เดิมทีหยวนหย่งอี้ก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นนี้ แล้วเห็นสีหน้าเหมือนจะกินคนของเขาอีก หน้าตาก็บึ้งตึงทันที บุรุษผู้นี้ปัญญาอ่อนหรอกหรือ? บอกว่านางมั่วผู้ชายอยู่ในจวนของผู้อื่น หน้าของเขาไม่มีเหลือแล้วหรือไร?นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสุนัขบ้า จึงหันหลังเดินจากไปอ๋องฉีก้าวไปข้างหน้าคว้าตัวนางไว้ แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า "เจ้าอธิบายมา" ซูยี่โบกมืออยากจะอธิบาย หยวนหย่งอี้เอ่ยเสียงเย็น "คนเลวเอ่ยอะไรก็มีแต่เรื่องเลว ๆ ท่านโมโหก็อย่ามาลงกับข้า กลับไปลงกับฉู่หมิงชุ่ยไป" "เจ้า..." ประโยคนี้แทงเข้าใจดำของเขาเต็ม ๆ ตอนนี้ทั้งอายทั้งโกรธยิ่งกว่าเดิม "เจ้าอย่าอาศัยว่าเจ้ารู้วรยุทธ์ไม่กี่กระบวนท่าแล้วกล้าทำการไม่เกรงใจข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนมาลงโทษโบยเจ้าทันที?"ซูยี่ตกใจอย่างมาก นึกถึงตอนที่พระชายาถูกลงโทษโบยในครั้งนั้น รู้สึกว่าอ๋องฉีจริงจัง ถึงอย่างไรท่านอ๋องเหล่านี้ก็ล้วนโหดเหี้ยม จึงรีบเอ่ยขึ้น "อ๋องฉี ท่านอย่าเข้าใจผิด ผู้น้อยแค่ประคองพระชายารองหยวนเท่านั้น นางแค่เซล้มเท่านั้น ไม่ใช่การมั่วชู้อย่างที่ท่านกล่าวแต่อย่างไร ท่านวางใจเถอะ กระหม่อมไม่ชอบแบบพระช
อ๋องฉีโกรธจนแทบระเบิดออกมา "น้ำเสียงของเจ้าราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กอย่างไรอย่างนั้น? อีกทั้งยังจะแนะนำพระชายาเอกให้ข้าอีก งานแต่งของข้าต้องให้เสด็จแม่เป็นคนตัดสินใจ"หยวนหย่งอี้หัวเราะ แววตาสว่างสดใส ไรฟันขาวสะอาดรวมถึงลักยิ้มน่ารักมีเสน่ห์ "ท่านย่าบอกว่าผู้ชายทุกคนก็เหมือนเด็กเกลี้ยกล่อมก็พอแล้ว ส่วนเสด็จแม่ของท่าน…"อ๋องฉีโกรธจนไม่รู้จะว่าอย่างไรดี "นั่นก็เป็นเสด็จแม่ของเจ้าด้วย!"หยวนหย่งอี้ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงลูบจมูกอย่างเบื่อหน่าย "ข้าไม่ใช่พระชายาเอก ไม่สามารถเรียกเสด็จแม่ได้"อ๋องฉีหรี่ตาลง "เจ้าอยากให้ข้าหย่ามาตลอด ตอนนี้ยังกล่าวเช่นนี้อีก มิใช่ว่าเจ้าอยากเป็นพระชายาเอกหรอกหรือ?"หยวนหย่งอี้เอ่ยถาม "เป็นพระชายาเอกนี่มีอะไรดี?""มีข้อดีมากมายนัก" อ๋องฉีคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็เป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกธรรมนองคลองธรรม ชอบธรรมด้วยเหตุผล""สามีภรรยาที่ถูกธรรมนองคลองธรรม ชอบด้วยเหตุผลมีอะไรดี?" หยวนหย่งอี้ถามอีกครั้งอ๋องฉีมองนาง "อยู่ในจวนเจ้าอยากได้ลมก็ได้ลม อยากฝนก็จะได้ฝน บ่าวไพร่ทุกคนล้วนเชื่อฟังเจ้า" หยวนหย่งอี้ถามกลับ "ตอนนี
อ๋องฉีมองนางอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากนางได้ปกติแล้วนางเป็นคนมุทะลุและหยาบกระด้างขนาดนั้น จะมาเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ได้อย่างไร?เห็นได้ชัดว่าตระกูลหยวนอบรมมาเป็นอย่างดีแววตาของเขาไม่อาจเก็บซ่อนความเหงาโดดเดี่ยวนี่ได้อีก "ที่จริงข้าเข้าวังไปพบเสด็จแม่ เสด็จแม่ตำหนิข้าอย่างหนัก ตรัสว่าชุ่ยเอ๋อร์...ฉู่หมิงชุ่ยคิดเพื่ออนาคตของข้า นางเชื่อว่าสิ่งที่ฉู่หมิงชุ่ยทำทั้งหมดก็เพื่อวางแผนให้ข้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต และข้าไม่ควรโกรธและพาลใส่นางเหมือนเด็ก ๆ ทำให้นางที่รักและห่วงใยข้าอย่างแท้จริงต้องเสียใจอีก ทั้งยังทำให้นางที่มีบุญคุณช่วยเหลือสนับสนุนต้องผิดหวัง"ตอนที่เขาเงยหน้ามองนางแววตาก็เปล่งประกายขึ้น "ที่จริงวันนี้ข้าไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับนางมาตลอด หลังจากออกจากวัง ข้าก็สงสัยตัวเองมาตลอดว่าสุดท้ายแล้วข้าเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ หรือเพียงแค่รู้จักประมาณตน? นางคิดเพื่อข้าจริง ๆ หรือเพียงแค่ต้องการบรรลุความปรารถนาของตัวนางเองกันแน่? เจ้าให้คำตอบแก่ข้า ข้าจะกลับไปคุยนาง เจ้าหน้ากลม ขอบใจเจ้ามาก!"ตอนที่หยวนหย่งอี้ฟังเขาพูดก็จะยิ้มด้วยความเอ็นดูอยู่ตลอด
ถังหยางที่ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้าอาซื่อเดินเข้าไปนั่งลง และเอ่ยถามว่า “อะไรมีชีวิตหรือเพคะ?”“ลูกของข้า!” อวี่เหวินห่าวพูดอวดเหมือนคนบ้าเห่ออาซื่อตกใจแล้วตกใจอีก และหันไปมองถังหยางอย่างไม่ทันรู้ตัว ถังหยางชี้ไปที่หัวของเขาราวกับจะบอกอาซื่อว่า ท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วหยวนชิงหลิงโกรธจนหลุดขำออกมา “เอาเถอะ ๆ เตรียมตัวกินข้าวกัน”“พี่ใหญ่ของหม่อมฉันล่ะ เพคะ?” อาซื่อเอ่ยถาม“กลับไปแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบนางอาซื่อกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีว่า “อ๋องฉีเลอะเลือนเสียจริง เขาพูดว่าพี่ใหญ่กับซูยี่เป็นชู้กัน และยังมาพาลโกรธพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะอดทนไม่ตีท่านน๋องได้ไหม”อวี่เหวินห่าวที่อารมณ์ดีมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เหลือบตามองอาซือ “นังหนูซื่อบื้อนี่ พูดซะเจ้าเจ็ดเหมือนจะอ่อนแอเหลือเกิน เจ้าเจ็ดเองก็เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนเช่นกัน”“ไม่จริงกระมั้ง?" อาซื่อตกใจ "ทำไมท่าทางของเขาอ่อนแอนุ่มนิ่มกว่าไก่เสียอีก?”อวี่เหวินห่าวยักไหล่ “ไม่อ่อนแอสักหน่อย อย่างน้อยก็ใช้มือบีบไข่ไก่ฟองหนึ่งให้แตกได้”“ข้าบีบก้อนหินแตกได้” อาซื่อพูดอย่างอวดโอ้ อวี่เหวินห่าวหัวเราะขึ้นมาหยว
หัวใจของฉู่หมิงชุ่ยถึงกับเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกที่เอ่อล้นมาจากก้นบึ้งจากขั้วหัวใจ ราวกับสมองได้ว่างเปล่าไปแล้วหย่าไม่ได้! หย่าไม่ได้! หย่าไม่ได้โดยเด็ดขาด!นางตะโกนกรีดร้องอยู่ในใจ แม้ว่าตอนนี้สภาพนางจะน่าอดสูมากขนาดไหน แต่ถ้าตอนนี้นางหย่ากลับบ้านตัวเองล่ะก็ ทั้งชีวิตนางได้จบสิ้นเป็นแน่แต่ทว่า เมื่อได้เงยหน้ามองไปยังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง นางเองก็ไม่อยากก้มหัวยอมแบบนี้เหมือนกัน ไม่อยากง้อ และยิ่งไม่อยากพูดว่าไม่อยากหย่าด้วยความคิดมากมายไหลวนอยู่ในสมอง นางพยายามข่มใจอดทนที่จะไม่ลงมือทุบตีคนตรงหน้า นางหลุบตาลง “ข้าก็ไม่อยากไปแล้ว พรุ่งนี้ท่านไปเถอะ ข้าจะอยู่ในจวนรอข่าวจากท่าน”อ๋องฉีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปก่อน ได้ความว่าอย่างไรจะกลับมาบอกเจ้า”พูดจบ อ๋องฉีก็ลุกเดินออกไปฉู่หมิงชุ่ยกำหมัดแน่น ในใจเกลียดแค้นราวกับถูกอสรพิษกัดเข้าให้ทำไมกัน ทำไมนางถึงได้ล้มเหลวเช่นนี้? แม้กระทั้งผู้ชายไร้ประโยชน์เช่นนี้ยังทอดทิ้งนางได้?อันที่จริงนางเคยคิดจะหย่า แต่ทว่านางไปหาอวี่เหวินห่าว แล้วก็คว่ำน้ำเหลวมา ตอนนี้นางถึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้วแม
แต่ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ และร้องสะอื้นจนทั้งร่างสั่นเทาไปหมดอ๋องฉีโบกมือบอกให้หมอหลวงเฉา และหยวนหยงอี้ออกไปก่อนหยวนหยงอี้เองก็เข้าใจ จึงหันออกไปเรียกให้หมอหลวงเฉาออกไปด้วย หมอหลวงเฉาวางผงยาลง และออกคำสั่งให้แก่นางกำนัล “นี่เป็นยาห้ามเลือด ใช้โรยแผลเล็กน้อย และพันผ้าพันแผลเอาไว้ ไม่เกินสองวันแผลก็จะสมานตัวดี”นางกำนัลค่อมตัวลงยื่นมือไปรับผงยานั้น และกล่าวขอบคุณอ๋องฉีให้คนทั้งหมดออกไป แล้วเข้าไปนั่งลงข้างฉู่หมิงชุ่ย และเอ่ยถามว่า “ทำไมกัน ? ”ฉู่หมิงชุ่ยหันออกไป มีเพียงน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลออกมา และไม่กล่าวอะไรสักคำอ๋องฉีที่เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนักแต่ความสับสนที่อยู่ในหัวเขาเกิดพลันกระจ่างชัดขึ้นมาอันที่จริงคำพูดเหล่านั้นของหยวนหยงอี้ได้ทำให้เขาได้สติอย่างแจ่มชัดเพราะถ้าหากว่าชุ่ยเอ๋อร์สนใจความรู้สึกเขาจริง คงไม่มีทางบีบบังคับให้เขาทำเรื่องที่ไม่อยากทำ เขาเป็นถึงท่านอ๋องไม่ได้อดอยากยากแค้น ใยเขาต้องไปแก่งแย่งชิงดี เท่าที่เป็นอยู่แค่นี้ก็สามารถให้นางอยู่สุขสบายได้ไปทั้งชีวิตอยู่แล้วไม่มีคนกล้าเป็นศัตรูกับเขา ไม่มีค
อ๋องฉีก้มลงไปมองปิ่นที่ปักอยู่ที่ท้องตัวเอง ปิ่นเล่มนี้เป็นปิ่นที่เขามอบให้นางในวันที่สาม หลังวันแต่งงานหัวปิ่นเป็นลายหยกหรูอี้ มีสลักอักษรมงคลสี่คำว่าว่า รักจนแก่เฒ่าเขาก้มหัวมองเห็นอักษรสี่ตัวนั้นที่สลักอยู่อย่างเด่นชัดยิ่งสีหน้าเขาไม่ได้มีร่องรอยความรู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด เสียงร้องตกใจสักแอะก็ไม่มี ทันทีที่เขาดึงปิ่นเล่มนั้นออก เลือดก็พุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากปิ่นเล่มนั้น แล้ววางมันลงต่อหน้านาง และเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “รักษาตัวด้วย!”เขาลุกขึ้นมาเดินโซเซออกไปที่ประตูฉู่หมิงชุ่ยมองภาพตรงหน้าด้วยความสิ้นหวัง นัยน์ตาแห้งผากไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้“อวี่เหวินชิง เจ้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่” นางพูดอาฆาตอย่างเยือกเย็น“ไม่มีทาง” เขาไม่หันหลังกลับไป และเปิดประตูออกโดยมีหยดเลือดไหลหยดลงไปกับพื้น “วันนี้คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของข้า”หยวนหยงอี้และหมอหลวงเฉาแม้ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้ออกไปไหนไกลนางพึ่งได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในสายตาของอ๋องฉีสำหรับการฆ่าตัวตายของ
ฮองเฮาไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี นางมองจักรพรรดิหมิงหยวนอย่างกระสับกระส่าย เมื่อพบว่าสีหน้าของฝ่าบาทปรากฏความมืดมนขึ้น จึงรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้ฮูหยินอาวุโสสูงสุดช่วยนางพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้นฮูหยินอาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเย็นชา และแข็งกร้าวยิ่ง “ฝ่าบาท ฮองเฮา เพคะ ในฐานะที่อ๋องฉีเป็นลูกหลานราชวงศ์ การที่ลุ่มหลงในอนุและละเลยชายาเอกนั้น แม้ว่าชุ่ยเอ๋อร์จะหุนหันพลันแล่น กระทำผิดไปจริง แต่ก็มิได้ผิดไปทั้งหมด เพียงเพราะชายารองคนเดียว อ๋องฉีถึงขั้นดึงดันที่จะหย่าร้าง หากข่าวลือนี่แพร่ออกไปคงเป็นที่น่าขบขันเป็นแน่ ทำให้ราชวงศ์และตระกูลฉู่เสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง ฝ่าบาททรงออกรับสั่งลงไป เมื่ออ๋องฉีพักฟื้นหายดีแล้ว ให้มาหารือหน้าท้องพระโรง และรับสั่งไม่ให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้น”คำพูดฮูหยินอาวุโสสูงสุดไม่ใช่การขอร้อง กลับกัน มันคือการออกคำสั่งเสียด้วยซ้ำอีกทั้งนางยังเอาหน้าตาของราชวงศ์มาผูกรวมกับตระกูลฉู่ด้วยกันเช่นนี้ ฮองเฮาถึงกับหน้าเจื่อนไปในทันที และรีบเหลือบมองดูจักรพรรดิหมิงหยวนด้วยความหวาดกลัวเมื่อครู่สีหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนไม่น่ามองยิ่งนัก เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยินอาวุโส
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม