ยิ่งนางร้องไห้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งเศร้าเสียใจมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี สุดท้ายนางจึงเรียกสาวใช้มาช่วยแต่งตัวให้ และตบแป้งหนา ๆ เพื่อปกปิดตาที่บวมเป่ง และสั่งให้คนไปเตรียมเกี้ยวให้นางออกไปข้างนอกทางด้านอวี่เหวินห่าว หลังจากเลิกงานก็ควบม้ากลับจวนทันทีเมื่อมาถึงทางแยกก็ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้เขาดึงบังเหียนม้าให้หยุด เมื่อเห็นคนผู้นี้สวมชุดของเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม และใบหน้าดูคุ้นตา เหมือนจะเป็นเสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมเยวี่ยเต๋อ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "มีอะไรรึ?"เสี่ยวเอ้อร์ก้าวไปข้างหน้า แล้วโค้งคำนับ "ข้าน้อยคารวะ ท่านอ๋องฉู่พ่ะย่ะค่ะ คุณชายที่ชื่อกู้ซีเรียกข้าน้อยมารอท่านอ๋องที่นี่ คุณชายกู้ซีกล่าวว่า ต้องการจะเชิญท่านอ๋องไปพบเพราะมีเรื่องสำคัญ""คุณชายกู้ซี?" อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่ากู้ซีเจ้านั้นเข้าเวรตอนกลางวันหรือ? นี่ออกจากวังตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน? ออกจากวังแล้วก็มาดื่มทันที? ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ"พ่ะย่ะค่ะ คุณชายกู้ซีเชิญท่านให้กรุณาไปพบ" เสี่ยวเอ้อร์ยังคงโค้งคำนับต่อ "เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ""ไปบอกเขาว่าข้าไม
ฉู่หมิงชุ่ยร้องไห้น้ำตาไหลหยดเผาะ ๆ นางมองเขาอย่างลุ่มหลงคลั่งไคล้ "ข้าขอหย่ากับอ๋องฉีแล้ว ตลอดมาข้าไม่มีเคยลืมท่าน ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ชอบข้าแล้ว แต่ข้าปล่อยวางไม่ได้ ถึงแม้ว่าอ๋องฉีจะดีต่อข้าเพียงใด ข้าก็ไม่มีอาจลืมอดีตของพวกเราได้…"อวี่เหวินห่าวพูดตัดบทนาง "อย่าเอ่ยถึงเรื่องในอดีตของเราอีก เพราะอดีตของพวกเราได้จบไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอดีตที่เอ่ยออกมาจากปากเจ้า ข้ารู้สึกว่าความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว"เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ที่บ้านมีคนขี้หึงอยู่ ถ้าเกิดหึงหวงขึ้นมา เขาคงไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขแน่ ดังนั้นหลังจากกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็สาวเท้าก้าวยาว ๆ อยากจะออกไปจากตรงนี้ฉู่หมิงชุ่ยกอดเขาไว้ และซุกหน้าลงกับแผ่นอกของเขา แล้วร้องไห้ออกมา "ไม่ ไม่ ท่านอย่าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าลืมท่านไม่ได้ ข้าจะไปกับท่าน ต่อให้เป็นแค่อนุหรือบ่าวรับใช้ก็ได้ ข้าก็แค่อยากอยู่ด้วยกันกับท่าน อะไรข้าก็ไม่ต้องการอีก ชื่อเสียงข้าก็ไม่ต้องการแล้ว" อวี่เหวินห่าวผลักนางออกอย่างแรง แล้วเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ต่อไปเจ้าอย่ามาหาข้าอีก ข้าไม่อยากให้เหล่าหยวนเข้าใจผิด ข้ากับเ
เมื่ออวี่เหวินห่าวออกไปข้างนอก เขาคว้าตัวเสี่ยวเอ้อร์โยนออกไป และเขายกเก้าอี้ขึ้นมาทุบจนโต๊ะพัง เถ้าแก่ที่อยู่ข้างล่างหน้าซีดเผือด หวาดกลัวเสียจนต้องขดตัวแอบเขาตบสะโพกม้าให้วิ่งห้อมุ่งตรงไปยังจวน พอเข้าไปในจวนก็ไม่ไปเจอหยวนชิงหลิงก่อน แต่มุ่งตรงไปที่สระผีอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยส่วนชุดขุนนางที่ใส่ในวันนี้ จะโยนทิ้งก็คงไม่ได้ จึงเรียกให้คนเอาออกมาไปต้มด้วยน้ำเดือดซ้ำ ๆแน่นอนว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้คิดจะปิดบังเหล่าหยวนดังนั้นหลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปที่ตำหนักเสี่ยวเย่ว แล้วดึงเหล่าหยวนมานั่งบนตั่งไม้ "วันนี้ฉู่หมิงชุ่ยมาหาข้า" หยวนชิงหลิงแปลกใจที่เขาอาบน้ำทันทีที่กลับมาถึง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางไม่โกรธ เพียงแค่ส่งเสียง อืม ออกมาเป็นการตอบรับเท่านั้น "แล้วอย่างไรต่อ?""นางบอกว่านางยื่นเรื่องหย่าขาดกับอ๋องฉีแล้ว..." เพื่อความปลอดภัยเขาจึงจับมือนางไว้ แล้วเล่าเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยให้นางฟังอย่างละเอียดครบถ้วน ไม่มีตกหล่นเล่าจบก็ยกมือทำท่าจะสาบานด้วยความจริงใจ "ข้าตำหนินางเช่นนั้นจริง ๆ ไม่โกหกหลอกลวง ไม่ได้เอ่ยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีแม้แต่คำเดียวหยวนชงหลิงคลี่ยิ้มออก
"ก็ใช่น่ะสิ หยวนหย่งอี้ถูกนางตบเข้าที่กกหู จึงขอให้ข้าจ่ายยาให้นาง นางบอกว่าหูอื้อ มีเสียงวิ้งในหูตลอดเลย”อวี่เหวินห่าวอดถอนหายใจออกไม่ได้ "เหตุใดนางถึงกลายเป็นเยี่ยงนี้ไปได้? มันยากที่จะเข้าใจจริง ๆ""หากร้องขอไปแล้วไม่อาจได้มา ก็คงมีแต่ยิ่งจะบ้าคลั่งหนักกว่าเดิม คืนนี้ท่านปฏิเสธนางไปแล้ว นางอาจจะทำเรื่องที่รุนแรงกว่านี้ก็เป็นได้"เมื่ออวี่เหวินห่าวได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "จากที่เจ้ามองดูนางแล้ว เจ้าคิดว่านางจะก่อเรื่องเป็นภัยกับเจ้าหรือไม่?"ตอนนี้เขาพูดคุยกับหยวนชิงหลิงอยู่ตลอดทุกเรื่อง เพียงแต่เวลามีคนภายนอกก่อเรื่องสร้างปัญหา เขามักคิดเสมอว่ามันมักพุ่งเป้าไปยังภรรยาของเขาหยวนชิงหลิงส่ายหน้า "ไม่มีทาง จริงอยู่ว่านางเป็นคนที่เยือกเย็นมากคนหนึ่ง ข้าว่านางทำเรื่องรุนแรงเช่นนี้ก็เพราะมีเป้าหมาย หากเจ้าไม่รับนางไว้ นางก็จะไม่มีทางออกจากจวนอ๋องฉี แล้วมาดูซิว่าจะใช้วิธีอะไรต่อ แต่ข้าว่าสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด น่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อทำให้อ๋องฉีใจอ่อนและปวดใจ"อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว "เจ้าอย่าพูดเลย เจ้าเจ็ดเป็นคนใจอ่อนจริง ๆ""ดังนั้นการหย่าร้างจึงเป็นไปไม่ได้" หยวน
หยวนชิงหลิงไปที่ตำหนักเฉียนคุน เพื่อเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงไท่ซ่างหวงตรัสถามถึงนางข้าหลวงสี่ หยวนชิงหลิงกล่าวว่า "ในระหว่างพักฟื้น มหาเสนบดีฉู่ไปเยี่ยมนาง นางจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ส่วนด้านนอกก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกเพคะ""แต่เจ้าดูไม่ร่าเริงเอาเสียเลย เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?" ไท่ซ่างหวงตรัสถามขึ้นหยวนชิงหลิงเพิ่งนึกถึงเรื่องขององค์ชายแปดได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า "หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะเสด็จปู่ หากคนของฮองเฮาถามว่าเหตุใดองค์ชายแปดถึงมีแว่นตา เสด็จปู่ก็บอกว่าพระองค์เป็นคนประทานมันให้นะเพคะ"ไท่ซ่างหวงตรัสอย่างเย้ยหยันว่า "ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะฮองเฮาไม่กล้ามาถาม" หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไปฉางกงกงจึงช่วยอธิบายให้นาง "ฮองเฮาเองก็เป็นคนของตระกูลฉู่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ" หยวนชิงหลิงนั่งลงมองไท่ซ่างหวง "เสด็จปู่ มหาเสนาบดีฉู่ผู้นี้ พระองค์ทรงเชื่อใจเขาจริงหรือเพคะ?""อยากจะพูดอะไรกันแน่?" ไท่ซ่างหวงเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วตรัสถามขึ้นหยวนชิงหลิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย "หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่า เมื่อก่อนหม่อมฉันคิดมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยาน ท่านพ่อของหม่อมฉัน จิ้งโฮ่วพยายามประจบประแจงเขา แต่ก็
ส่วนจะสามารถสร้างผลงานไว้เป็นที่จารึกได้หรือไม่ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องลำบากยากแค้นถึงขนาดต้องไปขอทานเพื่อปะทังชีวิต นางรู้สึกว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วแต่คำพูดเหล่านี้ หยวนชิงหลิงกลับไม่สามารถเอ่ยออกมาต่อหน้าไท่ซ่างหวงได้เพราะเท่าที่นางรู้ ไท่ซ่างหวงก็ทรงสนับสนุนเจ้าห้าเช่นกันตอนนี้สามผู้ยิ่งใหญ่ต่างล้วนฝากความหวังไว้ที่เจ้าห้าเพียงแค่พวกเขาช่วยผลักดันสักเล็กน้อย ก็สามารถประสบสำเร็จได้ทันใดนั้นนางก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าอุปสรรค สุดท้ายแล้วคืออุปสรรคอะไรกันแน่? เมื่อก่อนคิดว่าเจ้าห้าเก่งกาจมีความสามารถยิ่งนัก แต่ภายหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาดีขึ้นแล้ว ก็กลับรู้สึกว่าเจ้าห้าไม่ได้เฉลียวฉลาดเหมือนแต่ก่อนบางทีรู้ตัวช้าในความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงนางรู้สึกหดหู่จนไม่กล้ามองไท่ซ่างหวงสองวันผ่านไป พระชายาซุนก็มาพบนาง เพื่อปรึกษารายการอาหารในวันเกิดของอ๋องซุนหยวนชิงหลิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อ๋องซุนมาที่จวนหลายครั้ง ได้กล่าวว่ามาลองชิมอาหารของพ่อครัวหลวงเพื่อเตรียมฉลองวันเกิดของเขานางเอ่ยขึ้น "พี่สะใภ้รอง ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง วั
หยวนชิงหลิงรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น "สตรีนางนี้เข้ามาจวนเพื่อเป็นบ่าว แต่กลับตั้งครรภ์แล้วหรือ? กับใคร?""น้องสาม" พระชายาซุนถอนหายใจ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่จริงพระชายาเว่ยช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้ แต่นางกลับเนรคุณกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาอย่างง่ายดายหยวนชิงหลิงรีบเปลี่ยนท่าทีจริงจังมากขึ้น "เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่? พี่สะใภ้รองท่านรีบบอกข้ามาเถิด"นางรู้สึกดีต่อพระชายาเว่ยสกุลชุยเป็นอย่างมาก นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ทั้งอ่อนหวานและสง่างาม ถึงแม้จะเป็นคนของตระกูลชุย แต่กลับแทบไม่มีท่าทีก้าวร้าววางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนอย่างตระกูลฉู่นอกจากนี้ นางตั้งครรภ์ไปเมื่อปีที่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ทารกตายในครรภ์ เมื่ออายุได้หกเดือน และนางพักฟื้นอยู่นาน เพิ่งออกมาเมื่อไม่นานมานี้พระชายาซุนพูดขึ้น "เรื่องนี้พระชายาเว่ยไม่ได้เอ่ยกับข้าอย่างจริงจังนักหรอก นางเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อเอ่ยถึงน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมา ช่างน่าสงสารยิ่งนัก น้องสามก็เช่นกัน ไม่รู้ว่ามีภูตผีปีศาจตนใดเข้าสิง ถึงได้รักมั่นต่อสตรีนางนั้นเหลือเกิน เพื่อนางแล้ว ถึงขนาดทะเลาะกับพระชายาเว่ยตั้งหลายครั้งหลายครา อีกทั้งยังบ
ในเวลานั้นไม่ได้มีความปรารถนาอื่นใดเลย นอกจากเพียงหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่เพราะนางเคยอยู่กับฉู่หมิงหยาง ดังนั้นทุกคนจึงตั้งแง่เป็นศัตรูกับนางคนเรามักมีช่วงเวลาที่ได้พบเจอคนไม่ดีช่างเถอะ นางไม่อยากขัดแย้งกับเจ้าห้าเพราะเรื่องนี้อีกหลังจากผ่านเรื่องของนางข้าหลวงสี่ นางก็รู้ว่าบางครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเกิดโหดเหี้ยมต้องการเอาชีวิตนางขึ้นมา ย่อมไม่มีทางที่จะคุยกันได้ในยุคนี้ความใจดีมีเมตตา ในบางครั้งอาจทำให้ตัวเองถึงตายได้หูหมิงคาดเดาไม่มีผิด หมานเอ๋อร์ไปแบกกระสอบที่ท่าเรือจริง สถานะของคนเจียงหนาน ทำให้ตระกูลสูงศักดิ์ครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองหลวงต่างหลีกเลี่ยงทั้งนั้นผู้หญิงไปแบกกระสอบ แม้ว่าครั้งหนึ่งนางจะแบกกระสอบมากกว่าผู้อื่นหนึ่งกระสอบ แต่เงินที่ได้รับกลับน้อยกว่าคนอื่นถึงครึ่งหนึ่งนี่คือกฎเกณฑ์เมื่ออาซื่อออกไปทำธุระก็พบนางนางรีบแบกข้าวสองถุงวิ่งไปที่ด้านข้างของเกวียนวัวอย่างรวดเร็ว หลังจากโยนมันลงไว้กับที่แล้ว นางก็กลับไปแบกอย่างอื่นอย่างรวดเร็วนางจำเป็นต้องแบกมันมากกว่าคนอื่นหนึ่งเท่า เพื่อให้ได้เงินเท่ากับคนอื่น ดังนั้นนางจึงวิ่งแทบไม่หยุดพักเลยเดิมทีอาซื่