หยวนชิงหลิงย่อตัวทำความเคารพ เป็นการทักทายมหาเสนาบดีฉู่ที่มาขอเข้าเยี่ยมมหาเสนาบดีฉู่เดินเข้าไปและปิดประตูนางข้าหลวงสี่ที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นเส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพล่นก็รู้สึกตกตะลึง และรู้สึกปวดใจเล็กน้อย “ท่าน...”เขารีบเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองนางเงียบ ๆเขายิ้มและยื่นมือออกไปลูบผมนาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “เห็นเจ้านั่งอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่เลวเลยจริง ๆ”นางข้าหลวงสี่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่ไม่เลวจริง ๆ”“ข้ากับเจ้าล้วนแก่ชราแล้ว มีชีวิตได้อีกไม่นาน ไม่ควรเสียเวลา” เขาพูดและหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และวางไว้ตรงหน้านางนางข้าหลวงสี่มองดูอย่างตั้งใจ นั่นก็คือกระเป๋าเงินปักลายที่ขึ้นราแล้วนางก็หัวเราะออกมา “ท่านยังเก็บไว้อีกหรือ?””ใช่แล้ว ด้ายรุ่ยไปบ้าง ล้างฆ่าเชื้อราแล้ว แต่ก็ล้างไม่ออก แต่สิ่งนี้ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัยนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า จึงต้องเก็บมันไว้ข้างกาย คิดดูแล้ว วันหลังข้าก็จะเอามันโลงไปเป็นของติดตัวไปโลกหน้าของข้า” เขาเขย่ามันเบา ๆ และเก็บกลับลงไปในแขนเสื้อนางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว “เอาไปเป็นของติดตัวไปโลก
ทางด้านตระกูลฉู่เองที่ยังคงต้องมีเรื่องให้ตื่นตะลึงอยู่อย่างต่อเนื่องฮูหยินเฒ่ายอมไปที่อารามชีเยว่เหม่ย แต่ฮูหยินอาวุโสนั้นกลับไม่ยอมกลับไปนางเห็นตระกูลฉู่ถูกจัดการแบบนี้ ความโกรธก็พุ่งถึงขีดสุด นางโกรธมาก ที่จวนนี้นางทรงอำนาจมาตลอด นางไม่ยอมถูกยึดอำนาจง่ายดายเช่นนี้ด้วยเหตุนี้ นางจึงเรียกเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉู่มายังตระกูลฉู่ เพื่อตัดสินพิจารณามหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันทุกคนในตระกูลฉู่ล้วนเคารพยกย่องฮูหยินอาวุโสสูงสุดตั้งแต่สมัยนางยังเยาว์วัยจนถึงวัยชรา นางสามารถจัดการเรื่องภายในครอบครัวได้ราวกับอยู่กำมือนาง ทุกครั้งที่คนในครอบครัวเกิดเรื่อง ล้วนเป็นนางที่ออกหน้าและจัดการให้เรียบร้อยจึงกล่าวได้ว่า ภายในเมืองหลวง แม้กระทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเทียบรัศมีนางได้นางเห็นแก่พวกพ้องของตนเองตราบใดที่เป็นคนตระกูลฉู่ ไม่สนว่านางจะเป็นสายหลักหรือสายรองหรือไม่ นางล้วนต้องปกป้องไม่สนว่าตระกูลฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางล้วนแบกรับได้ทั้งสิ้นหลายปีก่อนหน้า นางมีหลานชายไม่ได้ความคนหนึ่ง ไปทุบตีคนข้างนอกจนตาย ผู้คนจะไปที่สำนักผู้ตรวจการเพื่อไปฟ้องร้องเขา นางออกหน้ามาหยุดยั้ง ไม่เพียงไม่ต้องจ
เขามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะเข้ามาก็ได้ยินข้างในด่าประณามอย่างร้อนแรง แต่ตอนนี้เขานั่งลงที่นี่ กลับไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรสักคำมหาเสนาบดีฉู่มองไปทางฮูหยินอาวุโสสูงสุด “ท่านแม่ทำได้ดีเลยทีเดียว ท่านเชิญทุกคนเข้ามาเช่นนี้ ประหยัดเวลาข้าสั่งคนไปป่าวประกาศให้รับรู้ พอดีข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดต่อหน้าทุกคนเช่นกัน”ฮูหยินอาวุโสที่ยังโกรธอยู่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเห็นท่าว่าจะไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ที่นี่มีคนอาวุโสกว่าเจ้ามากนัก เจ้าควรฟังที่พวกเขาพูดก่อน”มหาเสนาบดีฉู่กอดอกเอามือไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา และกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค วันนี้ทุกคนไม่แบ่งแยกความอาวุโส อย่างไรเสีย ที่นั่งอยู่จะบอกว่าแก่กว่าข้า คงไม่ผมขาวมากกว่าข้าสักเท่าไหร่ มองแค่ครู่เดียวก็รู้ว่าใครสบาย ใครทำงานหนัก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกหลานสกุลฉู่ทั้งหมดมีหน้าที่รับใช้ราชวงศ์ ต้องปฏิบัติตนเหมือนขุนนางข้าราชบริพานคนอื่น ๆ ต้องยอมรับการสอบประเมินผล หากสอบไม่ผ่านต้องถูกคัดออก ไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น”ทันทีที่พูดออกไป ทุกคน
วันนี้นางแต่งตัวเต็มยศเป็นพิเศษ นางสวมชุดผ้าไหมลายเมฆาปักลายร้อยค้างคาวด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง บนคอสวมสร้อยประคำไข่มุก สร้อยประคำไข่มุกเส้นนี้ เม็ดไข่มุกทั้งใหญ่และกลมมนกว่าไทเฮาในวังเสียอีก ตำแหน่งฮูหยินอาวุโสของนางยิ่งใหญ่แทบไม่ต่างกับไทเฮาซูซื่อชาด้วยซ้ำท่านั่งของนางยังคงสง่างามและสูงส่งเช่นวันวาน เอวยืดตรง ไหล่ผึ่งผาย ลำคอตั้งระหงส์ สองมือวางอยู่บนที่วางแขน ท่าทางสง่างามที่มองแสงจันทร์พร่ามัวนอกประตูด้วยสายตาเลื่อนลอยมือของมหาเสนาบดีฉู่ซุกอยู่ในแขนเสื้อ เหมือนกับตาแก่ที่นั่งยอง ๆ อยู่บนถนน จ้องมองมองคนในตลาดเล่นหมากรุก แผ่นหลังของเขางองุ้มเล็กน้อย ไหล่ห่อลง หางคิ้วลดลงต่ำ แต่แววตาคมกริบเป็นประกาย และจ้องมองออกไปข้างนอก แต่แววตาที่จ้องมองตรงไปนั้น ไม่ว่าข้างนอกจะมีภูติผีปีศาจอะไร ล้วนไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตานั้นไปได้“ทำไมเจ้าทำกับแม่ของเจ้าเช่นนี้? ข้าเลี้ยงดูเจ้า ผลักดันให้เจ้าประสบความสำเร็จ ทำไมเจ้าถึงอกตัญญูเช่นนี้?”สุดท้ายก็เป็นฮูหยินอาวุโสที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปความโกรธแค้น“อกตัญญู?” มหาเสนาบดีฉู่หันไปมองนาง “หลายปีมานี้ ลูกยังกตัญญูไม่พออีกหรือ? ท่าน
"เจ้ามันคนไร้หัวใจ!" ฮูหยินผู้เฒ่าร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้า ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นสั่นระริกไปหมด นางรู้สึกโมโหเดือดดาลจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นมหาเสนาบดีฉู่ก้าวเดินจากไปท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งรุ่งเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง ก็มีคนมาเก็บของให้นาง และจัดเตรียมรถม้าเอาไว้เรียบร้อย พร้อมที่จะส่งนางกลับไปยังอารามชีเย่วเหมยฮูหยินอาวุโสสูงสุดถูกแม่นมถงประคองไว้ แล้วจึงค่อยเดินออกไปทีละก้าวอย่างช้า ๆนางยังคงสวมชุดของเมื่อคืนวาน นางเป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางก็เหี่ยวแห้งสิ้นหวัง แม้แต่แรงจะก้าวเดินก็ไม่มั่นคงแล้วริมฝีปากของนางยังคงก่นด่าสาปแช่งออกมาไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่หน้าประตู นางเห็นลูกชายอกตัญญูผู้นั้นความคับแค้นทั้งหมดในใจของนางกลายเป็นพลัง นางยกมือฟาดลงไปบนใบหน้าเขา และเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ข้าจะรอดูว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้ว จะมีหน้าอะไรไปพบเหล่าบรรพชน" มหาเสนาบดีฉู่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา "ในฐานะที่เป็นบุตรชาย ให้ท่านแม่ได้รับเกียรติและเสพสุขมาทั้งชีวิตแล้ว เหตุใดข้าจึงจะไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษเล่า?
ณ จวนอ๋องฉีอ๋องฉีไม่ได้กลับจวนมาสองวันแล้วฉู่หมิงชุ่ยก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้ให้กับมารดาของนาง ร้องไห้ให้กับความใจจืดใจดำของอ๋องฉี ร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตตัวเองที่ทำผิดพลาดไปมากมายความคับแค้นใจทั้งหลายที่อัดอั้นอยู่ในใจ กำลังจะปะทุออกมาในตอนนี้ในที่สุดเมื่ออ๋องฉีกลับมา นางจึงพุ่งออกไปขวางทางอ๋องฉีเอาไว้นางร้องไห้จนตาบวมแดงจนแทบมองอะไรไม่เห็น สำหรับนางแล้ว หลายวันมานี้รู้สึกมืดฟ้ามัวดิน ในยามนางต้องการเขา เขาก็กลับหายไปแบบนี้ความคับแค้นใจนี้ เมื่อนางเห็นอ๋องฉียืนอยู่ตรงหน้ามองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำให้ในใจของนางที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นจนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เป็นคำพูดได้ นางจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้ว นางได้ใช้แรงทั้งหมดตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด แล้วกล่าวด้วยความโกรธและเสียใจว่า "เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้?"อ๋องฉีจ้องมองใบหน้าของนางที่แทบไม่เหลือเค้าความงดงามใด ๆ ราวกับว่าความอัปลักษณ์เลวทรามทั้งหลายที่เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่อาจเก็บซ่อนมันได้อีกต่อไปในชั่วพริบตานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอยากจะตบนางกลับไปสักทีแต่ว่าเขาไม่อาจจะตบตีสตรี หรือตบตีคนที่เขาเคยรักได้ดังนั
ฉู่หมิงชุ่ยถูกตบจนนิ่งอึ้งไป นางมองรองเท้าปักลายในมือของนางอย่างเลื่อนลอย เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง "เจ้าตบข้าด้วยรองเท้าเช่นนั้นรึ?"เมื่อนางตั้งสติได้แล้ว จึงหันกลับมาก็มองอ๋องฉีด้วยความเสียใจและผิดหวัง อีกทั้งเอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ท่านดูนางตบข้าเช่นนี้หรือ?"หยวนหย่งอี้ไม่เปิดโอกาสให้อ๋องฉีเอ่ยปาก ทั้งร่างราวประทัดที่ถูกจุดไฟ นางพูดอย่างโมโหว่า "แล้วอย่างไร? หน้าเจ้ามันดูสูงส่งมีราคามากขนาดนั้นหรือ? เจ้าสามารถตีข้าได้ แต่ข้าตีเจ้าไม่ได้รึไง? มีสิทธิ์อะไรที่ทุกคนจะต้องยอมเจ้า? เขาชอบเจ้า และยอมทำตามที่เจ้าบอก ก็สมควรแล้วที่ถูกเจ้าทุบตี ยอมเจ้าไปตลอดชีวิตมันก็สมควรแล้ว แต่ไม่ใช่กับข้าคนนี้ เจ้าเป็นคนอย่างไร ข้ามองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทะเยอทะยานสูงเสียดฟ้า แต่ทำตัวบอบบางราวกับกระดาษ ความคับข้องใจแค่นี้ยังทนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ช่างทะเยอทะยานเสียจริง ไปเรียนรู้จากพระชายาจี้บ้างก็ดี อย่างน้อยนางก็วางแผนการมาหลายปี ทุ่มเทเงินทองและสติปัญญาไปมากมาย ทุกวันนี้อ๋องจี้มีอำนาจมากกว่าครึ่ง ก็ล้วนเป็นผลงานนางที่แย่งชิงมาไว้ทั้งนั้น ส่วนเจ้าทำอะไรบ้าง? ต้องการให้อ๋องฉีไปแย่
ยิ่งนางร้องไห้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี สุดท้ายนางจึงเรียกสาวใช้มาช่วยแต่งตัวให้ และตบแป้งหนา ๆ เพื่อปกปิดตาที่บวมเป่ง และสั่งให้คนไปเตรียมเกี้ยวให้นางออกไปข้างนอกทางด้านอวี่เหวินห่าว หลังจากเลิกงานก็ควบม้ากลับจวนทันทีเมื่อมาถึงทางแยกก็ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้เขาดึงบังเหียนม้าให้หยุด เมื่อเห็นคนผู้นี้สวมชุดของเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม และใบหน้าดูคุ้นตา เหมือนจะเป็นเสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมเยวี่ยเต๋อ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "มีอะไรรึ?"เสี่ยวเอ้อร์ก้าวไปข้างหน้า แล้วโค้งคำนับ "ข้าน้อยคารวะ ท่านอ๋องฉู่พ่ะย่ะค่ะ คุณชายที่ชื่อกู้ซีเรียกข้าน้อยมารอท่านอ๋องที่นี่ คุณชายกู้ซีกล่าวว่า ต้องการจะเชิญท่านอ๋องไปพบเพราะมีเรื่องสำคัญ""คุณชายกู้ซี?" อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่ากู้ซีเจ้านั้นเข้าเวรตอนกลางวันหรือ? นี่ออกจากวังตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน? ออกจากวังแล้วก็มาดื่มทันที? ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ"พ่ะย่ะค่ะ คุณชายกู้ซีเชิญท่านให้กรุณาไปพบ" เสี่ยวเอ้อร์ยังคงโค้งคำนับต่อ "เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ""ไปบอกเขาว่าข้าไม
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม