ส่วนลึกภายในใจของหยวนชิงหลิงโต้แย้งอย่างอ่อนแรง ไม่ เจ้าเป็นลิง เจ้าจะมาเข้าใจอะไร? วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันกับพุทธศาสนา"ความหมายของท่านก็คือ พระพุทธเจ้าที่ท่านเลื่อมใสศรัทธานั่นล้วนมีสมองที่พัฒนากว่าผู้อื่นจึง มีพละกำลังที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้า แต่ข้าไม่เห็นด้วย ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านในจุดนี้" หยวนชิงหลิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยไต้ซือยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "กล่องยานี่ไม่ใช่อาตมาที่เป็นผู้ควบคุม แต่เป็นพระชายา ท่านเป็นผู้ที่ควบคุมมันโดยตรง เพียงแต่ท่านไม่ได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ถึงกล่าวว่าเป็นท่านที่จงใจยับยั้งพลังสมองของท่านที่มอบให้ตัวเอง"หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า "ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าน ท่านกล่าวความจริงของพระพุทธศาสนาเถอะ เช่นนี้ทุกคนจะได้สงบจิตสงบใจได้" "ท่านทำราวกับว่าอาตมานั้นกล่าววาจาเหลวไหล แต่ในสักวันหนึ่งพระชายาจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง" ไต้ซือกล่าวหยวนชิงหลิงลุกขึ้นยื่นอย่างรวดเร็ว สถานที่นี้ไม่อาจจะรั้งรออยู่ได้นาน เพราะยิ่งอยู่นานยิ่งทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดเธอยอมเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าดีกว่าที่จะเชื่อคำพ
ชั่วพริบตาเดียวที่เธอกำลังดึงประตู แล้วหันกลับไปมองก็เห็นแค่เพียงโต๊ะเก้าอี้ที่เคยล้มระเนระนาด แต่ละตัวอยู่ในตำแหน่งของมันราวกับว่าไม่เคยล้มมาก่อน"ท่านผู้อาวุโส ท่านเดินทางปลอดภัย!" ไต้ซือกล่าวด้วยสีหน้าเมตตากรุณาขณะนี้หยวนชิงหลิงหน้ากลายเป็นสีดำจนแทบจะล้มลง ในสายตาของไต้ซือ นางก็เหมือนคนหัวโบราณที่อายุสามร้อยกว่าปี การที่ถูกเรียกว่าท่านผู้อาวุโสนั้น เกินกว่าเธอจะทนได้ไม่ง่ายเลยที่จะประคองตัวเองไปที่ประตู แล้วออกเดินออกไปช้า ๆ รู้สึกว่าตัวเองหายใจได้ยากลำบาก อีกมือหนึ่งยึดจับลำคอของอวี่เหวินห่าวไว้ แล้วกัดฟันพูด "เราไปกันเถอะ!"อวี่เหวินห่าวตกใจไปชั่วขณะ แล้วรีบเข้าไปประคองนางทันที "ทำไมสีหน้าถึงดูย่ำแย่ขนาดนี้? ขับไล่สิ่งชั่วร้ายแล้วรึ? ผีออกไปแล้วหรือ?" หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วตั่วสั่น จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา "ท่าน...ท่านคิดว่าผีเข้าข้ารึ?"อวี่เหวินห่าวประคองนางไว้ เมื่อเห็นชัดว่านางดูเหมือนจะไม่สบายก็เริ่มร้อนรนแล้ว "เกิดอะไรขึ้น? ไต้ซือกล่าวอะไรกับเจ้า?"เสียงของไต้ซือก็ดังขึ้นทางด้านหลังของหยวนชิงหลิงทันที "อาตมาเชิญท่านอ๋องและท่านค้างที่อารามสักคืน"หยวนชิงหลิงตกใจจนห
อวี่เหวินห่าวเห็นสีหน้าของนางซีดขาวอีกครั้ง จึงเชื่อนางแล้วกุมมือของนางไว้แล้วเอ่ยว่า "ไม่ต้องกลัว ก็แค่เรื่องผีเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องจริงเจ้าพักผ่อนสักหน่อย อีกสักครู่ค่อยกินอาหารที่ตักบาตรที่อารามฮู่กั๋วอาหารตักบาตรนั้นดี ในยามปกตินั้นกินไม่ได้หายากมากเจ้าต้องกินสักหน่อย"หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย จึงกินไปแค่สองสามคำก็กล่าวว่าง่วง และต้องการนอนแล้ว ให้อวี่เหวินห่าวไปพูดคุยกับไต้ซือแทนเธอไม่ได้กังวลใจแม้แต่น้อยว่าไต้ซือจะบอกเรื่องเล่าในวันนี้กับอวี่เหวินห่าว ถ้าเกิดกล่าวเรื่องนี้ออกมาอวี่เหวินห่าวจะต้องเสียสติเป็นแน่ และท่านไต้ซือจะไม่ทำแบบนั้นกับอวี่เหวินห่าวหลังจากที่อวี่เหวินห่าวออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็นำกล่องยาออกมา กล่องยาในวันนี้นั้นขนาดใหญ่แตกต่างกับก่อนที่จะมาที่อารามฮู่กั๋วถึงแม้ว่าเธอจะบอกไม่ได้ว่าคิดถึงยาอะไรอยู่ในใจแล้วยานั้นจะปรากฏออกมา แต่ว่าเมื่อเธอเน้นความรู้สึกเป็นพิเศษยที่เธอต้องการก็จะปรากฏออกมากล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ท่านไต้ซือกล่าวว่ากล่องยานี้ถูกควบคุมโดยความคิดของเธอ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ จิตใต้สำนึกที่แท้จริ
หยวนชิงหลิงพยักหน้า "ใช่อย่างที่เจ้าคิด แล้วถ้าเจ้าเป็นข้า เจ้าจะช่วยพระชายาจี้หรือไม่?"อาซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย "ช่วยเพคะ!"หยวนชิงหลิงประหลาดใจ "เพราะอะไร?"อาซื่อแสยะปากยิ้ม "ถ้าพระชายาจี้ตายแล้ว เยี่ยงนี้ฉู่หมิงหยางก็จะได้เป็นพระชายาเอก เมื่อเทียบกับพระชายาจี้แล้ว ข้าไม่ชอบฉู่หมิงหยางมากกว่าเพคะ""ข้าก็ไม่ชอบฉู่หมิงหยาง แต่ว่าฉู่หมิงหยางไม่เคยคุกคามชีวิตข้าโดยตรงเหมือนพระชายาจี้"ดังนั้นการเลือกนี้ควรจะเลือกตามความชอบรึ?"หลังจากนี้ ถ้าฉู่หมิงหยางได้เป็นแทนพระชายาจี้ นางก็จะทำเรื่องเช่นเดียวกับที่พระชายาจี้ทำในตอนนี้ได้ อีกทั้งนางก็จะยิ่งไม่เกรงกลัวอะไรอีก แผนการพระชายาจี้ลึกล้ำ ถึงแม้ว่าจะน่าหวาดกลัวเหมือนกับงูพิษ แต่กับฉู่หมิงหยางที่บ้าคลั่งราวกับหมาป่า แล้วถ้าหมาป่าได้กัดสักครั้ง นั่นก็หมายถึงชีวิต แต่ถ้างูพิษเรายังสามารถที่จะถอนพิษได้เพคะ"หยวนชิงหลิงพยักหน้า ความจริงเธอเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าพระชายาจี้จะไม่ได้ดีไปกว่าฉู่หมิงหยาง แต่ว่าฉู่หมิงหยางจะต้องอำมหิตกว่านี้แน่นอนบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลของจิตสำนึกที่เธอต้องการช่วยพระชายาจี้โดยที่ไม่รู้ตัว
อวี่เหวินห่าวพยักหน้าเล็กน้อย "ไต้ซือมีความคิดและสายตาเฉียบแหลมนัก ความจริงข้าคิดว่านางมีเรื่องราวมากมายที่ปิดบังข้าอยู่""วันนี้พระชายาได้พูดคุยกับอาตมาคร่าว ๆ แล้วเล็กน้อย เป็นเพียงแค่เรื่องราวการรักษาอาการป่วยให้พระชายาจี้" ท่านไต้ซือกล่าว"ในจุดนี้พวกเรามีความคิดเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไปรักษาอาการป่วยพระชายาจี้อย่างแน่นอน ไต้ซือ ตอนที่พี่ใหญ่อยู่กับท่านที่นี่ เขาเป็นคนแบบไหนกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจที่จะปิดบังได้ ถ้าเป็นหมาป่าล่ะ หมาป่าจะนึกถึงผู้ที่เคยช่วยเหลือเขาหรือไม่? ไม่ เพราะผู้ที่ช่วยเขาก็จะถูกกลืนกินจนอิ่มท้อง"ท่านไต้ซือยิ้มน้อย ๆ "ท่านอ๋อง ความกังวลใจของท่านก็ไม่ถึงกับไร้เหตุผลนัก แต่ว่าการที่ไล่สุนัขให้เข้าไปจนสุดตรอก ก็จะทำให้มันต่อต้านอย่างสุดกำลัง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมาป่าที่เกลียดชัง""แต่ข้าไม่ได้เป็นคนไล่ให้พวกเขาเข้าไป" อวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างไม่ปิดบังท่านไต้ซือเอ่ยต่อ "ถูกต้อง ไม่ใช่ท่าน แต่นางรู้ว่าพระชายามีวิธีช่วยเหลือนาง แต่พระชายากลับเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดาย หมาป่าที่น่าเกลียดชังตัวนี้จะไม่แว้งกัดเอาบ้างหรือ?""ตามที่ท่านกล่าว ช่วยนางก็ก
วันรุ่งขึ้นเมื่ออวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงออกเดินทางก็ไม่ได้ลงเขาโดยตรง แต่ทำตามคำสั่งของไต้ซือ พวกเขาไปถึงอารามเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบหลังภูเขาไม่นานก็มองเห็นว่ามีรถม้าทยอยเข้ามา รถม้าหยุดลงที่พื้นที่ราบหลังภูเขา และมีคนผู้หนึ่งลงจากรถม้าแล้วเข้าไปข้างในซูยี่ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น "ใต้เท้าหลี่? ใต้เท้าอู๋? ท่านแม่ทัพซุน? จวิ้นอ๋องเฉา?"อวี่เหวินห่าวเห็นสีหน้าก็มืดครึ้มลงเพราะทุกคนล้วนรู้ว่าพี่ใหญ่ถูกท่านพ่อกักบริเวณให้อยู่ที่นี่ และได้มีราชโองการไม่อนุญาตให้ผู้ใดเขาเยี่ยมแต่พวกเขากลับไม่สนใจในราชโองการแล้วมาที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการเยี่ยมเยียนธรรมดาเป็นแน่ท่านอาจารย์ฮุ่ยมาส่งถึงที่นี่แล้วเอ่ย "ท่านอ๋อง ใต้เท้าเหล่านี้ล้วนมากันทุกวัน เข้ามาทางภูเขาด้านหลังเพื่อมาปรึกษาหารือกับอ๋องจี้"อวี่เหวินห่าวพยักหน้า "ข้ารู้แล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์มากที่บอกกล่าว โปรดบอกท่านไต้ซือด้วยว่าข้าขอตัวก่อน"ท่านอาจารย์ฮุ่ยพนมมือทั้งสองขึ้น "ท่านอ๋อง พระชายาเดินทางปลอดภัย"รถม้าค่อย ๆ ลงจากภูเขา แม้ว่าจะเป็นถนนบนภูเขา แต่เนื่องจากเป็นอารามหลวงถนนจึงไม่ได้ขรุขระอวี่เหวินห่าวน
"จริงจังมาก!""แต่ข้าเคยถามท่าน แต่ท่านบอกว่าสิ่งที่ต้องจ่ายมันมากเกินไปไม่คุ้มค่า" หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าเพราะอะไรแค่ในช่วงเวลาสั่น ๆ เขาถึงเปลี่ยนความคิด ทั้งที่ก่อนหน้าก็ไม่ได้สัญญาณอะไรเลยอวี่เหวินห่าวเอ่ย "ถูกต้อง เดิมทีข้ากล่าวเช่นนี้ แต่ความจริงในตอนนี้ ข้าก็ยังคิดเช่นนี้ว่าการแย่งชิงนั้นมีสิ่งที่ต้องเสียมากเกินไป แค่เพื่อตำแหน่งเช่นนั้นมันไม่คุ้มค่า""แล้วเช่นนั้นทำไมท่านถึงเปลี่ยนใจล่ะ?" หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ อวี่เหวินห่าวมองนาง ในดวงตาของเขาหม่นหมอง "เพราะว่ามันไม่ใช่ปัญหาว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า เดิมทีข้าคิดว่าเสด็จพ่อนั้นยังหนุ่มแน่น ถึงจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทจริง ๆ แต่ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นก็ไม่ได้จะมั่นคงนัก แต่กลับเป็นการก่อให้เกิดหายนะ ก่อนหน้านี้ข้าตัวคนเดียวจึงไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้มีเจ้าแล้วข้าไม่สามารถที่จะเสี่ยงอันตรายได้ นี่เป็นความคิดของข้าก่อนที่จะมาอารามฮู่กั๋ว แต่ว่าเมื่อคืนตัวข้าคิดเรื่องนี้ทั้งคืน แต่ก่อนนี้ข้าทุ่มเทชีวิตสร้างคุณงามความดีอยู่ในสนามรบ หรือว่าข้าจะไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่ว่าในมือข้าจะไม่มีผู้ติดตาม หลายปีมานี้ข้าอยู่ใน
อาซื่อไปถึงจวนอ๋องจี้จวนอ๋องจี้กำลังจัดเตรียมงานแต่งของพระชายารอง ภายในจวนสมบูรณ์แบบไม่มีบรรยากาศของนายหญิงที่กำลังป่วยหนัก และอ๋องจี้ที่อยู่ที่อารามฮู่กั๋วมีรับสั่งให้กลับมา นี่เป็นเรื่องมงคลจำเป็นที่จะต้องยิ่งใหญ่ ครึกครื้นและหรูหรา ดังนั้นพ่อบ้านผู้ดูแลภายในจวนจึงจัดเตรียมอย่างสุดกำลังไม่ให้ตกหล่น กลับกันทางด้านพระชายาเอกที่กำลังป่วยหนักลานบ้านกลับเงียบเหงา อาซื่อทำตามคำสั่งของหยวนชิงหลิง นางสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าไปพบพระชายาจี้พระชายาจี้ไล่คนรับใช้ซ้ายขวาออกไปก่อนจะเอนกายลงบนเก้าอี้ แล้วยกเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมองอาซื่อ "มีเรื่องอะไรเจ้าก็เอ่ยออกมาได้เลย""พระชายาให้ข้ามาบอกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้นางจะเริ่มกลั่นยา แต่ว่าไม่รู้ว่อาการป่วยของพระชายาจี้นั้นร้ายแรงขนาดไหนจึง เชิญพระชายาจี้ให้ไปที่จวนอ๋องฉู่ในวันพรุ่งนี้เพคะ" อาซื่อกล่าวพระชายาจี้ยิ้มเยาะ "จริงหรือ? นางกลัวแล้วรึ? หรือเห็นด้วยกับเงื่อนไขข้าแล้ว?"อาซื่อกล่าวอย่างเย็นชา "พระชายายังมีอีกประโยคหนึ่งที่ฝากมาบอกกล่าวนั้นก็คือ ถ้าพระชายาจี้ยังต้องการมีชีวิตอยู่ก็ให้แยกแยะให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้ควบคุมและใครเป็นผู้ตาม
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม