ส่วนจะสามารถสร้างผลงานไว้เป็นที่จารึกได้หรือไม่ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องลำบากยากแค้นถึงขนาดต้องไปขอทานเพื่อปะทังชีวิต นางรู้สึกว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วแต่คำพูดเหล่านี้ หยวนชิงหลิงกลับไม่สามารถเอ่ยออกมาต่อหน้าไท่ซ่างหวงได้เพราะเท่าที่นางรู้ ไท่ซ่างหวงก็ทรงสนับสนุนเจ้าห้าเช่นกันตอนนี้สามผู้ยิ่งใหญ่ต่างล้วนฝากความหวังไว้ที่เจ้าห้าเพียงแค่พวกเขาช่วยผลักดันสักเล็กน้อย ก็สามารถประสบสำเร็จได้ทันใดนั้นนางก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรค สุดท้ายแล้วคืออุปสรรคอะไรกันแน่? เมื่อก่อนคิดว่าเจ้าห้าเก่งกาจมีความสามารถยิ่งนัก แต่ภายหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดีขึ้นแล้ว ก็กลับรู้สึกว่าเจ้าห้าไม่ได้เฉลียวฉลาดเหมือนแต่ก่อนบางทีรู้ตัวช้าในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงนางรู้สึกหดหู่จนไม่กล้ามองไท่ซ่างหวงสองวันผ่านไป พระชายาซุนก็มาพบนาง เพื่อปรึกษารายการอาหารในวันเกิดของอ๋องซุนหยวนชิงหลิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อ๋องซุนมาที่จวนหลายครั้ง ได้กล่าวว่ามาลองชิมอาหารของพ่อครัวหลวงเพื่อเตรียมฉลองวันเกิดของเขานางเอ่ยขึ้น "พี่สะใภ้รอง ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง วั
หยวนชิงหลิงรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น "สตรีนางนี้เข้ามาจวนเพื่อเป็นบ่าว แต่กลับตั้งครรภ์แล้วหรือ? กับใคร?""น้องสาม" พระชายาซุนถอนหายใจ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่จริงพระชายาเว่ยช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้ แต่นางกลับเนรคุณกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาอย่างง่ายดายหยวนชิงหลิงรีบเปลี่ยนท่าทีจริงจังมากขึ้น "เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่? พี่สะใภ้รองท่านรีบบอกข้ามาเถิด"นางรู้สึกดีต่อพระชายาเว่ยสกุลชุยเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ทั้งอ่อนหวานและสง่างาม ถึงแม้จะเป็นคนของตระกูลชุย แต่กลับแทบไม่มีท่าทีก้าวร้าววางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนอย่างตระกูลฉู่นอกจากนี้ นางตั้งครรภ์ไปเมื่อปีที่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ทารกตายในครรภ์ เมื่ออายุได้หกเดือน และนางพักฟื้นอยู่นาน เพิ่งออกมาเมื่อไม่นานมานี้พระชายาซุนพูดขึ้น "เรื่องนี้พระชายาเว่ยไม่ได้เอ่ยกับข้าอย่างจริงจังนักหรอก นางเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อเอ่ยถึงน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก น้องสามก็เช่นกัน ไม่รู้ว่ามีภูตผีปีศาจตนใดเข้าสิง ถึงได้รักมั่นต่อสตรีนางนั้นเหลือเกิน เพื่อนางแล้ว ถึงขนาดทะเลาะกับพระชายาเว่ยตั้งหลายครั้งหลายครา อีกทั้งยังบ
ในเวลานั้นไม่ได้มีความปรารถนาอื่นใดเลย นอกจากเพียงหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่เพราะนางเคยอยู่กับฉู่หมิงหยาง ดังนั้นทุกคนจึงตั้งแง่เป็นศัตรูกับนางคนเรามักมีช่วงเวลาที่ได้พบเจอคนไม่ดีช่างเถอะ นางไม่อยากขัดแย้งกับเจ้าห้าเพราะเรื่องนี้อีกหลังจากผ่านเรื่องของนางข้าหลวงสี่ นางก็รู้ว่าบางครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเกิดโหดเหี้ยมต้องการเอาชีวิตนางขึ้นมา ย่อมไม่มีทางที่จะคุยกันได้ในยุคนี้ความใจดีมีเมตตา ในบางครั้งอาจทำให้ตัวเองถึงตายได้หูหมิงคาดเดาไม่มีผิด หมานเอ๋อร์ไปแบกกระสอบที่ท่าเรือจริง สถานะของคนเจียงหนาน ทำให้ตระกูลสูงศักดิ์ครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองหลวงต่างหลีกเลี่ยงทั้งนั้นผู้หญิงไปแบกกระสอบ แม้ว่าครั้งหนึ่งนางจะแบกกระสอบมากกว่าผู้อื่นหนึ่งกระสอบ แต่เงินที่ได้รับกลับน้อยกว่าคนอื่นถึงครึ่งหนึ่งนี่คือกฎเกณฑ์เมื่ออาซื่อออกไปทำธุระก็พบนางนางรีบแบกข้าวสองถุงวิ่งไปที่ด้านข้างของเกวียนวัวอย่างรวดเร็ว หลังจากโยนมันลงไว้กับที่แล้ว นางก็กลับไปแบกอย่างอื่นอย่างรวดเร็วนางจำเป็นต้องแบกมันมากกว่าคนอื่นหนึ่งเท่า เพื่อให้ได้เงินเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงวิ่งแทบไม่หยุดพักเลยเดิมทีอาซื่
หลังจากอาซื่อกลับมา นางก็บอกหยวนชิงหลิงเกี่ยวกับเรื่องที่เห็นหมานเอ๋อร์ที่ท่าเรือเมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจไม่น้อยในยุคสมัยนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะไม่ปรากฏตัวออกมาสังคมข้างนอก หมานเอ๋อร์ไปแบกกระสอบกับกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยกัน คงไม่อาจห้ามให้ออกมาปรากฏตัวข้างนอกแต่ว่านางบอกแล้วว่าจะไม่สนใจ จึงไม่ได้เอ่ยถามอีก เพียงแต่ให้อาซื่อมอบเงินสิบตำลึงให้นางอาซื่อกลับมาหาในวันรุ่งขึ้น บอกว่าหมานเอ๋อร์ปฏิเสธ นางจึงยัดเงินให้กับหมานเอ๋อร์และรีบวิ่งหนีไปหยวนชิงหลิงไม่พูดไม่จา "มอบให้นางก็พอแล้ว" "พระชายาเป็นคนดีจริง ๆ เพคะ" อาซื่อกล่าวชื่นชมภายในใจหยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิดการให้เงินสิบตำลึง แท้จริงแล้วเป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจของตนเอง จึงคิดจะใช้เงินสิบตำลึงนี้บรรเทาความรู้สึกตัวเองหากพูดกันตามตรง นางไม่ได้ติดค้างหมานเอ๋อร์นางแค่รู้สึกว่าความเห็นอกเห็นใจของตัวเองจะค่อย ๆ หายไป หยวนชิงหลิงคนเดิมจะกลายเป็นคนใจแข็งไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่นางอาจจะปกป้องตัวเองได้ดีกว่านี้ และสุดท้ายก็อาจเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนตัวเองเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาในตอนเย็น เ
เดิมทีหยวนหย่งอี้ก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นนี้ แล้วเห็นสีหน้าเหมือนจะกินคนของเขาอีก หน้าตาก็บึ้งตึงทันที บุรุษผู้นี้ปัญญาอ่อนหรอกหรือ? บอกว่านางมั่วผู้ชายอยู่ในจวนของผู้อื่น หน้าของเขาไม่มีเหลือแล้วหรือไร?นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสุนัขบ้า จึงหันหลังเดินจากไปอ๋องฉีก้าวไปข้างหน้าคว้าตัวนางไว้ แล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า "เจ้าอธิบายมา" ซูยี่โบกมืออยากจะอธิบาย หยวนหย่งอี้เอ่ยเสียงเย็น "คนเลวเอ่ยอะไรก็มีแต่เรื่องเลว ๆ ท่านโมโหก็อย่ามาลงกับข้า กลับไปลงกับฉู่หมิงชุ่ยไป" "เจ้า..." ประโยคนี้แทงเข้าใจดำของเขาเต็ม ๆ ตอนนี้ทั้งอายทั้งโกรธยิ่งกว่าเดิม "เจ้าอย่าอาศัยว่าเจ้ารู้วรยุทธ์ไม่กี่กระบวนท่าแล้วกล้าทำการไม่เกรงใจข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งให้คนมาลงโทษโบยเจ้าทันที?"ซูยี่ตกใจอย่างมาก นึกถึงตอนที่พระชายาถูกลงโทษโบยในครั้งนั้น รู้สึกว่าอ๋องฉีจริงจัง ถึงอย่างไรท่านอ๋องเหล่านี้ก็ล้วนโหดเหี้ยม จึงรีบเอ่ยขึ้น "อ๋องฉี ท่านอย่าเข้าใจผิด ผู้น้อยแค่ประคองพระชายารองหยวนเท่านั้น นางแค่เซล้มเท่านั้น ไม่ใช่การมั่วชู้อย่างที่ท่านกล่าวแต่อย่างไร ท่านวางใจเถอะ กระหม่อมไม่ชอบแบบพระช
อ๋องฉีโกรธจนแทบระเบิดออกมา "น้ำเสียงของเจ้าราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กอย่างไรอย่างนั้น? อีกทั้งยังจะแนะนำพระชายาเอกให้ข้าอีก งานแต่งของข้าต้องให้เสด็จแม่เป็นคนตัดสินใจ"หยวนหย่งอี้หัวเราะ แววตาสว่างสดใส ไรฟันขาวสะอาดรวมถึงลักยิ้มน่ารักมีเสน่ห์ "ท่านย่าบอกว่าผู้ชายทุกคนก็เหมือนเด็กเกลี้ยกล่อมก็พอแล้ว ส่วนเสด็จแม่ของท่าน…"อ๋องฉีโกรธจนไม่รู้จะว่าอย่างไรดี "นั่นก็เป็นเสด็จแม่ของเจ้าด้วย!"หยวนหย่งอี้ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงลูบจมูกอย่างเบื่อหน่าย "ข้าไม่ใช่พระชายาเอก ไม่สามารถเรียกเสด็จแม่ได้"อ๋องฉีหรี่ตาลง "เจ้าอยากให้ข้าหย่ามาตลอด ตอนนี้ยังกล่าวเช่นนี้อีก มิใช่ว่าเจ้าอยากเป็นพระชายาเอกหรอกหรือ?"หยวนหย่งอี้เอ่ยถาม "เป็นพระชายาเอกนี่มีอะไรดี?""มีข้อดีมากมายนัก" อ๋องฉีคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อย่างน้อยเจ้ากับข้าก็เป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกธรรมนองคลองธรรม ชอบธรรมด้วยเหตุผล""สามีภรรยาที่ถูกธรรมนองคลองธรรม ชอบด้วยเหตุผลมีอะไรดี?" หยวนหย่งอี้ถามอีกครั้งอ๋องฉีมองนาง "อยู่ในจวนเจ้าอยากได้ลมก็ได้ลม อยากฝนก็จะได้ฝน บ่าวไพร่ทุกคนล้วนเชื่อฟังเจ้า" หยวนหย่งอี้ถามกลับ "ตอนนี
อ๋องฉีมองนางอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากนางได้ปกติแล้วนางเป็นคนมุทะลุและหยาบกระด้างขนาดนั้น จะมาเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ได้อย่างไร?เห็นได้ชัดว่าตระกูลหยวนอบรมมาเป็นอย่างดีแววตาของเขาไม่อาจเก็บซ่อนความเหงาโดดเดี่ยวนี่ได้อีก "ที่จริงข้าเข้าวังไปพบเสด็จแม่ เสด็จแม่ตำหนิข้าอย่างหนัก ตรัสว่าชุ่ยเอ๋อร์...ฉู่หมิงชุ่ยคิดเพื่ออนาคตของข้า นางเชื่อว่าสิ่งที่ฉู่หมิงชุ่ยทำทั้งหมดก็เพื่อวางแผนให้ข้ากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต และข้าไม่ควรโกรธและพาลใส่นางเหมือนเด็ก ๆ ทำให้นางที่รักและห่วงใยข้าอย่างแท้จริงต้องเสียใจอีก ทั้งยังทำให้นางที่มีบุญคุณช่วยเหลือสนับสนุนต้องผิดหวัง"ตอนที่เขาเงยหน้ามองนางแววตาก็เปล่งประกายขึ้น "ที่จริงวันนี้ข้าไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับนางมาตลอด หลังจากออกจากวัง ข้าก็สงสัยตัวเองมาตลอดว่าสุดท้ายแล้วข้าเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ หรือเพียงแค่รู้จักประมาณตน? นางคิดเพื่อข้าจริง ๆ หรือเพียงแค่ต้องการบรรลุความปรารถนาของตัวนางเองกันแน่? เจ้าให้คำตอบแก่ข้า ข้าจะกลับไปคุยนาง เจ้าหน้ากลม ขอบใจเจ้ามาก!"ตอนที่หยวนหย่งอี้ฟังเขาพูดก็จะยิ้มด้วยความเอ็นดูอยู่ตลอด
ถังหยางที่ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้าอาซื่อเดินเข้าไปนั่งลง และเอ่ยถามว่า “อะไรมีชีวิตหรือเพคะ?”“ลูกของข้า!” อวี่เหวินห่าวพูดอวดเหมือนคนบ้าเห่ออาซื่อตกใจแล้วตกใจอีก และหันไปมองถังหยางอย่างไม่ทันรู้ตัว ถังหยางชี้ไปที่หัวของเขาราวกับจะบอกอาซื่อว่า ท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วหยวนชิงหลิงโกรธจนหลุดขำออกมา “เอาเถอะ ๆ เตรียมตัวกินข้าวกัน”“พี่ใหญ่ของหม่อมฉันล่ะ เพคะ?” อาซื่อเอ่ยถาม“กลับไปแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบนางอาซื่อกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีว่า “อ๋องฉีเลอะเลือนเสียจริง เขาพูดว่าพี่ใหญ่กับซูยี่เป็นชู้กัน และยังมาพาลโกรธพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่จะอดทนไม่ตีท่านน๋องได้ไหม”อวี่เหวินห่าวที่อารมณ์ดีมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เหลือบตามองอาซือ “นังหนูซื่อบื้อนี่ พูดซะเจ้าเจ็ดเหมือนจะอ่อนแอเหลือเกิน เจ้าเจ็ดเองก็เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนเช่นกัน”“ไม่จริงกระมั้ง?" อาซื่อตกใจ "ทำไมท่าทางของเขาอ่อนแอนุ่มนิ่มกว่าไก่เสียอีก?”อวี่เหวินห่าวยักไหล่ “ไม่อ่อนแอสักหน่อย อย่างน้อยก็ใช้มือบีบไข่ไก่ฟองหนึ่งให้แตกได้”“ข้าบีบก้อนหินแตกได้” อาซื่อพูดอย่างอวดโอ้ อวี่เหวินห่าวหัวเราะขึ้นมาหยว