ่ายเอาไว้จนแน่น สายตานั้นจ้องมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอย่างโง่งม เมื่อนางรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด
"แม่นาง เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่"
เพราะมัวแต่เหม่อลอยจึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้เขาได้หยุดม้าลงแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามนาง
"ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้บาดเจ็บ"
จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยตอบคำอีกฝ่ายอย่างประหม่า รีบปล่อยมือจากอาภรณ์ของเขาที่นางเผลอขย้ำเสียจนยับย่น
ชายหนุ่มตวัดกายลงจากหลังม้า พร้อมกับยกตัวของนางลงมายืนเบื้องล่างราวกับนางไร้น้ำหนัก ตัวของนางเบามาก อีกทั้งยังสูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น
"ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้ข้าคงแย่แน่ๆ"
ชายหนุ่มยิ้มรับคำขอบคุณนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวคำใด บ่าวของนางที่ติดตามมากับคนของเขาก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน
"คุณหนู ฮื้อ ฮื้อ"
ถิงถิงเมื่อเห็นว่านายของตนปลอดภัยก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายสายตาของผู้ใดจนผู้เป็นนายต้องคอยปลอบใจเสียยกใหญ่
ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าทุกอย่างนั้นคลี่คลายจึงออกคำสั่งให้คนของตนซ่อมแซมรถม้าและอาสาพาหญิงสาวไปส่งถึงจวน ถึงแม้ว่าเขานั้นอยากจะทำความรู้จักกับนางให้มากกว่านี้ แต่เพราะสาวใช้ของนางนั้นได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกจากการที่พลัดตกลงมาจากรถม้าจึงทำให้นางต้องดูแลคนของตน เขาจึงไม่อยากที่จะรบกวน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องไปส่งนางถึงเรือนย่อมรู้ได้ว่านางนั้นเป็นบุตรสาวบ้านใด ส่วนเรื่องที่จะสานสัมพันธ์ต่อไปนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
เขายอมรับว่ารู้สึกสนใจในตัวนางเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะพบเจอสตรีงดงามมามากมาย แต่ก็ไม่เคยมีสตรีคนใดที่ทำให้เขาเสียอาการได้เท่านางมาก่อน อีกทั้งเขายังรู้สึกคุ้นเคยกับนางอย่างประหลาด มันช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก
แต่แล้วความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็หยุดชะงักลง เมื่อที่ที่นางให้เขามาส่งนั้นเป็นประตูด้านหลังของจวนตระกูลจ้าว
"ข้าต้องขอขอบคุณท่านอีกครั้งนะเจ้าค่ะ"
จ้าวหลี่เชี่ยนเมื่อลงจากรถม้าก็เอ่ยขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับค้อมศีรษะให้อย่างซาบซึ้งใจจริงๆ
"แม่นาง ข้าขอทราบนามของเจ้าจะได้หรือไม่"
ชายหนุ่มยิ้มรับคำขอบคุณของหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยถามนามของนาง ดวงตานั้นไหววูบมองใบหน้างดงามอย่างรอคอยคำตอบ
"หลี่เชี่ยนเจ้าค่ะ จ้าวหลี่เชี่ยนคือนามของข้า"
จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยตอบเขาด้วยรอยยิ้ม
"คุณหนูสามจ้าวหลี่เชี่ยน"
ชายหนุ่มเอ่ยนามของนางออกมาแผ่วเบา มันช่างบังเอิญเสียจริง
แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินนามของนาง ระยะหลังมานี้มักจะได้ยินบ่อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ นางคือสตรีที่ผู้คนต่างลืมเลือน เพราะอีกฝ่ายไม่เคยปรากฏตัวที่ไหน และเขายังรู้อีกว่านางเป็นบุตรที่บิดาหมางเมิน ชีวิตของนางในจวนตระกูลจ้าวไม่ใคร่จะดีนัก ดูน่าสงสารอยู่ไม่น้อย ก็ในเมื่อนางงดงามเสียขนาดนี้ เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าสตรีงดงามเช่นนี้จะถูกซ่อนตัวอยู่ในจวนตระกูลจ้าว แต่ก็ไม่แปลกที่นางจะถูกแอบซ่อนเอาไว้ บุตรที่เกิดจากภรรยารองงดงามโดดเด่นกว่าบุตรของฮูหยินเอกย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี ย่อมที่จะถูกกดข่มเอาไว้
"เจ้าค่ะ ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว"
จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยยืนยันเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
"ยินดีที่ได้พบกันคุณหนูสาม ข้ามู่เฉินอี้"
ชายหนุ่มส่งยิ้มกว้างให้หญิงสาว เอ่ยแนะนำตัวกับนางอย่างมีไมตรี
"เจ้าค่ะ ยินดีที่ได้พบกัน คุณชายมู่ บุญคุณครั้งนี้สักวันคงได้ตอบแทน"
จ้าวหลี่เชี่ยนส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับอีกฝ่าย หากนางยังไม่กลับถึงเรือนคงได้ถูกทำโทษอีกเป็นแน่
'จ้าวหลี่เชี่ยน'
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเล็กที่เดินลับหายเข้าไปในจวนตระกูลจ้าวด้วยแววตาล้ำลึก มุมปากหยักกดลึกลงเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
ในเช้าวันที่อากาศเริ่มจะสดใส หิมะที่โปรยปรายมาอย่างยาวนานหยุดตกไปได้หลายวันแล้ว ลำแสงแรกแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูสาดส่องลงมากระทบยอดหญ้าที่แตกยอดใหม่ดูงดงามจับตาและในเช้าวันนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนต้องแปลกใจ เมื่อมีคำสั่งจากบิดาให้นางย้ายออกจากเรือนร้างท้ายจวนแห่งนี้ไปยังเรือนเหลียนฮวาที่กว้างขวางและงดงาม อีกทั้งยังมอบอาภรณ์และเครื่องประดับล้ำค่ามาให้นางมากมาย ให้อิสระในการออกนอกจวนกับนาง บ่าวรับใช้ของมารดาถูกส่งกลับมาให้รับใช้นาง รวมถึงส่งบ่าวรับใช้อีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้นางเทียบเท่ากับบุตรคนอื่นๆ แต่นางคิดว่าส่งมาเพื่อจับตาและควบคุมนางต่างหาก"เกิดอะไรขึ้น"เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายดังจะถามตัวเองเสียมากกว่าถิงถิงสบสายตากับผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าน้อยๆ อย่างจนปัญญา คาดเดาไม่ถูกถึงการกระทำทั้งหมดของท่านเสนาบดีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของผู้เป็นนาย นางที่เติบโตมาพร้อมกับคุณหนู อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลาย่อมรับรู้สิ่งที่ผู้เป็นนายต้องเผชิญ รับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติและไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรงแต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู ปกป
หลังจากพิธีปักปิ่น ชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนสุขสบาย นางได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีเช่นดังคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งแต่สิ่งที่ทำให้นางไร้ความสุข คือบรรดาแม่สื่อที่ถูกส่งมายังจวนตระกูลจ้าว นางหวั่นเกรงทุกครั้งที่มีผู้มาทาบทามสู่ขอ แต่ก็นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางที่คุณหนูใหญ่ของจวนยังไม่ได้ออกเรือน นั่นจึงเป็นข้ออ้างที่บิดาของนางใช้ตอบกลับไป ทั้งที่ความจริงแล้วยังไม่มีผู้ใดที่เข้าตาและมีผลประโยชน์ตรงตามที่เขาต้องการต่างหากวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนให้สตรีที่ไร้ตัวตนในจวนตระกูลจ้าว สตรีผู้ที่ถูกผู้คนลืมเลือน บัดนี้นางได้กลายเป็นยอดพธูของเมืองหลวง เป็นสตรีที่ถูกขนานนามว่างดงามเป็นหนึ่ง ความงามลือเลื่องจนเป็นที่กล่าวขาน มีบุรุษมากมายที่หมายปองนาง รวมถึงบุรุษที่นางคิดเสมอว่าเขาอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับนาง บุรุษที่สายตาของนางมักจะมองดูเขาเสมอยามอีกฝ่ายมาเยือนจวนตระกูลจ้าว"ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ว่ามันเหมาะสมกับเจ้า เจ้า งดงามมาก"เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยดังขึ้นด้านหลังทำให้โฉมงามที่กำลังชื่นชมความงดงามของหมู่มวลบุปผาต้องหันกลับไปมองบุรุษผู้มีรูปร่างหน้
"คุณหนูเจ้าคะ"เสียงเรียกของบ่าวคนสนิทที่ดังขึ้น ทำให้ผู้ที่จมอยู่กับความฝันเมื่อคืนนี้ถึงกับสะดุ้ง ใบหน้างามนั้นไม่ใคร่จะสดใสนัก เมื่อคืนนางฝันร้าย ในฝันนั้นรอบกายของนางปกคลุมไปด้วยม่านหมอกหนาจนมองไม่เห็นสิ่งใด มองเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง เขาเดินเข้ามาหานางอย่างคุกคาม แต่นางกลับไม่อาจที่จะหลีกหนีได้ ราวกับทั้งร่างของนางถูกพันธนาการเอาไว้ นางถูกคนผู้นั้นใช้มีดอันคมกริบกรีดลงมาบนหัวใจ โลหิตสีแดงพุ่งทะลักออกมาอย่างน่ากลัว ในฝันนั้นนางทั้งเจ็บปวดและรู้สึกหวาดกลัว หัวใจของนางบีบรัดจนแทบจะหายใจไม่ออก นั่นจึงทำให้เช้าวันนี้ของนางไม่สดใสอย่างที่ควร นางรู้สึกไม่ค่อยจะดีนักราวกับมันมีลางบอกเหตุ"มีอะไรเช่นนั้นหรือถิงถิง"เสียงหวานที่ฟังดูอ่อนแรงเอ่ยถามคนสนิท"คนจากเรือนใหญ่มาแจ้งว่าท่านเสนาบดีเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ"ถิงถิงรายงานผู้เป็นนายของตนทันทีหลังจากที่ก้าวเข้ามาทรุดกายลงใกล้ๆ มองนายของตนอย่างเป็นห่วงนางรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ รับรู้มาว่าวันนี้ท่านเสนาบดีถูกเรียกให้เข้าวังตั้งแต่รุ่งสาง และทันทีที่กลับมาจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เรียกหาคุณหนูของนางทันที นั่นยิ่งทำให้นางมั่
ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสทุกครายามที่แหงนเงยใบหน้าขึ้นมอง ในวันนี้กลับมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน มันมืดดำจนดูน่ากลัว พาให้หมู่มวลบุปผางามรอบกายที่มักจะชูช่อเบ่งบานอย่างงดงามดูหม่นหมองไร้ชีวิตชีวา คล้ายดังชีวิตของนางในตอนนี้จ้าวหลี่เชี่ยนเหม่อมองผืนฟ้าเบื้องหน้าที่อึมครึมไปด้วยเมฆฝนด้วยดวงใจที่บอบช้ำ รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะแหลกสลาย นางช่างโง่งมนัก โง่งมจริงๆ ที่หลงมัวเมาในรักจนโดนบุรุษผู้นั้นหลอกลวง เหยียบย่ำดวงใจจนแหลกเหลวการถูกบิดาใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นหมากในการแสวงหาอำนาจไม่เจ็บเท่าโดนบุรุษทำให้เจ็บช้ำใจ นางช่างน่าขันเสียจริงจ้าวหลี่เชี่ยนหัวเราะออกมาทั้งที่หยาดน้ำตานั้นไหลอาบแก้ม ตั้งแต่วันนั้นน้ำตาของนางยังคงไม่หยุดไหลยามเมื่อคิดถึงคนผู้นั้น จากผู้ที่มอบรอยยิ้มให้นางกลับกลายเป็นผู้ที่ทำให้นางมีน้ำตาเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลัง ทำให้นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มนวล เอ่ยออกมาโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกฝ่าย"ถิงถิงบอกแล้วอย่างไรว่าข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"นางไม่อยากให้ถิงถิงเห็นน้ำตา รู้ดีว่าอีกฝ่ายรักและเป็นห่วงนางมากแค่ไหน รู้ดีว่าตนนั้นทำให้คนที่รักและหวังดีกับนางนั้นทุกข์ใจเพียงใด แต่ความเงี
จ้าวหลี่เชี่ยนวิ่งฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่สนใจว่ามันอาจจะทำให้นางล้มป่วย นางขอเพียงแค่ไปให้พ้นจากคนผู้นั้นโดยเร็วที่สุดก็พอแล้วหัวใจของนางเจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนัก นางรู้สึกสับสนไปหมด ไม่อาจที่จะสลัดคนผู้นั้นออกจากความคิดได้เลยฝ่ามือเล็กกอบกุมหัวใจที่ปวดร้าวจนเจ็บแน่น นางไม่อาจทนแบกรับความผิดหวังและเสียใจนั้นได้ไหว เพียงก้าวเข้ามาในเรือน ร่างบอบบางก็อ่อนปวกเปียกทรุดฮวบลงกับพื้นรอบกายมืดมนไปหมด นางหมดสติไปด้วยความโศกเศร้าที่ท่วมท้นหยาดน้ำตายังคงนองใบหน้าเมื่อฟื้นคืนสติจ้าวหลี่เชี่ยนพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในเรือนของนางเอง แต่ทันทีที่ลืมตาขึ้นเสียงที่คุ้นเคยก็เอ่ยเรียกนางพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นเข้ามากอบกุมมือของนางเอาไว้"คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ"ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วไหลออกมาอีกครั้ง ความรักความห่วงใยและร่องรอยความโศกเศร้าในดวงตาของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกผิด"แม่นมผิง ข้าขอโทษเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ"จ้าวหลี่เชี่ยนลุกขึ้นนั่งตามการประคองของสตรีที่ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า ใบหน้าซีดขาวนั้น
ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของจ้าวหลี่เชี่ยนในจวนตระกูลจ้าวเป็นเสียยิ่งกว่านักโทษ นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนเหลียนฮวาไม่ให้พบผู้ใด รอวันที่ราชโองการมาถึงนางก็จะถูกส่งตัวเข้าวังหลวงทันทีวันนี้นางได้ย่างเท้าออกจากเรือนเหลียนฮวาเป็นครั้งแรก เนื่องจากฮูหยินเฒ่ารู้สึกเวทนาจึงเรียกให้มาสนทนาและรับประทานอาหารร่วมกันที่เรือนใหญ่ นางจึงได้รู้ว่าแม่นมผิงนั้นยังถูกกักขังส่วนถิงถิงนั้นถูกขายออกไป นั่นจึงทำให้นางรู้สึกเศร้าโศกและเป็นกังวล จึงได้ลอบให้บ่าวที่เป็นคนของมารดาตามหาถิงถิงวันนี้ทั้งวันจ้าวหลี่เชี่ยนยังคงคอยปรนนิบัติดูแลฮูหยินเฒ่า และอีกฝ่ายนั้นเกิดอยากจะกินแกงไหลบัวขึ้นมา ถงฮูหยิน ฮูหยินใหญ่ตระกูลจ้าวลูกสะใภ้ผู้กตัญญูจึงโยนหน้าที่นั้นให้นางและบุตรสาวของตน โดยให้เหตุผลว่าหากนางได้ทำอะไรเสียบ้างนางจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งแน่นอนจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการฉวยโอกาสนี้กลั่นแกล้งนาง ถึงแม้ว่าพอจะทำใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดจะเล่นงานกันรุนแรงถึงเพียงนี้คุณหนูใหญ่จ้าวเสวี่ยเฟย ผู้เป็นพี่สาวนั้นเกลียดชังนางไม่ต่างจากฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา หากมีโอกาสย่อมไม่พลาดที่จะกลั่นแกล้งให้นางต้องเจ็บตัว
วังหลวงดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ในวันนี้ดูอู้ฟู่งดงามตระการตาขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะวันนี้มีพิธีการอันยิ่งใหญ่คือการสถาปนาฮองเฮาของแผ่นดินพระองค์ใหม่ หลังจากที่บัลลังก์หงส์ว่างเว้นมานาน ในที่สุดก็มีสตรีที่สามารถกุมพระทัยผู้ครองแคว้นแม้วังหลังจะเต็มไปด้วยเหล่าสนมและหญิงงามมากมายสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา แต่สตรีเหล่านั้นกลับมิได้ถูกเลือก ไม่อาจที่จะได้ครอบครองบัลลังก์หงส์ แต่สตรีที่จะได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดอยู่เหนือสตรีทั้งปวงกลับเป็นเพียงสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งสตรีโฉมงามวัยเพียงสิบหกปี สตรีผู้ที่มีใบหน้างดงามปานล่มเมือง นางคือฮองเฮาพระองค์ใหม่องค์ที่สองในรัชศกนี้คันฉ่องทองคำบานใหญ่สูงจรดเพดาน สะท้อนให้เห็นเงาร่างของสตรีผู้มีความงามพิสุทธิ์ งดงามเย้ายวนราวกับนางจิ้งจอก เรือนร่างสะโอดสะองอยู่ในชุดอาภรณ์ล้ำค่าควรเมือง อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บขึ้นมาอย่างประณีตชุดตัวในคือผ้าไหมเรียบลื่นสีแดงสด ผ้าไหมที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปีถึงจะได้เส้นไหมเพียงพอมาถักทอเป็นผืนผ้าขึ้นมาได้หนึ่งผืน อาภรณ์ที่ให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อได้สวมใส่ บัดนี้ห่อหุ้มอยู่บนเรือนร่างอวบอิ่มขาวนวลเนียนราวกับน้ำนม คลุมทับด้วยชุดพระ
ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำในป่าทึบแสนวังเวงและน่ากลัว เสียงร้องของสัตว์น้อยใหญ่ในป่าดังกึกก้อง มองไปเบื้องหน้ามีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปเสียหมด ร่างบอบบางของสตรีในอาภรณ์สีแดงล้ำค่า แต่ทว่าตอนนี้กลับขาดวิ่นจนไม่เหลือชิ้นดี อาภรณ์แสนงามเปียกลู่แนบไปกับเรือนร่างเย้ายวน เส้นผมดำขลับนุ่มสลวยที่ได้รับการจัดแต่งอย่างงดงามหลุดลุ่ยมาปรกใบหน้านวลจนมองดูยุ่งเหยิง แต่กลับมิได้รับความสนใจจากเจ้าของ ใบหน้างดงามนั้นซีดเผือดไร้สีเลือด สองเท้าเล็กเปล่าเปลือยที่ย่ำลงบนเศษใบไม้ใบหญ้านั้นปวดแปลบจนเริ่มชาไปหมด พยายามวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย โดยมีเหล่าชายฉกรรจ์ชุดดำวิ่งไล่ล่าตามมาด้านหลัง รอบกายต่างเต็มไปด้วยป่าเปลี่ยวหลังจากออกมาจากกำแพงวังหลวงได้สำเร็จ จ้าวหลี่เชี่ยนก็วิ่งต่อไปอย่างไร้ทิศทาง รู้ตัวอีกทีรอบกายก็โอบล้อมไปด้วยป่าทึบ นางวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยหอบ เห็นได้ชัดว่าสองขาเรียวนั้นเริ่มไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่กระแสลมที่โหมกระหน่ำมาปะทะร่างเล็กก็ช่างเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งฝ่าไปข้างหน้า แม้ว่าแขนขาแทบไม่มีแรงวิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำตามมาด้านหลัง ยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พลันเต้นก
"ถิงถิง"ลู่เจียวเอ่ยเรียกเด็กสาวผู้ที่หิ้วตะกร้าจนตัวเอียงทันทีที่อีกฝ่ายเดินเข้ามา พร้อมทั้งเดินเข้าไปรั้งให้อีกฝ่ายถอยห่างออกมาจากหน้าเรือน"พี่ลู่เจียวมีอันใดหรือเจ้าคะ"ถิงถิงเอ่ยถามสตรีที่มีท่าทางกระสับกระส่ายอีกทั้งยังมองไปทางเรือนนอนของนางด้วยสายตาประหลาดจนน่าสงสัย"ท่านแม่ทัพมาที่นี่"คำตอบที่ได้รับทำให้นางแทบจะปล่อยมือจากตะกร้าสานที่ด้านในนั้นเต็มไปด้วยของกินและขนมมากมาย หากอีกฝ่ายไม่ยื่นมือมาประคองเอาไว้คาดว่าของกินเหล่านี้คงไปกองอยู่บนพื้นเป็นแน่"ทะ ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ""ท่านแม่ทัพมาที่นี่"ลู่เจียวเอ่ยย้ำกับอีกฝ่าย สายตานั้นมองไปยังเรือนพักของนางและผู้เป็นนาย บ่งบอกให้ถิงถิงรู้ว่าตอนนี้คนที่ถูกกล่าวถึงกำลังอยู่ในห้องนั้นกับคุณหนูของนางลู่เจียวที่มักจะมาพูดคุยกับสองนายบ่าวอยู่เสมอ ทันได้เห็นแผ่นหลังของท่านแม่ทัพหายเข้าไปในเรือนนอนของทั้งสองหลังจากที่เห็นว่าถิงถิงเดินหายไปทางโรงครัว นางรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นว่าท่านแม่ทัพจะกลับออกมา แต่กลับมีเสียงหนึ่งที่เล็ดลอดออกมาแทน และเสียงนั้นนางรู้ดีว่าด้านในนั้นกำลังเกิดสิ่งใดขึ้น จึงตั้งใจรอถิงถิงอยู่ตรงนี้"เอ่อ ถิงถิงเช่นนั
คล้อยหลังร่างเล็กของถิงถิง ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากมุมมืด สาวเท้าตรงไปยังห้องที่สาวใช้ตัวน้อยพึ่งจะเดินออกมา แล้วผลักประตูแทรกตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่ามีสตรีอีกนางหนึ่งกำลังเดินตรงมาเสียงเปิดปิดประตูทำให้คนที่หันกลับไปนั่งมองดวงจันทร์อีกครั้งหลังจากที่คนของตนผลุบหายไปโดยไม่ยอมหยุดฟังคำทัดทานมีสีหน้าฉงน นึกแปลกใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงได้กลับมาเร็วนัก เพราะโรงครัวกับเรือนหลังนี้ใช่ว่าจะอยู่ใกล้กัน หรือทางจะไม่สะดวกผู้ที่ริจะเป็นแมวจอมตะกละจึงกลับมาตั้งหลักคิดได้ดังนั้นเรียวปากอวบอิ่มก็คลี่ออกจากกันเป็นรอยยิ้มขัน จ้าวหลี่เชี่ยนหันกลับมาหมายจะกล่าววาจาเย้าหยอกบ่าวของตนสักสองสามคำที่อีกฝ่ายไม่ยอมฟังกันตั้งแต่แรก แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาหาใช่คนที่ตนคิด รอยยิ้มบนริมฝีปากอิ่มกลับแข็งค้าง ก่อนจะหุบฉับลง ความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้างาม เมื่อคนตรงหน้าคือคนใจร้ายที่หายหน้าไป บุรุษใจทมิฬผู้เป็นเจ้าของจวนและผู้ที่กุมชะตาชีวิตของนาง"ท่านแม่ทัพ"จ้าวหลี่เชี่ยนเอ่ยเรียกคนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าน้ำเสียงสั่นเครือจนสัมผัสได้ กายบอบบางลนลานลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย หัวใจของ
จ้าวหลี่เชี่ยนถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งให้ทำงานหนัก ไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งพัก จนมือที่อ่อนนุ่มพุพองและมีบาดแผล แต่นางก็เริ่มที่จะชินเสียแล้ว ใช่ว่านางจะไม่เคยลำบากเช่นนี้มาก่อนเสียหน่อย ตู้ซูลี่ก็ไม่ต่างกับเหล่าพี่สาวของนางมากนัก จะว่าไปการมาทำงานอยู่ที่นี่ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน แม้จะมีคนคอยจับตามอง แต่นางยังพอมีช่องทางที่จะสืบหาข่าวกับคนภายนอกได้บ้างและนางยังมีโอกาสที่จะหาทางหลบหนีออกไป แม้ตอนนี้นางจะยังไม่พบลู่ทางก็ตาม ส่วนเรือนบ่าวรับใช้ที่อาศัยอยู่ถึงแม้จะไม่สะดวกสบายแต่ก็ยังดีที่ยังมีที่ให้ซุกหัวนอนจ้าวหลี่เชี่ยนนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะขนาดเล็กริมหน้าต่างที่กลายมาเป็นมุมโปรดของนาง สายตาจับจ้องไปยังดวงจันทราที่เคลื่อนตัวสูงขึ้น นางมาอาศัยอยู่ในเรือนบ่าวไพร่แห่งนี้ร่วมสัปดาห์แล้ว กลายเป็นบ่าวรับใช้คนใหม่ในจวนตระกูลเหอภายในห้องแคบแห่งนี้มีเพียงเตียงนอนขนาดเล็กคับแคบหนึ่งหลังที่นางกับถิงถิงต้องนอนเบียดกันในยามค่ำคืนและโต๊ะเก้าอี้อีกหนึ่งชุดเพียงเท่านั้น พื้นที่ภายในห้องเมื่อวางหีบที่เอาไว้ใช้เก็บข้าวของส่วนตัวก็มีที่ว่างให้พอได้เดินสวนกันเสียงดนตรีจากเรือนใหญ่ที่ดังแว่วมาตามสายลม ทำให้ร่างบ
"เก็บออกไปให้หมด""ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ หยุดเดี๋ยวนี้"...เสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นด้านในเรือนนอน ทำให้คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดเข้าหากัน เสียงหนึ่งนั้นย่อมเป็นของลู่เจียวผู้ที่คอยดูแลนางตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้ ส่วนอีกเสียงหนึ่งนั้นนางมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงของอีกฝ่ายมาก่อนจ้าวหลี่เชี่ยนวางสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือลง ในวันนี้นางที่ทนอุดอู้อยู่เพียงในเรือนและทนต่อความกังวลที่มีต่อเรื่องแม่นมผิงไม่ไหวจึงนำผ้าเช็ดหน้าออกมาปักอยู่ในสวนด้านหลังเรือนเพื่อให้จิตใจของตัวเองสงบ สายตานั้นจับจ้องไปยังที่มาของเสียง นางไม่รู้ว่าด้านในนั้นกำลังเกิดสิ่งใดขึ้น เรือนที่มักจะเงียบเหงาอยู่เสมอบัดนี้มีผู้ใดมาเยือนกันเมื่อก้าวเข้าไปด้านหน้าเรือนเพื่อดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าของนางคือความวุ่นวายภายในห้องนอนของนางที่ดูคับแคบลงถนัดตาเมื่อมีสตรีนับสิบนางอยู่ในนั้นสตรีผู้หนึ่งที่แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามกำลังสั่งให้บ่าวไพร่สตรีสองนางขนข้าวของเครื่องใช้ของนางออกมาจากเรือนนอน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือบ่าวสตรีอีกสองนางที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำลังจับตัวถิงถิงคนของนางกดเอาไว้กับพื้นไม่ให้เข้าไ
ความรู้สึกปวดร้าวตามร่างกายที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมา โดยเฉพาะส่วนสงวนกลางร่าง ทำให้ริมฝีปากอิ่มที่ยังคงบวมช้ำหลุดเสียงร้องออกมาแผ่วเบาจ้าวหลี่เชี่ยนขยับกายบอบบางได้อย่างยากลำบากจนนางไม่อยากที่จะลุกขึ้น ข้างกายนั้นไร้เงาของบุรุษผู้ที่ลงทัณฑ์นางอย่างเอาแต่ใจเมื่อคืนนี้ ความเย็นชืดที่สัมผัสได้บ่งบอกว่าคนผู้นั้นได้ลุกจากไปนานแล้ว หรือเขาอาจจะออกไปทันทีหลังจากที่ตักตวงความหอมหวานจากนางจนพอใจ เหลือทิ้งเอาไว้เพียงร่องรอยความบอบช้ำบนร่างกายและความเหนอะหนะจากคราบความใคร่ผสมกลิ่นกายของเขาที่ยังตลบอบอวลริมฝีปากแดงช้ำเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อรู้สึกได้ว่าขอบตาของนางร้อนผ่าวขึ้น ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง น้อยเนื้อต่ำใจประเดประดังเข้ามาให้รู้สึกหนาวเหน็บจนต้องกระชับผ้าห่มคลุมกายจนแน่น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเลย"คุณหนู คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ"เสียงอันคุ้นเคยที่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนห่วงใย พร้อมกับเจ้าของคำถามนั้นปราดเข้ามากุมมืออ่อนนุ่มของนางเอาไว้ นั่นทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนลืมเลือนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทั้งจากทางร่างกายและจิตใจไปชั่วขณะ"ถิงถิง"เพราะสตรีเบื้องหน้าคือบ่า
ชายหนุ่มโอบอุ้มร่างงามระหงเข้าไปในห้องอาบน้ำโดยที่ริมฝีปากนั้นไม่ละไปจากใบหน้างาม เขายังคงจูบซับไปทั่วราวกับหลงใหลนางนักหนา สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหว อยากจะให้ความรู้สึกอ่อนหวานอยู่เช่นนี้ตลอดไปเขาโอบอุ้มนางลงไปในถังน้ำด้วยกัน สายน้ำอุ่นที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้โอบล้อมไปรอบกายของคนทั้งสอง ความใกล้ชิดในบรรยากาศเช่นนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกวาบหวาม ปรารถนาที่จะแนบชิดกันให้มากขึ้นฝ่ามือหนาหยาบลูบไล้ไปตามเรือนร่างงามที่เปียกน้ำ ความงดงามที่เขาปรารถนาจะครอบครองมาตลอด เนื้อผ้าบางเบาแนบลู่ไปกับร่างงาม สัดส่วนเย้ายวนปรากฏสู่สายตาชายหนุ่ม หน้าอกอวบอิ่มนุ่มหยุ่นเต็มไม้เต็มมือเหมาะเจาะลงตัวกับเอวเล็กคอดกิ่วรับกับสะโพกผายเต่งตึงกลมงอน ทั้งเนื้อทั้งตัวนุ่มละมุนหอมกรุ่น ผิวพรรณขาวนวลเนียนผุดผ่อง ไม่ปฏิเสธเลยว่า เขาหลงใหลในเรือนร่างนี้ตั้งแต่ที่ช่วยนางขึ้นจากน้ำเมื่อครั้งที่นางถูกพี่สาวต่างมารดากลั่นแกล้ง เรือนร่างสะโอดสะองติดอยู่ในความทรงจำติดตรึงอยู่ภายในใจตลอดมา และตอนนี้เรือนกายที่น่าหลงใหลนั้นกำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้า อยู่ในอ้อมแขนของเขาและกำลังรอให้เขาเชยชมเหอไป๋เหยียนไ
จ้าวหลี่เชี่ยนก้าวขาที่สั่นเทาพาเรือนร่างเย้ายวนในอาภรณ์เปิดเปลือยเดินเข้าไปหาบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้ที่ใช้สายตาจ้องมองนางราวกับจะกลืนกิน นางรู้ดีว่าหลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น เขาไม่คิดจะปล่อยนางแน่อาการวูบๆ วาบๆ บางเบาที่เกิดขึ้นกับนางในตอนนี้ คงเป็นเพราะน้ำชาที่ลู่เจียวส่งให้นางดื่ม มันคงมียาปลุกกำหนัดผสมอยู่ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่าย เพราะนางรู้ดีว่าลู่เจียวหาได้ไม่หวังดีกับนาง จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นหาได้รุนแรง มันคงเป็นเพียงยาปลุกกำหนัดฤทธิ์อ่อนเท่านั้น และมันช่วยให้นางรู้สึกดีอีกด้วย นางเป็นเพียงดรุณีน้อยวัยสิบหก การต้องรับมือกับชายหนุ่มที่แข็งแกร่งและเขายังมีอายุเยอะกว่านางกว่าหนึ่งรอบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ในเมื่อไร้ซึ่งทางเลือก จึงข่มกลั้นความกระดากอายและความหวาดหวั่น เดินเข้าหาเจ้าของเรือนกายทรงพลังไอร้อนผ่าวจากเรือนร่างกำยำเข้าโอบล้อมนางทันทีที่เข้าใกล้ ทำให้ร่างกายนางนั้นสั่นสะท้าน เมื่อมายืนชิดใกล้กับอีกฝ่ายเช่นนี้ยิ่งเห็นว่าเขานั้นตัวสูงใหญ่กว่านางมากนัก นั่นทำให้นางอดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ดวงตาเจ้าเล่ห์หวานเชื่
"นายหญิง ท่านแม่ทัพส่งอาภรณ์มาเจ้าค่ะ"จ้าวหลี่เชี่ยนละสายตาจากภาพผีเสื้อตัวน้อยที่พากันโบยบินอย่างอิสระ ดมดอมตอมกลิ่นดอกไม้แสนสวยอย่างเพลิดเพลินจนน่าอิจฉา หันมามองเจ้าของคำพูดนั้น คำเรียกขานที่อีกฝ่ายใช้เรียกนางมันช่างฟังขัดหูเหลือเกิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียกนางเช่นนี้ แต่ถึงแม้นางจะเอ่ยห้ามเช่นไรอีกฝ่ายก็ไม่ฟัง กล่าวว่าในเมื่อถูกส่งมารับใช้นางก็ควรแล้วที่ต้องเอ่ยเรียกนางเช่นนี้ นางจึงต้องปล่อยเลยตามเลยดวงตาเศร้าหมองของหญิงสาวที่ตนต้องดูแลทำให้คนที่เดินถืออาภรณ์เข้ามาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ลู่เจียว สตรีวัยประมาณยี่สิบปีผู้ที่คอยรับใช้หญิงสาวตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในจวนแม่ทัพแห่งนี้ เดินเข้ามาพร้อมกับวางอาภรณ์ที่ถืออยู่ในมือลงตรงหน้าผู้ที่ต้องสวมใส่มันในคืนนี้ แม้จะรู้สึกเวทนาสงสารอีกฝ่ายมากเพียงใดแต่นางก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย"ท่านแม่ทัพแจ้งว่าอาภรณ์สำหรับใส่ในคืนนี้เจ้าค่ะ ท่านลุกขึ้นมาชำระกายก่อนเถอะนะเจ้าคะ บ่าวเตรียมน้ำเอาไว้แล้ว"คำพูดนั้นทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนสะท้านในอก ในที่สุดนางก็ไร้ซึ่งทางเลือก ยอมเอาตัวเองแลกกับชีวิตบ่าวของตนและแลกกับการที่อีกฝ่ายจะตามหาแม่นม
เหอไป๋เหยียน แม่ทัพหนุ่มวัยฉกรรจ์ในวัยสามสิบ เขาไม่ได้มีสิ่งใดต้องทำอย่างที่เอ่ยกับสตรีนางนั้น แต่กลับมาทรุดกายลงนั่งคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชนสกุลเหอเพราะรู้สึกสับสนและว้าวุ่นใจ ในที่สุดเขาก็ทำผิดกับผู้ที่ล่วงลับ วิญญาณของบรรพบุรุษคงกำลังสาปแช่งเขา เขาจึงได้รู้สึกเจ็บปวดและทรมานอยู่เช่นนี้ ถึงแม้จะแก้แค้นทวงความยุติธรรมกลับคืนให้ตระกูลได้สำเร็จ แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อเขาไม่อาจตัดใจพรากชีวิตสายเลือดของศัตรู อีกทั้งยังไม่อาจปล่อยมือจากนาง นำนางมาอยู่ข้างกาย ลุ่มหลงดังคนโง่แต่เขาก็ไม่เคยลืมความแค้นในอดีต ไม่เคยลืมความรู้สึกเจ็บปวดยามเมื่อสูญเสียคนที่รักเขาคือคุณชายรองตระกูลเหอ ตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่ถูกฆ่าล้างตระกูลเมื่อแปดปีก่อนด้วยวิธีสกปรก เรื่องราวการตายของคนในครอบครัว ทุกคนที่เขารัก แทบทำให้ชายหนุ่มในตอนนั้นเจ็บปวดจนแทบเสียสติ เขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อมกัน ทุกชีวิตสังเวยให้กับการก่อกบฏในครั้งนั้นบิดาและพี่ใหญ่ของเขาเป็นนักรบที่เก่งกาจ ปกป้องนายเหนือหัวจนตัวตาย แม้ทั้งสองจะเก่งกล้าเพียงใดแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ บิดาและพี่ชายถูกสังหารในห้องทรงอักษรพร้อมกับอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้