ทางด้านตระกูลฉู่เองที่ยังคงต้องมีเรื่องให้ตื่นตะลึงอยู่อย่างต่อเนื่องฮูหยินเฒ่ายอมไปที่อารามชีเยว่เหม่ย แต่ฮูหยินอาวุโสนั้นกลับไม่ยอมกลับไปนางเห็นตระกูลฉู่ถูกจัดการแบบนี้ ความโกรธก็พุ่งถึงขีดสุด นางโกรธมาก ที่จวนนี้นางทรงอำนาจมาตลอด นางไม่ยอมถูกยึดอำนาจง่ายดายเช่นนี้ด้วยเหตุนี้ นางจึงเรียกเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉู่มายังตระกูลฉู่ เพื่อตัดสินพิจารณามหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันทุกคนในตระกูลฉู่ล้วนเคารพยกย่องฮูหยินอาวุโสสูงสุดตั้งแต่สมัยนางยังเยาว์วัยจนถึงวัยชรา นางสามารถจัดการเรื่องภายในครอบครัวได้ราวกับอยู่กำมือนาง ทุกครั้งที่คนในครอบครัวเกิดเรื่อง ล้วนเป็นนางที่ออกหน้าและจัดการให้เรียบร้อยจึงกล่าวได้ว่า ภายในเมืองหลวง แม้กระทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเทียบรัศมีนางได้นางเห็นแก่พวกพ้องของตนเองตราบใดที่เป็นคนตระกูลฉู่ ไม่สนว่านางจะเป็นสายหลักหรือสายรองหรือไม่ นางล้วนต้องปกป้องไม่สนว่าตระกูลฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางล้วนแบกรับได้ทั้งสิ้นหลายปีก่อนหน้า นางมีหลานชายไม่ได้ความคนหนึ่ง ไปทุบตีคนข้างนอกจนตาย ผู้คนจะไปที่สำนักผู้ตรวจการเพื่อไปฟ้องร้องเขา นางออกหน้ามาหยุดยั้ง ไม่เพียงไม่ต้องจ
เขามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะเข้ามาก็ได้ยินข้างในด่าประณามอย่างร้อนแรง แต่ตอนนี้เขานั่งลงที่นี่ กลับไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรสักคำมหาเสนาบดีฉู่มองไปทางฮูหยินอาวุโสสูงสุด “ท่านแม่ทำได้ดีเลยทีเดียว ท่านเชิญทุกคนเข้ามาเช่นนี้ ประหยัดเวลาข้าสั่งคนไปป่าวประกาศให้รับรู้ พอดีข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดต่อหน้าทุกคนเช่นกัน”ฮูหยินอาวุโสที่ยังโกรธอยู่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเห็นท่าว่าจะไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ที่นี่มีคนอาวุโสกว่าเจ้ามากนัก เจ้าควรฟังที่พวกเขาพูดก่อน”มหาเสนาบดีฉู่กอดอกเอามือไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา และกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค วันนี้ทุกคนไม่แบ่งแยกความอาวุโส อย่างไรเสีย ที่นั่งอยู่จะบอกว่าแก่กว่าข้า คงไม่ผมขาวมากกว่าข้าสักเท่าไหร่ มองแค่ครู่เดียวก็รู้ว่าใครสบาย ใครทำงานหนัก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกหลานสกุลฉู่ทั้งหมดมีหน้าที่รับใช้ราชวงศ์ ต้องปฏิบัติตนเหมือนขุนนางข้าราชบริพานคนอื่น ๆ ต้องยอมรับการสอบประเมินผล หากสอบไม่ผ่านต้องถูกคัดออก ไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น”ทันทีที่พูดออกไป ทุกคน
วันนี้นางแต่งตัวเต็มยศเป็นพิเศษ นางสวมชุดผ้าไหมลายเมฆาปักลายร้อยค้างคาวด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง บนคอสวมสร้อยประคำไข่มุก สร้อยประคำไข่มุกเส้นนี้ เม็ดไข่มุกทั้งใหญ่และกลมมนกว่าไทเฮาในวังเสียอีก ตำแหน่งฮูหยินอาวุโสของนางยิ่งใหญ่แทบไม่ต่างกับไทเฮาซูซื่อชาด้วยซ้ำท่านั่งของนางยังคงสง่างามและสูงส่งเช่นวันวาน เอวยืดตรง ไหล่ผึ่งผาย ลำคอตั้งระหงส์ สองมือวางอยู่บนที่วางแขน ท่าทางสง่างามที่มองแสงจันทร์พร่ามัวนอกประตูด้วยสายตาเลื่อนลอยมือของมหาเสนาบดีฉู่ซุกอยู่ในแขนเสื้อ เหมือนกับตาแก่ที่นั่งยอง ๆ อยู่บนถนน จ้องมองมองคนในตลาดเล่นหมากรุก แผ่นหลังของเขางองุ้มเล็กน้อย ไหล่ห่อลง หางคิ้วลดลงต่ำ แต่แววตาคมกริบเป็นประกาย และจ้องมองออกไปข้างนอก แต่แววตาที่จ้องมองตรงไปนั้น ไม่ว่าข้างนอกจะมีภูติผีปีศาจอะไร ล้วนไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตานั้นไปได้“ทำไมเจ้าทำกับแม่ของเจ้าเช่นนี้? ข้าเลี้ยงดูเจ้า ผลักดันให้เจ้าประสบความสำเร็จ ทำไมเจ้าถึงอกตัญญูเช่นนี้?”สุดท้ายก็เป็นฮูหยินอาวุโสที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปความโกรธแค้น“อกตัญญู?” มหาเสนาบดีฉู่หันไปมองนาง “หลายปีมานี้ ลูกยังกตัญญูไม่พออีกหรือ? ท่าน
"เจ้ามันคนไร้หัวใจ!" ฮูหยินผู้เฒ่าร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้า ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นสั่นระริกไปหมด นางรู้สึกโมโหเดือดดาลจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นมหาเสนาบดีฉู่ก้าวเดินจากไปท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งรุ่งเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง ก็มีคนมาเก็บของให้นาง และจัดเตรียมรถม้าเอาไว้เรียบร้อย พร้อมที่จะส่งนางกลับไปยังอารามชีเย่วเหมยฮูหยินอาวุโสสูงสุดถูกแม่นมถงประคองไว้ แล้วจึงค่อยเดินออกไปทีละก้าวอย่างช้า ๆนางยังคงสวมชุดของเมื่อคืนวาน นางเป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางก็เหี่ยวแห้งสิ้นหวัง แม้แต่แรงจะก้าวเดินก็ไม่มั่นคงแล้วริมฝีปากของนางยังคงก่นด่าสาปแช่งออกมาไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่หน้าประตู นางเห็นลูกชายอกตัญญูผู้นั้นความคับแค้นทั้งหมดในใจของนางกลายเป็นพลัง นางยกมือฟาดลงไปบนใบหน้าเขา และเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ข้าจะรอดูว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้ว จะมีหน้าอะไรไปพบเหล่าบรรพชน" มหาเสนาบดีฉู่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา "ในฐานะที่เป็นบุตรชาย ให้ท่านแม่ได้รับเกียรติและเสพสุขมาทั้งชีวิตแล้ว เหตุใดข้าจึงจะไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษเล่า?
ณ จวนอ๋องฉีอ๋องฉีไม่ได้กลับจวนมาสองวันแล้วฉู่หมิงชุ่ยก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้ให้กับมารดาของนาง ร้องไห้ให้กับความใจจืดใจดำของอ๋องฉี ร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตตัวเองที่ทำผิดพลาดไปมากมายความคับแค้นใจทั้งหลายที่อัดอั้นอยู่ในใจ กำลังจะปะทุออกมาในตอนนี้ในที่สุดเมื่ออ๋องฉีกลับมา นางจึงพุ่งออกไปขวางทางอ๋องฉีเอาไว้นางร้องไห้จนตาบวมแดงจนแทบมองอะไรไม่เห็น สำหรับนางแล้ว หลายวันมานี้รู้สึกมืดฟ้ามัวดิน ในยามนางต้องการเขา เขาก็กลับหายไปแบบนี้ความคับแค้นใจนี้ เมื่อนางเห็นอ๋องฉียืนอยู่ตรงหน้ามองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำให้ในใจของนางที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นจนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เป็นคำพูดได้ นางจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้ว นางได้ใช้แรงทั้งหมดตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด แล้วกล่าวด้วยความโกรธและเสียใจว่า "เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้?"อ๋องฉีจ้องมองใบหน้าของนางที่แทบไม่เหลือเค้าความงดงามใด ๆ ราวกับว่าความอัปลักษณ์เลวทรามทั้งหลายที่เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่อาจเก็บซ่อนมันได้อีกต่อไปในชั่วพริบตานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอยากจะตบนางกลับไปสักทีแต่ว่าเขาไม่อาจจะตบตีสตรี หรือตบตีคนที่เขาเคยรักได้ดังนั
ฉู่หมิงชุ่ยถูกตบจนนิ่งอึ้งไป นางมองรองเท้าปักลายในมือของนางอย่างเลื่อนลอย เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง "เจ้าตบข้าด้วยรองเท้าเช่นนั้นรึ?"เมื่อนางตั้งสติได้แล้ว จึงหันกลับมาก็มองอ๋องฉีด้วยความเสียใจและผิดหวัง อีกทั้งเอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ท่านดูนางตบข้าเช่นนี้หรือ?"หยวนหย่งอี้ไม่เปิดโอกาสให้อ๋องฉีเอ่ยปาก ทั้งร่างราวประทัดที่ถูกจุดไฟ นางพูดอย่างโมโหว่า "แล้วอย่างไร? หน้าเจ้ามันดูสูงส่งมีราคามากขนาดนั้นหรือ? เจ้าสามารถตีข้าได้ แต่ข้าตีเจ้าไม่ได้รึไง? มีสิทธิ์อะไรที่ทุกคนจะต้องยอมเจ้า? เขาชอบเจ้า และยอมทำตามที่เจ้าบอก ก็สมควรแล้วที่ถูกเจ้าทุบตี ยอมเจ้าไปตลอดชีวิตมันก็สมควรแล้ว แต่ไม่ใช่กับข้าคนนี้ เจ้าเป็นคนอย่างไร ข้ามองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทะเยอทะยานสูงเสียดฟ้า แต่ทำตัวบอบบางราวกับกระดาษ ความคับข้องใจแค่นี้ยังทนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ช่างทะเยอทะยานเสียจริง ไปเรียนรู้จากพระชายาจี้บ้างก็ดี อย่างน้อยนางก็วางแผนการมาหลายปี ทุ่มเทเงินทองและสติปัญญาไปมากมาย ทุกวันนี้อ๋องจี้มีอำนาจมากกว่าครึ่ง ก็ล้วนเป็นผลงานนางที่แย่งชิงมาไว้ทั้งนั้น ส่วนเจ้าทำอะไรบ้าง? ต้องการให้อ๋องฉีไปแย่
ยิ่งนางร้องไห้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี สุดท้ายนางจึงเรียกสาวใช้มาช่วยแต่งตัวให้ และตบแป้งหนา ๆ เพื่อปกปิดตาที่บวมเป่ง และสั่งให้คนไปเตรียมเกี้ยวให้นางออกไปข้างนอกทางด้านอวี่เหวินห่าว หลังจากเลิกงานก็ควบม้ากลับจวนทันทีเมื่อมาถึงทางแยกก็ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้เขาดึงบังเหียนม้าให้หยุด เมื่อเห็นคนผู้นี้สวมชุดของเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม และใบหน้าดูคุ้นตา เหมือนจะเป็นเสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมเยวี่ยเต๋อ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "มีอะไรรึ?"เสี่ยวเอ้อร์ก้าวไปข้างหน้า แล้วโค้งคำนับ "ข้าน้อยคารวะ ท่านอ๋องฉู่พ่ะย่ะค่ะ คุณชายที่ชื่อกู้ซีเรียกข้าน้อยมารอท่านอ๋องที่นี่ คุณชายกู้ซีกล่าวว่า ต้องการจะเชิญท่านอ๋องไปพบเพราะมีเรื่องสำคัญ""คุณชายกู้ซี?" อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่ากู้ซีเจ้านั้นเข้าเวรตอนกลางวันหรือ? นี่ออกจากวังตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน? ออกจากวังแล้วก็มาดื่มทันที? ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ"พ่ะย่ะค่ะ คุณชายกู้ซีเชิญท่านให้กรุณาไปพบ" เสี่ยวเอ้อร์ยังคงโค้งคำนับต่อ "เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ""ไปบอกเขาว่าข้าไม
ฉู่หมิงชุ่ยร้องไห้น้ำตาไหลหยดเผาะ ๆ นางมองเขาอย่างลุ่มหลงคลั่งไคล้ "ข้าขอหย่ากับอ๋องฉีแล้ว ตลอดมาข้าไม่มีเคยลืมท่าน ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ชอบข้าแล้ว แต่ข้าปล่อยวางไม่ได้ ถึงแม้ว่าอ๋องฉีจะดีต่อข้าเพียงใด ข้าก็ไม่มีอาจลืมอดีตของพวกเราได้…"อวี่เหวินห่าวพูดตัดบทนาง "อย่าเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของเราอีก เพราะอดีตของพวกเราได้จบไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอดีตที่เอ่ยออกมาจากปากเจ้า ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว"เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ที่บ้านมีคนขี้หึงอยู่ ถ้าเกิดหึงหวงขึ้นมา เขาคงไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขแน่ ดังนั้นหลังจากกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ อยากจะออกไปจากตรงนี้ฉู่หมิงชุ่ยกอดเขาไว้ และซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา แล้วร้องไห้ออกมา "ไม่ ไม่ ท่านอย่าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าลืมท่านไม่ได้ ข้าจะไปกับท่าน ต่อให้เป็นแค่อนุหรือบ่าวรับใช้ก็ได้ ข้าก็แค่อยากอยู่ด้วยกันกับท่าน อะไรข้าก็ไม่ต้องการอีก ชื่อเสียงข้าก็ไม่ต้องการแล้ว" อวี่เหวินห่าวผลักนางออกอย่างแรง แล้วเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ต่อไปเจ้าอย่ามาหาข้าอีก ข้าไม่อยากให้เหล่าหยวนเข้าใจผิด ข้ากับเ