หัวใจของฉู่หมิงชุ่ยถึงกับเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกที่เอ่อล้นมาจากก้นบึ้งจากขั้วหัวใจ ราวกับสมองได้ว่างเปล่าไปแล้วหย่าไม่ได้! หย่าไม่ได้! หย่าไม่ได้โดยเด็ดขาด!นางตะโกนกรีดร้องอยู่ในใจ แม้ว่าตอนนี้สภาพนางจะน่าอดสูมากขนาดไหน แต่ถ้าตอนนี้นางหย่ากลับบ้านตัวเองล่ะก็ ทั้งชีวิตนางได้จบสิ้นเป็นแน่แต่ทว่า เมื่อได้เงยหน้ามองไปยังผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง นางเองก็ไม่อยากก้มหัวยอมแบบนี้เหมือนกัน ไม่อยากง้อ และยิ่งไม่อยากพูดว่าไม่อยากหย่าด้วยความคิดมากมายไหลวนอยู่ในสมอง นางพยายามข่มใจอดทนที่จะไม่ลงมือทุบตีคนตรงหน้า นางหลุบตาลง “ข้าก็ไม่อยากไปแล้ว พรุ่งนี้ท่านไปเถอะ ข้าจะอยู่ในจวนรอข่าวจากท่าน”อ๋องฉีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปก่อน ได้ความว่าอย่างไรจะกลับมาบอกเจ้า”พูดจบ อ๋องฉีก็ลุกเดินออกไปฉู่หมิงชุ่ยกำหมัดแน่น ในใจเกลียดแค้นราวกับถูกอสรพิษกัดเข้าให้ทำไมกัน ทำไมนางถึงได้ล้มเหลวเช่นนี้? แม้กระทั้งผู้ชายไร้ประโยชน์เช่นนี้ยังทอดทิ้งนางได้?อันที่จริงนางเคยคิดจะหย่า แต่ทว่านางไปหาอวี่เหวินห่าว แล้วก็คว่ำน้ำเหลวมา ตอนนี้นางถึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้วแม
แต่ทว่านางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ และร้องสะอื้นจนทั้งร่างสั่นเทาไปหมดอ๋องฉีโบกมือบอกให้หมอหลวงเฉา และหยวนหยงอี้ออกไปก่อนหยวนหยงอี้เองก็เข้าใจ จึงหันออกไปเรียกให้หมอหลวงเฉาออกไปด้วย หมอหลวงเฉาวางผงยาลง และออกคำสั่งให้แก่นางกำนัล “นี่เป็นยาห้ามเลือด ใช้โรยแผลเล็กน้อย และพันผ้าพันแผลเอาไว้ ไม่เกินสองวันแผลก็จะสมานตัวดี”นางกำนัลค่อมตัวลงยื่นมือไปรับผงยานั้น และกล่าวขอบคุณอ๋องฉีให้คนทั้งหมดออกไป แล้วเข้าไปนั่งลงข้างฉู่หมิงชุ่ย และเอ่ยถามว่า “ทำไมกัน ? ”ฉู่หมิงชุ่ยหันออกไป มีเพียงน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลออกมา และไม่กล่าวอะไรสักคำอ๋องฉีที่เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนักแต่ความสับสนที่อยู่ในหัวเขาเกิดพลันกระจ่างชัดขึ้นมาอันที่จริงคำพูดเหล่านั้นของหยวนหยงอี้ได้ทำให้เขาได้สติอย่างแจ่มชัดเพราะถ้าหากว่าชุ่ยเอ๋อร์สนใจความรู้สึกเขาจริง คงไม่มีทางบีบบังคับให้เขาทำเรื่องที่ไม่อยากทำ เขาเป็นถึงท่านอ๋องไม่ได้อดอยากยากแค้น ใยเขาต้องไปแก่งแย่งชิงดี เท่าที่เป็นอยู่แค่นี้ก็สามารถให้นางอยู่สุขสบายได้ไปทั้งชีวิตอยู่แล้วไม่มีคนกล้าเป็นศัตรูกับเขา ไม่มีค
อ๋องฉีก้มลงไปมองปิ่นที่ปักอยู่ที่ท้องตัวเอง ปิ่นเล่มนี้เป็นปิ่นที่เขามอบให้นางในวันที่สาม หลังวันแต่งงานหัวปิ่นเป็นลายหยกหรูอี้ มีสลักอักษรมงคลสี่คำว่าว่า รักจนแก่เฒ่าเขาก้มหัวมองเห็นอักษรสี่ตัวนั้นที่สลักอยู่อย่างเด่นชัดยิ่งสีหน้าเขาไม่ได้มีร่องรอยความรู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด เสียงร้องตกใจสักแอะก็ไม่มี ทันทีที่เขาดึงปิ่นเล่มนั้นออก เลือดก็พุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากปิ่นเล่มนั้น แล้ววางมันลงต่อหน้านาง และเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นเยือก “รักษาตัวด้วย!”เขาลุกขึ้นมาเดินโซเซออกไปที่ประตูฉู่หมิงชุ่ยมองภาพตรงหน้าด้วยความสิ้นหวัง นัยน์ตาแห้งผากไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้“อวี่เหวินชิง เจ้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่” นางพูดอาฆาตอย่างเยือกเย็น“ไม่มีทาง” เขาไม่หันหลังกลับไป และเปิดประตูออกโดยมีหยดเลือดไหลหยดลงไปกับพื้น “วันนี้คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของข้า”หยวนหยงอี้และหมอหลวงเฉาแม้ว่าจะออกไปข้างนอก แต่ไม่ได้ออกไปไหนไกลนางพึ่งได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในสายตาของอ๋องฉีสำหรับการฆ่าตัวตายของ
ฮองเฮาไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี นางมองจักรพรรดิหมิงหยวนอย่างกระสับกระส่าย เมื่อพบว่าสีหน้าของฝ่าบาทปรากฏความมืดมนขึ้น จึงรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้ฮูหยินอาวุโสสูงสุดช่วยนางพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้นฮูหยินอาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเย็นชา และแข็งกร้าวยิ่ง “ฝ่าบาท ฮองเฮา เพคะ ในฐานะที่อ๋องฉีเป็นลูกหลานราชวงศ์ การที่ลุ่มหลงในอนุและละเลยชายาเอกนั้น แม้ว่าชุ่ยเอ๋อร์จะหุนหันพลันแล่น กระทำผิดไปจริง แต่ก็มิได้ผิดไปทั้งหมด เพียงเพราะชายารองคนเดียว อ๋องฉีถึงขั้นดึงดันที่จะหย่าร้าง หากข่าวลือนี่แพร่ออกไปคงเป็นที่น่าขบขันเป็นแน่ ทำให้ราชวงศ์และตระกูลฉู่เสียชื่อเสียงอย่างยิ่ง ฝ่าบาททรงออกรับสั่งลงไป เมื่ออ๋องฉีพักฟื้นหายดีแล้ว ให้มาหารือหน้าท้องพระโรง และรับสั่งไม่ให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้น”คำพูดฮูหยินอาวุโสสูงสุดไม่ใช่การขอร้อง กลับกัน มันคือการออกคำสั่งเสียด้วยซ้ำอีกทั้งนางยังเอาหน้าตาของราชวงศ์มาผูกรวมกับตระกูลฉู่ด้วยกันเช่นนี้ ฮองเฮาถึงกับหน้าเจื่อนไปในทันที และรีบเหลือบมองดูจักรพรรดิหมิงหยวนด้วยความหวาดกลัวเมื่อครู่สีหน้าของจักรพรรดิหมิงหยวนไม่น่ามองยิ่งนัก เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยินอาวุโส
เมื่อเห็นว่าฉู่หมิงชุ่ยยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น นางจึงตำหนิฉู่หมิงชุ่ย “ร้อง ร้อง ร้องอยู่ได้ เจ้ากล้าลงมือฆ่าสามี ยังจะร้องทำไมอีก?”ฮูหยินเฒ่าตะคอกเสียงดังฮองเฮาพูดอย่างเย็นชา “ท่านย่า ข้าว่าเรื่องนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่สนใจ ข้าว่าท่านก็อย่าได้สนใจเรื่องนี้ไปเลย”ในชีวิตฮูหยินเฒ่าเคยถูกคนใช้น้ำเสียงเช่นนี้มาก่อนหรือ? นางจึงลุกขึ้นมาตะคอกใส่ทันที “ดี เรื่องนี้เจ้าเป็นฮองเฮาไม่สนใจ งั้นข้าเรียกให้พ่อเจ้าจัดการก็ได้ ชุ่ยเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ”ฉู่หมิงชุ่ยที่ร้องไห้มาตลอด แต่นางกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัดเข้าวังครั้งนี้ หากตัวเองหาวิธีแก้ต่างไม่ได้ คงไม่อาจรอดพ้นเป็นแน่ดังนั้นเมื่อได้ยินฮูหยินเฒ่าพูดเช่นนี้ นางจึงคุกเข่าและร้องไห้ออกมา “ย่าทวด ท่านป้า ที่จริงเรื่องนี้ข้าทำผิดไปแล้ว จะอย่างไรเสีย ข้าก็ไม่ควรลงมือทำร้ายเขา”นางคลานเข่าเข้าไปจับชายกระโปรงฮองเฮา และพูดทั้งน้ำตา “ท่านป้า หลานไม่อาจปล่อยความสัมพันธ์สามีภรรยาของหลานเป็นเช่นนี้ ขอร้องท่านช่วยเกลี้ยกล่อมเขา ให้เรื่องนี้มันผ่านไปด้วยดีได้หรือไม่? วันหลังข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก ถ้าเขาอยากจะหลงใหลชายารองหยวน ก็หลงไปเถิด ห
ฮองเฮาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งออก นางกลัวเหลือเกินว่าเจ้าเจ็ดถูกกล่าวหาว่าหลงใหลอนุจนทอดทิ้งภรรยา หากข้อกล่าวหานี้เป็นจริง เขาต้องเข้ารับการไต่สวนที่ท้องพระโรง และอนาคตของเขาต้องถูกทำลายลงแน่ดังนั้นนางไม่สนหรอกว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ จึงรีบกล่าวว่า “ถ้ายังมิได้ร่วมเตียง ทำไมถึงบอกว่าหลงใหลอนุจนทอดทิ้งภรรยาเช่นนี้? เกิดข่าวนี้รั่วไหลออกไปไม่เป็นที่น่าขบขันหรอกหรือ?”ฮูหยินเฒ่าก็มิได้เลอะเลือน มองสีหน้าของฉู่หมิงชุ่ยแล้วรู้ว่าสิ่งที่ไทเฮาพูดนั้นเป็นความจริงแต่ทว่านางเองก็ไม่แน่ใจว่า นางเลอะเลือนหรือไม่ ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะชายารอง แล้วทำไมอ๋องฉีถึงต้องการจะหย่ากันแน่?จะเป็นไปได้ไหมว่า สิ่งที่ชายารองหยวนพูดนั้นจะเป็นความจริง? นางและอ๋องฉู่มีแอบมีความสัมพันธ์ลับกัน?สีหน้าฮูหยินเฒ่าก็พลันเครียดขึ้นมาทันที ตอนนี้มีไทเฮาอยู่ คงไม่ดีที่จะเอ่ยอะไรออกมา จึงทำได้แค่ข่มความโกรธเอาไว้ไทเฮาเองก็ไม่ไว้หน้าฮูหยินเฒ่าเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบว่า “ฮูหยินเฒ่า ข้าถามท่านสักคำ หากมีภรรยาที่เห็นเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำร้ายสามีจนบาดเจ็บ ไม่รู้จักสำนึกผิด และทำตัวชั่วช้าชิงมาฟ้องก่อน
นางจะไปไหนดี?หลังเดินจากไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวเคว้งคว้างที่ถาโถมเข้ามาบนร่างของนางนั้น นางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ความฝันก็ได้แตกสลายไปเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว นางมีชีวิตต่อไปอีกจะมีความหมายอะไรอีก?แต่จะมาตายแบบนี้ นางจะไปยอมได้อย่างไรกัน?ฮองเฮาโกรธเสียจนปวดหัวไปหมด หลังจากฉู่หมิงชุ่ยไปแล้ว นางก็ยังโกรธอยู่พักใหญ่ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลูกชายยังบาดเจ็บอยู่ จึงได้รีบเรียกคนออกจากวังไปดูที่จวนอีกด้านหนึ่ง ทางฝั่งของอวี่เหวินห่าว และอ๋องฉีได้รับพระบัญชาเข้าให้วังอวี่เหวินห่าวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ย่ำค่ำก็ขี่ม้าเข้าไปในวังเมื่อถึงประตูวัง รถม้าของอ๋องฉีก็มาถึงพอดีอ๋องฉีที่นอนอยู่ข้างใน เขาเห็นเช่นนั้นก็อดตกใจไม่ได้ นึกว่าเขาถูกมือสังหารลอบทำร้ายเสียอีก จึงรีบถามถึงสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้เมื่อได้ยินว่าเขาถูกฉู่หมิงชุ่ยทำร้าย เขาหมดสติไปไม่ฟื้นอยู่นาน หลังจากได้ยิน เขาก็นิ้วชูหัวแม่มือให้ “เหล่าหยวนเรียกหมอหลวงเฉาไปด้วยเช่นนี้ ถูกต้องแล้วจริง ๆ”เห็นอ๋องฉีมีสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมา เขารู้ว่าตัวเองได้เผลอปากเสียไปแล้ว “ฟ้าก็มืดแล้ว ในวังไม่อนุญาตให้ขี่ม้าเข้าไป เจ้าเอง
อวี่เหวินห่าวพูดปลอบ “เจ้าอย่าคร่ำครวญนักเลย ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ ถ้าพระองค์ได้ยินเจ้าคร่ำครวญอยู่ตลอดแบบนี้ จะบอกว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาดเอาได้” อ๋องฉีที่เจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่คร่ำครวญเดินลากขาไป ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว “ท่านพี่ ท่านแบกข้าเถอะ”"บาดแผลของเจ้าอยู่ข้างหน้า ข้าแบกเจ้า เจ้าก็ยิ่งเจ็บมิใช่หรือ?” อวี่เหวินห่าวเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็อดกังวลไม่ได้ ทำไมแค่นี้ถึงทนเจ็บไม่ได้?พอนึกถึงตอนแรกที่เหล่าหยวนบาดเจ็บ แล้วเข้ามาในวัง แต่ก็ยังรอดมาถึงตอนนี้ เจ้าเจ็ดนี่สู้พวกผู้หญิงไม่ได้เลย“ยอมเจ็บหน้าอกดีกว่า ไม่อยากเจ็บเหมือนแผลจะฉีกเช่นนี้” อ๋องฉีหยุดเดิน โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าของเขา รวมไปถึงริมฝีปากซีดเผือดไร้เลือดไปหมดอวี่เหวินห่าวจึงทำได้แค่แบกเขาขึ้นมา เมื่อแบกเขาขึ้นหลัง อ๋องฉีก็ส่งเสียงร้องเจ็บขึ้นมาทันทีอวี่เหวินห่าวถามขึ้นมา “พอไหวหรือไม่?”อ๋องฉีหันไปมองมู่หรูกงกงอย่างยากลำบาก ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เทียบไม่ได้เลยกับที่พวกท่านแบกข้าไป”มู่หรูกงกงที่ได้ถามคนในวังที่ออกไปจากวัง หมอหลวงเฉาบอกว่าอาการบาดเจ็บมิได้สาหัสมากนัก ที่หน้าอกยังพอไหว แต่ที่ท้องบาดแผลลึกอ