เมื่ออวี่เหวินห่าวออกไปข้างนอก เขาคว้าตัวเสี่ยวเอ้อร์โยนออกไป และเขายกเก้าอี้ขึ้นมาทุบจนโต๊ะพัง เถ้าแก่ที่อยู่ข้างล่างหน้าซีดเผือด หวาดกลัวเสียจนต้องขดตัวแอบเขาตบสะโพกม้าให้วิ่งห้อมุ่งตรงไปยังจวน พอเข้าไปในจวนก็ไม่ไปเจอหยวนชิงหลิงก่อน แต่มุ่งตรงไปที่สระผีอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยส่วนชุดขุนนางที่ใส่ในวันนี้ จะโยนทิ้งก็คงไม่ได้ จึงเรียกให้คนเอาออกมาไปต้มด้วยน้ำเดือดซ้ำ ๆแน่นอนว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้คิดจะปิดบังเหล่าหยวนดังนั้นหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่ตำหนักเสี่ยวเย่ว แล้วดึงเหล่าหยวนมานั่งบนตั่งไม้ "วันนี้ฉู่หมิงชุ่ยมาหาข้า" หยวนชิงหลิงแปลกใจที่เขาอาบน้ำทันทีที่กลับมาถึง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางไม่โกรธ เพียงแค่ส่งเสียง อืม ออกมาเป็นการตอบรับเท่านั้น "แล้วอย่างไรต่อ?""นางบอกว่านางยื่นเรื่องหย่าขาดกับอ๋องฉีแล้ว..." เพื่อความปลอดภัยเขาจึงจับมือนางไว้ แล้วเล่าเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยให้นางฟังอย่างละเอียดครบถ้วน ไม่มีตกหล่นเล่าจบก็ยกมือทำท่าจะสาบานด้วยความจริงใจ "ข้าตำหนินางเช่นนั้นจริง ๆ ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ได้เอ่ยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีแม้แต่คำเดียวหยวนชงหลิงคลี่ยิ้มออก
"ก็ใช่น่ะสิ หยวนหย่งอี้ถูกนางตบเข้าที่กกหู จึงขอให้ข้าจ่ายยาให้นาง นางบอกว่าหูอื้อ มีเสียงวิ้งในหูตลอดเลย”อวี่เหวินห่าวอดถอนหายใจออกไม่ได้ "เหตุใดนางถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปได้? มันยากที่จะเข้าใจจริง ๆ""หากร้องขอไปแล้วไม่อาจได้มา ก็คงมีแต่ยิ่งจะบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม คืนนี้ท่านปฏิเสธนางไปแล้ว นางอาจจะทำเรื่องที่รุนแรงกว่านี้ก็เป็นได้"เมื่ออวี่เหวินห่าวได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "จากที่เจ้ามองดูนางแล้ว เจ้าคิดว่านางจะก่อเรื่องเป็นภัยกับเจ้าหรือไม่?"ตอนนี้เขาพูดคุยกับหยวนชิงหลิงอยู่ตลอดทุกเรื่อง เพียงแต่เวลามีคนภายนอกก่อเรื่องสร้างปัญหา เขามักคิดเสมอว่ามันมักพุ่งเป้าไปยังภรรยาของเขาหยวนชิงหลิงส่ายหน้า "ไม่มีทาง จริงอยู่ว่านางเป็นคนที่เยือกเย็นมากคนหนึ่ง ข้าว่านางทำเรื่องรุนแรงเช่นนี้ก็เพราะมีเป้าหมาย หากเจ้าไม่รับนางไว้ นางก็จะไม่มีทางออกจากจวนอ๋องฉี แล้วมาดูซิว่าจะใช้วิธีอะไรต่อ แต่ข้าว่าสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อทำให้อ๋องฉีใจอ่อนและปวดใจ"อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว "เจ้าอย่าพูดเลย เจ้าเจ็ดเป็นคนใจอ่อนจริง ๆ""ดังนั้นการหย่าร้างจึงเป็นไปไม่ได้" หยวน
หยวนชิงหลิงไปที่ตำหนักเฉียนคุน เพื่อเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงไท่ซ่างหวงตรัสถามถึงนางข้าหลวงสี่ หยวนชิงหลิงกล่าวว่า "ในระหว่างพักฟื้น มหาเสนบดีฉู่ไปเยี่ยมนาง นางจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ส่วนด้านนอกก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกเพคะ""แต่เจ้าดูไม่ร่าเริงเอาเสียเลย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?" ไท่ซ่างหวงตรัสถามขึ้นหยวนชิงหลิงเพิ่งนึกถึงเรื่องขององค์ชายแปดได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า "หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะเสด็จปู่ หากคนของฮองเฮาถามว่าเหตุใดองค์ชายแปดถึงมีแว่นตา เสด็จปู่ก็บอกว่าพระองค์เป็นคนประทานมันให้นะเพคะ"ไท่ซ่างหวงตรัสอย่างเย้ยหยันว่า "ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะฮองเฮาไม่กล้ามาถาม" หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไปฉางกงกงจึงช่วยอธิบายให้นาง "ฮองเฮาเองก็เป็นคนของตระกูลฉู่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ" หยวนชิงหลิงนั่งลงมองไท่ซ่างหวง "เสด็จปู่ มหาเสนาบดีฉู่ผู้นี้ พระองค์ทรงเชื่อใจเขาจริงหรือเพคะ?""อยากจะพูดอะไรกันแน่?" ไท่ซ่างหวงเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วตรัสถามขึ้นหยวนชิงหลิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย "หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่า เมื่อก่อนหม่อมฉันคิดมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยาน ท่านพ่อของหม่อมฉัน จิ้งโฮ่วพยายามประจบประแจงเขา แต่ก็
ส่วนจะสามารถสร้างผลงานไว้เป็นที่จารึกได้หรือไม่ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องลำบากยากแค้นถึงขนาดต้องไปขอทานเพื่อปะทังชีวิต นางรู้สึกว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วแต่คำพูดเหล่านี้ หยวนชิงหลิงกลับไม่สามารถเอ่ยออกมาต่อหน้าไท่ซ่างหวงได้เพราะเท่าที่นางรู้ ไท่ซ่างหวงก็ทรงสนับสนุนเจ้าห้าเช่นกันตอนนี้สามผู้ยิ่งใหญ่ต่างล้วนฝากความหวังไว้ที่เจ้าห้าเพียงแค่พวกเขาช่วยผลักดันสักเล็กน้อย ก็สามารถประสบสำเร็จได้ทันใดนั้นนางก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรค สุดท้ายแล้วคืออุปสรรคอะไรกันแน่? เมื่อก่อนคิดว่าเจ้าห้าเก่งกาจมีความสามารถยิ่งนัก แต่ภายหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดีขึ้นแล้ว ก็กลับรู้สึกว่าเจ้าห้าไม่ได้เฉลียวฉลาดเหมือนแต่ก่อนบางทีรู้ตัวช้าในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงนางรู้สึกหดหู่จนไม่กล้ามองไท่ซ่างหวงสองวันผ่านไป พระชายาซุนก็มาพบนาง เพื่อปรึกษารายการอาหารในวันเกิดของอ๋องซุนหยวนชิงหลิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อ๋องซุนมาที่จวนหลายครั้ง ได้กล่าวว่ามาลองชิมอาหารของพ่อครัวหลวงเพื่อเตรียมฉลองวันเกิดของเขานางเอ่ยขึ้น "พี่สะใภ้รอง ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง วั
หยวนชิงหลิงรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น "สตรีนางนี้เข้ามาจวนเพื่อเป็นบ่าว แต่กลับตั้งครรภ์แล้วหรือ? กับใคร?""น้องสาม" พระชายาซุนถอนหายใจ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่จริงพระชายาเว่ยช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้ แต่นางกลับเนรคุณกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาอย่างง่ายดายหยวนชิงหลิงรีบเปลี่ยนท่าทีจริงจังมากขึ้น "เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่? พี่สะใภ้รองท่านรีบบอกข้ามาเถิด"นางรู้สึกดีต่อพระชายาเว่ยสกุลชุยเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ทั้งอ่อนหวานและสง่างาม ถึงแม้จะเป็นคนของตระกูลชุย แต่กลับแทบไม่มีท่าทีก้าวร้าววางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนอย่างตระกูลฉู่นอกจากนี้ นางตั้งครรภ์ไปเมื่อปีที่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ทารกตายในครรภ์ เมื่ออายุได้หกเดือน และนางพักฟื้นอยู่นาน เพิ่งออกมาเมื่อไม่นานมานี้พระชายาซุนพูดขึ้น "เรื่องนี้พระชายาเว่ยไม่ได้เอ่ยกับข้าอย่างจริงจังนักหรอก นางเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อเอ่ยถึงน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก น้องสามก็เช่นกัน ไม่รู้ว่ามีภูตผีปีศาจตนใดเข้าสิง ถึงได้รักมั่นต่อสตรีนางนั้นเหลือเกิน เพื่อนางแล้ว ถึงขนาดทะเลาะกับพระชายาเว่ยตั้งหลายครั้งหลายครา อีกทั้งยังบ
ในเวลานั้นไม่ได้มีความปรารถนาอื่นใดเลย นอกจากเพียงหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่เพราะนางเคยอยู่กับฉู่หมิงหยาง ดังนั้นทุกคนจึงตั้งแง่เป็นศัตรูกับนางคนเรามักมีช่วงเวลาที่ได้พบเจอคนไม่ดีช่างเถอะ นางไม่อยากขัดแย้งกับเจ้าห้าเพราะเรื่องนี้อีกหลังจากผ่านเรื่องของนางข้าหลวงสี่ นางก็รู้ว่าบางครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเกิดโหดเหี้ยมต้องการเอาชีวิตนางขึ้นมา ย่อมไม่มีทางที่จะคุยกันได้ในยุคนี้ความใจดีมีเมตตา ในบางครั้งอาจทำให้ตัวเองถึงตายได้หูหมิงคาดเดาไม่มีผิด หมานเอ๋อร์ไปแบกกระสอบที่ท่าเรือจริง สถานะของคนเจียงหนาน ทำให้ตระกูลสูงศักดิ์ครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองหลวงต่างหลีกเลี่ยงทั้งนั้นผู้หญิงไปแบกกระสอบ แม้ว่าครั้งหนึ่งนางจะแบกกระสอบมากกว่าผู้อื่นหนึ่งกระสอบ แต่เงินที่ได้รับกลับน้อยกว่าคนอื่นถึงครึ่งหนึ่งนี่คือกฎเกณฑ์เมื่ออาซื่อออกไปทำธุระก็พบนางนางรีบแบกข้าวสองถุงวิ่งไปที่ด้านข้างของเกวียนวัวอย่างรวดเร็ว หลังจากโยนมันลงไว้กับที่แล้ว นางก็กลับไปแบกอย่างอื่นอย่างรวดเร็วนางจำเป็นต้องแบกมันมากกว่าคนอื่นหนึ่งเท่า เพื่อให้ได้เงินเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงวิ่งแทบไม่หยุดพักเลยเดิมทีอาซื่
หลังจากอาซื่อกลับมา นางก็บอกหยวนชิงหลิงเกี่ยวกับเรื่องที่เห็นหมานเอ๋อร์ที่ท่าเรือเมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจไม่น้อยในยุคสมัยนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏตัวออกมาสังคมข้างนอก หมานเอ๋อร์ไปแบกกระสอบกับกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยกัน คงไม่อาจห้ามให้ออกมาปรากฏตัวข้างนอกแต่ว่านางบอกแล้วว่าจะไม่สนใจ จึงไม่ได้เอ่ยถามอีก เพียงแต่ให้อาซื่อมอบเงินสิบตำลึงให้นางอาซื่อกลับมาหาในวันรุ่งขึ้น บอกว่าหมานเอ๋อร์ปฏิเสธ นางจึงยัดเงินให้กับหมานเอ๋อร์และรีบวิ่งหนีไปหยวนชิงหลิงไม่พูดไม่จา "มอบให้นางก็พอแล้ว" "พระชายาเป็นคนดีจริง ๆ เพคะ" อาซื่อกล่าวชื่นชมภายในใจหยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิดการให้เงินสิบตำลึง แท้จริงแล้วเป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจของตนเอง จึงคิดจะใช้เงินสิบตำลึงนี้บรรเทาความรู้สึกตัวเองหากพูดกันตามตรง นางไม่ได้ติดค้างหมานเอ๋อร์นางแค่รู้สึกว่าความเห็นอกเห็นใจของตัวเองจะค่อย ๆ หายไป หยวนชิงหลิงคนเดิมจะกลายเป็นคนใจแข็งไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่นางอาจจะปกป้องตัวเองได้ดีกว่านี้ และสุดท้ายก็อาจเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนตัวเองเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาในตอนเย็น เ
เดิมทีหยวนหย่งอี้ก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นนี้ แล้วเห็นสีหน้าเหมือนจะกินคนของเขาอีก หน้าตาก็บึ้งตึงทันที บุรุษผู้นี้ปัญญาอ่อนหรอกหรือ? บอกว่านางมั่วผู้ชายอยู่ในจวนของผู้อื่น หน้าของเขาไม่มีเหลือแล้วหรือไร?นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสุนัขบ้า จึงหันหลังเดินจากไปอ๋องฉีก้าวไปข้างหน้าคว้าตัวนางไว้ แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า "เจ้าอธิบายมา" ซูยี่โบกมืออยากจะอธิบาย หยวนหย่งอี้เอ่ยเสียงเย็น "คนเลวเอ่ยอะไรก็มีแต่เรื่องเลว ๆ ท่านโมโหก็อย่ามาลงกับข้า กลับไปลงกับฉู่หมิงชุ่ยไป" "เจ้า..." ประโยคนี้แทงเข้าใจดำของเขาเต็ม ๆ ตอนนี้ทั้งอายทั้งโกรธยิ่งกว่าเดิม "เจ้าอย่าอาศัยว่าเจ้ารู้วรยุทธ์ไม่กี่กระบวนท่าแล้วกล้าทำการไม่เกรงใจข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนมาลงโทษโบยเจ้าทันที?"ซูยี่ตกใจอย่างมาก นึกถึงตอนที่พระชายาถูกลงโทษโบยในครั้งนั้น รู้สึกว่าอ๋องฉีจริงจัง ถึงอย่างไรท่านอ๋องเหล่านี้ก็ล้วนโหดเหี้ยม จึงรีบเอ่ยขึ้น "อ๋องฉี ท่านอย่าเข้าใจผิด ผู้น้อยแค่ประคองพระชายารองหยวนเท่านั้น นางแค่เซล้มเท่านั้น ไม่ใช่การมั่วชู้อย่างที่ท่านกล่าวแต่อย่างไร ท่านวางใจเถอะ กระหม่อมไม่ชอบแบบพระช