ฮูหยินอาวุโสฟื้นขึ้นหลังได้ยินพระบัญชานั้น ริมฝีปากนางสั่นอยู่สักพัก ดวงตาฝ้าฟางนั้นฉายแววหวาดกลัว “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ตระกูลฉู่ตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?”“ท่านหญิง” หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายนางมานานหลายปีอย่างถงโม่โม่ถอนหายใจ และกล่าวว่า “เกรงว่านายท่านเองก็ไม่ได้ทำผิด หลายปีมานี้ตระกูลฉู่ทำเกินไปมากจริง ๆ”“นี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรได้รับ” ฮูหยินอาวุโสสุงสุดยังไม่ยอมรับความจริง นางกล่าวอย่างเจ็บปวดและสับสนว่า “พวกเราสกุลฉู่ ลูกสาวข้าแต่งงานเข้าวังเป็นถึงฮองเฮา หลานสาวข้าก็แต่งงานเข้าวังเป็นฮองเฮา ตอนนี้พวกเราตระกูลฉู่เป็นครอบครัวที่ทรงอำนาจอันดับหนึ่งของเป่ยถัง ไทเฮาสกุลซูยังไม่คู่ควรสวมรองเท้าให้พวกเราด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ ไท่ซางหวงเพื่อผู้พิทักษ์แผ่นดินที่ตายไปแล้ว เพื่อนางบ่าวแพศยาผู้นั้น ถึงกับต้องสั่งประหารฮูหยินฉู่ของเรา? ข้าไม่เข้าใจ ข้ารับไม่ได้ เจ้า...เจ้ารีบมาประคองข้าออกไป ข้าจะเข้าวัง ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง”“ท่านหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ เรื่องมาถึงจุดจบแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็ได้ถูกประหารไปแล้ว พวกเรากลับอารามชีเยว่เหมยเถอะเจ้าค่ะ” ถงโม่โม่
หยวนชิงหลิงย่อตัวทำความเคารพ เป็นการทักทายมหาเสนาบดีฉู่ที่มาขอเข้าเยี่ยมมหาเสนาบดีฉู่เดินเข้าไปและปิดประตูนางข้าหลวงสี่ที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นเส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพล่นก็รู้สึกตกตะลึง และรู้สึกปวดใจเล็กน้อย “ท่าน...”เขารีบเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองนางเงียบ ๆเขายิ้มและยื่นมือออกไปลูบผมนาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “เห็นเจ้านั่งอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่เลวเลยจริง ๆ”นางข้าหลวงสี่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่ไม่เลวจริง ๆ”“ข้ากับเจ้าล้วนแก่ชราแล้ว มีชีวิตได้อีกไม่นาน ไม่ควรเสียเวลา” เขาพูดและหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และวางไว้ตรงหน้านางนางข้าหลวงสี่มองดูอย่างตั้งใจ นั่นก็คือกระเป๋าเงินปักลายที่ขึ้นราแล้วนางก็หัวเราะออกมา “ท่านยังเก็บไว้อีกหรือ?””ใช่แล้ว ด้ายรุ่ยไปบ้าง ล้างฆ่าเชื้อราแล้ว แต่ก็ล้างไม่ออก แต่สิ่งนี้ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัยนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า จึงต้องเก็บมันไว้ข้างกาย คิดดูแล้ว วันหลังข้าก็จะเอามันโลงไปเป็นของติดตัวไปโลกหน้าของข้า” เขาเขย่ามันเบา ๆ และเก็บกลับลงไปในแขนเสื้อนางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว “เอาไปเป็นของติดตัวไปโลก
ทางด้านตระกูลฉู่เองที่ยังคงต้องมีเรื่องให้ตื่นตะลึงอยู่อย่างต่อเนื่องฮูหยินเฒ่ายอมไปที่อารามชีเยว่เหม่ย แต่ฮูหยินอาวุโสนั้นกลับไม่ยอมกลับไปนางเห็นตระกูลฉู่ถูกจัดการแบบนี้ ความโกรธก็พุ่งถึงขีดสุด นางโกรธมาก ที่จวนนี้นางทรงอำนาจมาตลอด นางไม่ยอมถูกยึดอำนาจง่ายดายเช่นนี้ด้วยเหตุนี้ นางจึงเรียกเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉู่มายังตระกูลฉู่ เพื่อตัดสินพิจารณามหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันทุกคนในตระกูลฉู่ล้วนเคารพยกย่องฮูหยินอาวุโสสูงสุดตั้งแต่สมัยนางยังเยาว์วัยจนถึงวัยชรา นางสามารถจัดการเรื่องภายในครอบครัวได้ราวกับอยู่กำมือนาง ทุกครั้งที่คนในครอบครัวเกิดเรื่อง ล้วนเป็นนางที่ออกหน้าและจัดการให้เรียบร้อยจึงกล่าวได้ว่า ภายในเมืองหลวง แม้กระทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเทียบรัศมีนางได้นางเห็นแก่พวกพ้องของตนเองตราบใดที่เป็นคนตระกูลฉู่ ไม่สนว่านางจะเป็นสายหลักหรือสายรองหรือไม่ นางล้วนต้องปกป้องไม่สนว่าตระกูลฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางล้วนแบกรับได้ทั้งสิ้นหลายปีก่อนหน้า นางมีหลานชายไม่ได้ความคนหนึ่ง ไปทุบตีคนข้างนอกจนตาย ผู้คนจะไปที่สำนักผู้ตรวจการเพื่อไปฟ้องร้องเขา นางออกหน้ามาหยุดยั้ง ไม่เพียงไม่ต้องจ
เขามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะเข้ามาก็ได้ยินข้างในด่าประณามอย่างร้อนแรง แต่ตอนนี้เขานั่งลงที่นี่ กลับไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรสักคำมหาเสนาบดีฉู่มองไปทางฮูหยินอาวุโสสูงสุด “ท่านแม่ทำได้ดีเลยทีเดียว ท่านเชิญทุกคนเข้ามาเช่นนี้ ประหยัดเวลาข้าสั่งคนไปป่าวประกาศให้รับรู้ พอดีข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดต่อหน้าทุกคนเช่นกัน”ฮูหยินอาวุโสที่ยังโกรธอยู่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเห็นท่าว่าจะไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ที่นี่มีคนอาวุโสกว่าเจ้ามากนัก เจ้าควรฟังที่พวกเขาพูดก่อน”มหาเสนาบดีฉู่กอดอกเอามือไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา และกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค วันนี้ทุกคนไม่แบ่งแยกความอาวุโส อย่างไรเสีย ที่นั่งอยู่จะบอกว่าแก่กว่าข้า คงไม่ผมขาวมากกว่าข้าสักเท่าไหร่ มองแค่ครู่เดียวก็รู้ว่าใครสบาย ใครทำงานหนัก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกหลานสกุลฉู่ทั้งหมดมีหน้าที่รับใช้ราชวงศ์ ต้องปฏิบัติตนเหมือนขุนนางข้าราชบริพานคนอื่น ๆ ต้องยอมรับการสอบประเมินผล หากสอบไม่ผ่านต้องถูกคัดออก ไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น”ทันทีที่พูดออกไป ทุกคน
วันนี้นางแต่งตัวเต็มยศเป็นพิเศษ นางสวมชุดผ้าไหมลายเมฆาปักลายร้อยค้างคาวด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง บนคอสวมสร้อยประคำไข่มุก สร้อยประคำไข่มุกเส้นนี้ เม็ดไข่มุกทั้งใหญ่และกลมมนกว่าไทเฮาในวังเสียอีก ตำแหน่งฮูหยินอาวุโสของนางยิ่งใหญ่แทบไม่ต่างกับไทเฮาซูซื่อชาด้วยซ้ำท่านั่งของนางยังคงสง่างามและสูงส่งเช่นวันวาน เอวยืดตรง ไหล่ผึ่งผาย ลำคอตั้งระหงส์ สองมือวางอยู่บนที่วางแขน ท่าทางสง่างามที่มองแสงจันทร์พร่ามัวนอกประตูด้วยสายตาเลื่อนลอยมือของมหาเสนาบดีฉู่ซุกอยู่ในแขนเสื้อ เหมือนกับตาแก่ที่นั่งยอง ๆ อยู่บนถนน จ้องมองมองคนในตลาดเล่นหมากรุก แผ่นหลังของเขางองุ้มเล็กน้อย ไหล่ห่อลง หางคิ้วลดลงต่ำ แต่แววตาคมกริบเป็นประกาย และจ้องมองออกไปข้างนอก แต่แววตาที่จ้องมองตรงไปนั้น ไม่ว่าข้างนอกจะมีภูติผีปีศาจอะไร ล้วนไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตานั้นไปได้“ทำไมเจ้าทำกับแม่ของเจ้าเช่นนี้? ข้าเลี้ยงดูเจ้า ผลักดันให้เจ้าประสบความสำเร็จ ทำไมเจ้าถึงอกตัญญูเช่นนี้?”สุดท้ายก็เป็นฮูหยินอาวุโสที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปความโกรธแค้น“อกตัญญู?” มหาเสนาบดีฉู่หันไปมองนาง “หลายปีมานี้ ลูกยังกตัญญูไม่พออีกหรือ? ท่าน
"เจ้ามันคนไร้หัวใจ!" ฮูหยินผู้เฒ่าร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้า ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นสั่นระริกไปหมด นางรู้สึกโมโหเดือดดาลจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นมหาเสนาบดีฉู่ก้าวเดินจากไปท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งรุ่งเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง ก็มีคนมาเก็บของให้นาง และจัดเตรียมรถม้าเอาไว้เรียบร้อย พร้อมที่จะส่งนางกลับไปยังอารามชีเย่วเหมยฮูหยินอาวุโสสูงสุดถูกแม่นมถงประคองไว้ แล้วจึงค่อยเดินออกไปทีละก้าวอย่างช้า ๆนางยังคงสวมชุดของเมื่อคืนวาน นางเป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางก็เหี่ยวแห้งสิ้นหวัง แม้แต่แรงจะก้าวเดินก็ไม่มั่นคงแล้วริมฝีปากของนางยังคงก่นด่าสาปแช่งออกมาไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่หน้าประตู นางเห็นลูกชายอกตัญญูผู้นั้นความคับแค้นทั้งหมดในใจของนางกลายเป็นพลัง นางยกมือฟาดลงไปบนใบหน้าเขา และเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ข้าจะรอดูว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้ว จะมีหน้าอะไรไปพบเหล่าบรรพชน" มหาเสนาบดีฉู่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา "ในฐานะที่เป็นบุตรชาย ให้ท่านแม่ได้รับเกียรติและเสพสุขมาทั้งชีวิตแล้ว เหตุใดข้าจึงจะไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษเล่า?
ณ จวนอ๋องฉีอ๋องฉีไม่ได้กลับจวนมาสองวันแล้วฉู่หมิงชุ่ยก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้ให้กับมารดาของนาง ร้องไห้ให้กับความใจจืดใจดำของอ๋องฉี ร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตตัวเองที่ทำผิดพลาดไปมากมายความคับแค้นใจทั้งหลายที่อัดอั้นอยู่ในใจ กำลังจะปะทุออกมาในตอนนี้ในที่สุดเมื่ออ๋องฉีกลับมา นางจึงพุ่งออกไปขวางทางอ๋องฉีเอาไว้นางร้องไห้จนตาบวมแดงจนแทบมองอะไรไม่เห็น สำหรับนางแล้ว หลายวันมานี้รู้สึกมืดฟ้ามัวดิน ในยามนางต้องการเขา เขาก็กลับหายไปแบบนี้ความคับแค้นใจนี้ เมื่อนางเห็นอ๋องฉียืนอยู่ตรงหน้ามองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำให้ในใจของนางที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นจนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เป็นคำพูดได้ นางจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้ว นางได้ใช้แรงทั้งหมดตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด แล้วกล่าวด้วยความโกรธและเสียใจว่า "เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้?"อ๋องฉีจ้องมองใบหน้าของนางที่แทบไม่เหลือเค้าความงดงามใด ๆ ราวกับว่าความอัปลักษณ์เลวทรามทั้งหลายที่เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่อาจเก็บซ่อนมันได้อีกต่อไปในชั่วพริบตานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอยากจะตบนางกลับไปสักทีแต่ว่าเขาไม่อาจจะตบตีสตรี หรือตบตีคนที่เขาเคยรักได้ดังนั
ฉู่หมิงชุ่ยถูกตบจนนิ่งอึ้งไป นางมองรองเท้าปักลายในมือของนางอย่างเลื่อนลอย เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง "เจ้าตบข้าด้วยรองเท้าเช่นนั้นรึ?"เมื่อนางตั้งสติได้แล้ว จึงหันกลับมาก็มองอ๋องฉีด้วยความเสียใจและผิดหวัง อีกทั้งเอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ท่านดูนางตบข้าเช่นนี้หรือ?"หยวนหย่งอี้ไม่เปิดโอกาสให้อ๋องฉีเอ่ยปาก ทั้งร่างราวประทัดที่ถูกจุดไฟ นางพูดอย่างโมโหว่า "แล้วอย่างไร? หน้าเจ้ามันดูสูงส่งมีราคามากขนาดนั้นหรือ? เจ้าสามารถตีข้าได้ แต่ข้าตีเจ้าไม่ได้รึไง? มีสิทธิ์อะไรที่ทุกคนจะต้องยอมเจ้า? เขาชอบเจ้า และยอมทำตามที่เจ้าบอก ก็สมควรแล้วที่ถูกเจ้าทุบตี ยอมเจ้าไปตลอดชีวิตมันก็สมควรแล้ว แต่ไม่ใช่กับข้าคนนี้ เจ้าเป็นคนอย่างไร ข้ามองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทะเยอทะยานสูงเสียดฟ้า แต่ทำตัวบอบบางราวกับกระดาษ ความคับข้องใจแค่นี้ยังทนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ช่างทะเยอทะยานเสียจริง ไปเรียนรู้จากพระชายาจี้บ้างก็ดี อย่างน้อยนางก็วางแผนการมาหลายปี ทุ่มเทเงินทองและสติปัญญาไปมากมาย ทุกวันนี้อ๋องจี้มีอำนาจมากกว่าครึ่ง ก็ล้วนเป็นผลงานนางที่แย่งชิงมาไว้ทั้งนั้น ส่วนเจ้าทำอะไรบ้าง? ต้องการให้อ๋องฉีไปแย่