เขาปกป้องคนตระกูลฉู่มาโดยตลอด อย่างเช่นครั้งของฮุ่ยติ่งโฮว เขาก็ยังเหลือทางรอดชีวิตให้แก่เขาแต่ครั้งนั้นเอง เมื่อรู้ว่าพฤติกรรมของฮุ่ยติ่งโฮวเป็นอย่างไร เขาตกใจเป็นอย่างมากนี่คือพฤติกรรมของคนตระกูลฉู่หรือ?ใครมอบความกล้าให้พวกเขา? พวกเขาก้าวมาถึงจุดที่กระทำผิดอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไรประเด็นสำคัญที่สุดคือ ครั้งนั้นคนที่ฮุ่ยติ่งโฮวลักพาตัวคือพระชายาฉู่ หลังจากรู้ว่าคน ๆ นั้นคือพระชายาฉู่ แต่เขาไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวนั่นกล่าวได้ว่า พวกเขาไม่ได้เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ในใจของพวกเขาตระกูลฉู่สูงศักดิ์กว่าราชวงศ์แล้วเรื่องในห้องโถงชั้นในวันนี้ สิ่งที่พวกเขาพูดก็แสดงให้เห็นถึงจุดนี้ พวกเขาไม่สนใจการปรากฏตัวของอ๋องฉี และคำพูดขัดขืนดั่งการก่อกบฏเหล่านั้นพูดไม่ผิดจริง ๆตระกูลฉู่ไม่ได้ยโสโอหัง แต่ตระกูลฉู่อยากจะก่อกบฏแย่งชิงราชบังลังก์ในใจทุกคนล้วนมีความมั่นใจเช่นนี้ คิดว่าไม่ใช่ไม่สามารถชิงบังลังก์มาได้ แต่มันอยู่ที่ว่าพวกเขาอยากเอามันมาหรือไม่ต่างหากไท่ซ่างหวงทรงรับสั่งลงมา ตรัสว่าจะลงโทษคนที่ปล่อยข่าวลือออกไปอย่างหนัก ประหารคนในจวนของเขา แต่การเคลื่อนไหวของไท่ซ่างหวงก็คือ
ฮูหยินอาวุโสฟื้นขึ้นหลังได้ยินพระบัญชานั้น ริมฝีปากนางสั่นอยู่สักพัก ดวงตาฝ้าฟางนั้นฉายแววหวาดกลัว “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ตระกูลฉู่ตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?”“ท่านหญิง” หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายนางมานานหลายปีอย่างถงโม่โม่ถอนหายใจ และกล่าวว่า “เกรงว่านายท่านเองก็ไม่ได้ทำผิด หลายปีมานี้ตระกูลฉู่ทำเกินไปมากจริง ๆ”“นี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรได้รับ” ฮูหยินอาวุโสสุงสุดยังไม่ยอมรับความจริง นางกล่าวอย่างเจ็บปวดและสับสนว่า “พวกเราสกุลฉู่ ลูกสาวข้าแต่งงานเข้าวังเป็นถึงฮองเฮา หลานสาวข้าก็แต่งงานเข้าวังเป็นฮองเฮา ตอนนี้พวกเราตระกูลฉู่เป็นครอบครัวที่ทรงอำนาจอันดับหนึ่งของเป่ยถัง ไทเฮาสกุลซูยังไม่คู่ควรสวมรองเท้าให้พวกเราด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้ ไท่ซางหวงเพื่อผู้พิทักษ์แผ่นดินที่ตายไปแล้ว เพื่อนางบ่าวแพศยาผู้นั้น ถึงกับต้องสั่งประหารฮูหยินฉู่ของเรา? ข้าไม่เข้าใจ ข้ารับไม่ได้ เจ้า...เจ้ารีบมาประคองข้าออกไป ข้าจะเข้าวัง ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง”“ท่านหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ เรื่องมาถึงจุดจบแล้ว ฮูหยินใหญ่ก็ได้ถูกประหารไปแล้ว พวกเรากลับอารามชีเยว่เหมยเถอะเจ้าค่ะ” ถงโม่โม่
หยวนชิงหลิงย่อตัวทำความเคารพ เป็นการทักทายมหาเสนาบดีฉู่ที่มาขอเข้าเยี่ยมมหาเสนาบดีฉู่เดินเข้าไปและปิดประตูนางข้าหลวงสี่ที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นเส้นผมของเขาเป็นสีขาวโพล่นก็รู้สึกตกตะลึง และรู้สึกปวดใจเล็กน้อย “ท่าน...”เขารีบเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง นั่งมองนางเงียบ ๆเขายิ้มและยื่นมือออกไปลูบผมนาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า “เห็นเจ้านั่งอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่เลวเลยจริง ๆ”นางข้าหลวงสี่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่ไม่เลวจริง ๆ”“ข้ากับเจ้าล้วนแก่ชราแล้ว มีชีวิตได้อีกไม่นาน ไม่ควรเสียเวลา” เขาพูดและหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และวางไว้ตรงหน้านางนางข้าหลวงสี่มองดูอย่างตั้งใจ นั่นก็คือกระเป๋าเงินปักลายที่ขึ้นราแล้วนางก็หัวเราะออกมา “ท่านยังเก็บไว้อีกหรือ?””ใช่แล้ว ด้ายรุ่ยไปบ้าง ล้างฆ่าเชื้อราแล้ว แต่ก็ล้างไม่ออก แต่สิ่งนี้ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัยนั้นเป็นสิ่งที่มีค่า จึงต้องเก็บมันไว้ข้างกาย คิดดูแล้ว วันหลังข้าก็จะเอามันโลงไปเป็นของติดตัวไปโลกหน้าของข้า” เขาเขย่ามันเบา ๆ และเก็บกลับลงไปในแขนเสื้อนางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว “เอาไปเป็นของติดตัวไปโลก
ทางด้านตระกูลฉู่เองที่ยังคงต้องมีเรื่องให้ตื่นตะลึงอยู่อย่างต่อเนื่องฮูหยินเฒ่ายอมไปที่อารามชีเยว่เหม่ย แต่ฮูหยินอาวุโสนั้นกลับไม่ยอมกลับไปนางเห็นตระกูลฉู่ถูกจัดการแบบนี้ ความโกรธก็พุ่งถึงขีดสุด นางโกรธมาก ที่จวนนี้นางทรงอำนาจมาตลอด นางไม่ยอมถูกยึดอำนาจง่ายดายเช่นนี้ด้วยเหตุนี้ นางจึงเรียกเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉู่มายังตระกูลฉู่ เพื่อตัดสินพิจารณามหาเสนาบดีฉู่พร้อมกันทุกคนในตระกูลฉู่ล้วนเคารพยกย่องฮูหยินอาวุโสสูงสุดตั้งแต่สมัยนางยังเยาว์วัยจนถึงวัยชรา นางสามารถจัดการเรื่องภายในครอบครัวได้ราวกับอยู่กำมือนาง ทุกครั้งที่คนในครอบครัวเกิดเรื่อง ล้วนเป็นนางที่ออกหน้าและจัดการให้เรียบร้อยจึงกล่าวได้ว่า ภายในเมืองหลวง แม้กระทั้งองค์หญิงใหญ่ก็ไม่อาจเทียบรัศมีนางได้นางเห็นแก่พวกพ้องของตนเองตราบใดที่เป็นคนตระกูลฉู่ ไม่สนว่านางจะเป็นสายหลักหรือสายรองหรือไม่ นางล้วนต้องปกป้องไม่สนว่าตระกูลฉู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางล้วนแบกรับได้ทั้งสิ้นหลายปีก่อนหน้า นางมีหลานชายไม่ได้ความคนหนึ่ง ไปทุบตีคนข้างนอกจนตาย ผู้คนจะไปที่สำนักผู้ตรวจการเพื่อไปฟ้องร้องเขา นางออกหน้ามาหยุดยั้ง ไม่เพียงไม่ต้องจ
เขามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะเข้ามาก็ได้ยินข้างในด่าประณามอย่างร้อนแรง แต่ตอนนี้เขานั่งลงที่นี่ กลับไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรสักคำมหาเสนาบดีฉู่มองไปทางฮูหยินอาวุโสสูงสุด “ท่านแม่ทำได้ดีเลยทีเดียว ท่านเชิญทุกคนเข้ามาเช่นนี้ ประหยัดเวลาข้าสั่งคนไปป่าวประกาศให้รับรู้ พอดีข้าเองก็มีเรื่องอยากพูดต่อหน้าทุกคนเช่นกัน”ฮูหยินอาวุโสที่ยังโกรธอยู่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเห็นท่าว่าจะไม่ดี จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป ที่นี่มีคนอาวุโสกว่าเจ้ามากนัก เจ้าควรฟังที่พวกเขาพูดก่อน”มหาเสนาบดีฉู่กอดอกเอามือไว้ในแขนเสื้อของตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา และกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าพูดเพียงไม่กี่ประโยค วันนี้ทุกคนไม่แบ่งแยกความอาวุโส อย่างไรเสีย ที่นั่งอยู่จะบอกว่าแก่กว่าข้า คงไม่ผมขาวมากกว่าข้าสักเท่าไหร่ มองแค่ครู่เดียวก็รู้ว่าใครสบาย ใครทำงานหนัก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกหลานสกุลฉู่ทั้งหมดมีหน้าที่รับใช้ราชวงศ์ ต้องปฏิบัติตนเหมือนขุนนางข้าราชบริพานคนอื่น ๆ ต้องยอมรับการสอบประเมินผล หากสอบไม่ผ่านต้องถูกคัดออก ไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น”ทันทีที่พูดออกไป ทุกคน
วันนี้นางแต่งตัวเต็มยศเป็นพิเศษ นางสวมชุดผ้าไหมลายเมฆาปักลายร้อยค้างคาวด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง บนคอสวมสร้อยประคำไข่มุก สร้อยประคำไข่มุกเส้นนี้ เม็ดไข่มุกทั้งใหญ่และกลมมนกว่าไทเฮาในวังเสียอีก ตำแหน่งฮูหยินอาวุโสของนางยิ่งใหญ่แทบไม่ต่างกับไทเฮาซูซื่อชาด้วยซ้ำท่านั่งของนางยังคงสง่างามและสูงส่งเช่นวันวาน เอวยืดตรง ไหล่ผึ่งผาย ลำคอตั้งระหงส์ สองมือวางอยู่บนที่วางแขน ท่าทางสง่างามที่มองแสงจันทร์พร่ามัวนอกประตูด้วยสายตาเลื่อนลอยมือของมหาเสนาบดีฉู่ซุกอยู่ในแขนเสื้อ เหมือนกับตาแก่ที่นั่งยอง ๆ อยู่บนถนน จ้องมองมองคนในตลาดเล่นหมากรุก แผ่นหลังของเขางองุ้มเล็กน้อย ไหล่ห่อลง หางคิ้วลดลงต่ำ แต่แววตาคมกริบเป็นประกาย และจ้องมองออกไปข้างนอก แต่แววตาที่จ้องมองตรงไปนั้น ไม่ว่าข้างนอกจะมีภูติผีปีศาจอะไร ล้วนไม่มีทางหลบซ่อนจากสายตานั้นไปได้“ทำไมเจ้าทำกับแม่ของเจ้าเช่นนี้? ข้าเลี้ยงดูเจ้า ผลักดันให้เจ้าประสบความสำเร็จ ทำไมเจ้าถึงอกตัญญูเช่นนี้?”สุดท้ายก็เป็นฮูหยินอาวุโสที่เริ่มพูดขึ้นมาก่อน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปความโกรธแค้น“อกตัญญู?” มหาเสนาบดีฉู่หันไปมองนาง “หลายปีมานี้ ลูกยังกตัญญูไม่พออีกหรือ? ท่าน
"เจ้ามันคนไร้หัวใจ!" ฮูหยินผู้เฒ่าร้องตะโกนด้วยความโศกเศร้า ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นสั่นระริกไปหมด นางรู้สึกโมโหเดือดดาลจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้นมหาเสนาบดีฉู่ก้าวเดินจากไปท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งรุ่งเช้าวันถัดมา ท้องฟ้าเริ่มจะสว่าง ก็มีคนมาเก็บของให้นาง และจัดเตรียมรถม้าเอาไว้เรียบร้อย พร้อมที่จะส่งนางกลับไปยังอารามชีเย่วเหมยฮูหยินอาวุโสสูงสุดถูกแม่นมถงประคองไว้ แล้วจึงค่อยเดินออกไปทีละก้าวอย่างช้า ๆนางยังคงสวมชุดของเมื่อคืนวาน นางเป็นท่านหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางก็เหี่ยวแห้งสิ้นหวัง แม้แต่แรงจะก้าวเดินก็ไม่มั่นคงแล้วริมฝีปากของนางยังคงก่นด่าสาปแช่งออกมาไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่หน้าประตู นางเห็นลูกชายอกตัญญูผู้นั้นความคับแค้นทั้งหมดในใจของนางกลายเป็นพลัง นางยกมือฟาดลงไปบนใบหน้าเขา และเอ่ยด้วยความโมโหว่า "ข้าจะรอดูว่าเมื่อเจ้าตายไปแล้ว จะมีหน้าอะไรไปพบเหล่าบรรพชน" มหาเสนาบดีฉู่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป ทำเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา "ในฐานะที่เป็นบุตรชาย ให้ท่านแม่ได้รับเกียรติและเสพสุขมาทั้งชีวิตแล้ว เหตุใดข้าจึงจะไม่มีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษเล่า?
ณ จวนอ๋องฉีอ๋องฉีไม่ได้กลับจวนมาสองวันแล้วฉู่หมิงชุ่ยก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องไห้ให้กับมารดาของนาง ร้องไห้ให้กับความใจจืดใจดำของอ๋องฉี ร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตตัวเองที่ทำผิดพลาดไปมากมายความคับแค้นใจทั้งหลายที่อัดอั้นอยู่ในใจ กำลังจะปะทุออกมาในตอนนี้ในที่สุดเมื่ออ๋องฉีกลับมา นางจึงพุ่งออกไปขวางทางอ๋องฉีเอาไว้นางร้องไห้จนตาบวมแดงจนแทบมองอะไรไม่เห็น สำหรับนางแล้ว หลายวันมานี้รู้สึกมืดฟ้ามัวดิน ในยามนางต้องการเขา เขาก็กลับหายไปแบบนี้ความคับแค้นใจนี้ เมื่อนางเห็นอ๋องฉียืนอยู่ตรงหน้ามองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำให้ในใจของนางที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นจนไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เป็นคำพูดได้ นางจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้ว นางได้ใช้แรงทั้งหมดตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด แล้วกล่าวด้วยความโกรธและเสียใจว่า "เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้?"อ๋องฉีจ้องมองใบหน้าของนางที่แทบไม่เหลือเค้าความงดงามใด ๆ ราวกับว่าความอัปลักษณ์เลวทรามทั้งหลายที่เก็บซ่อนเอาไว้ ไม่อาจเก็บซ่อนมันได้อีกต่อไปในชั่วพริบตานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าอยากจะตบนางกลับไปสักทีแต่ว่าเขาไม่อาจจะตบตีสตรี หรือตบตีคนที่เขาเคยรักได้ดังนั
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม