แต่นางสามารถปรับตัวให้ยืดหยุ่นได้ความจริงคนเช่นนี้น่ากลัวกว่า แม้จะเป็นคนที่ได้รับความอัปยศก็ไม่ได้มีอะไรที่จะต่อต้านหยวนชิงหลิงกล่าวต่อ "แม้ว่าคําพูดเหล่านี้จะดูมากเกินไป แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกไว้ก่อนว่าโรคของท่านไม่สามารถหายเป็นปกติได้ในระยะเวลาเพียงสามเค่อ และท่านก็อย่าได้คิดว่าข้าจงใจถ่วงเวลาอาการป่วยของท่าน ในเมื่อข้าตัดสินใจรักษาท่านแล้ว ข้าก็ไม่จําเป็นต้องถ่วงเวลาท่าน”พระชายาจี้พยักหน้าด้วยนัยน์ตาแข็งทื่อ "ข้ารู้"หยวนชิงหลิงเอาหน้ากากอนามัยให้อาซื่อแล้วกล่าวว่า "ให้พระชายาจี้สวม"อาซื่อรับมา แล้วจากนั้นก็นำไปส่งให้พระชายาจี้ "โปรดสวมเพคะ!"พระชายาจี้ถือเอาไว้ในมือ ผ้าปิดปากนี่เธอรู้สึกแปลกใจมากมาตลอดมันใช้อะไรทำขึ้น เมื่อก่อนนี้นางเคยเห็นอ๋องหวยใช้มาก่อนสวมเรียบร้อยแล้วรู้สึกว่าหายใจได้ปลอดโปร่งมากกว่าของที่นางสั่งให้คนในจวนทำให้หยวนชิงหลิงเดินเข้ามา นางจึงยื่นมือออกไปให้เพื่อตรวจชีพจรหยวนชิงหลิงกลับใช้หูฟังแพทย์ที่แขวนอยู่ที่คอฟังที่ส่วนปอดของนาง หลังจากนั้นก็สอบถามอย่างละเอียดหลังจากที่ถามจบ หยวนชิงหลิงก็ฟังชีพจรและเสียงหัวใจเต้นอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้า
น้ำในจวนอ๋องจี้นั้นลึกมาก และพระชายารองทั้งสองคนก็ล้วนแต่เสียชีวิตไปแล้วอ๋องจี้และภรรยาก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูแล้วเหมือนจะบิดเป็นเกลียวจนเหมือนเชือกเส้นหนึ่ง แต่ว่าพอพลิกกลับอีกด้านความจริงแล้วนั้น ต่างฝ่ายต่างก็แยกตัวเป็นอิสระทำงานของตัวเองเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาถึงในตอนเย็น หยวนชิงหลิงก็บอกเรื่องนี้กับเขาอวี่เหวินห่าวเอ่ยเบา ๆ ว่า "ไม่แปลกนะ ถ้าพระชายาจี้ป่วยตาย ทางด้านตระกูลถงก็จะไม่สงสัยเขาและจะต้องสนับสนุนเขาต่อไปอย่างแน่นอน" "อ๋องจี้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานี" หยวนชิงหลิงกล่าว"ทั้งสามีภรรยาล้วนเหมือนกัน เขาทั้งคู่มีความทะเยอทะยาน" อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสม "จริงสิ ท่าทางของนางเป็นอย่างไร? ”หยวนชิงหลิงเอ่ยว่า "แม้คำพูดของข้าจะไม่ได้ทำให้อับอายขายหน้า แต่ว่าคำพูดที่อาซื่อเอ่ยกับนางนั้นโอหังอย่างมาก แต่นางกลับอดกลั้นไว้ได้ และแม้กระทั่งท่าทางก็กล่าวได้ว่าต่ำต้อยนัก""นางรู้สถานการณ์" อวี่เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง "พรุ่งนี้เมื่อนางมา ให้เจ้ากล่าวกับนางสักหน่อยว่าคดีเมืองถิงเจียงข้าจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้นางและจะตัดสินโม่เหวินก่อน แต่
วันนี้เมื่อมาถึงจวนอ๋องหวย หลู่เฟยก็มาขวางนางไว้ "เจ้ารักษาอาการป่วยของพระชายาจี้รึ?"หยวนชิงหลิงพยักหน้าเบา ๆ "ใช่เพคะ"หลู่เฟยโกรธเป็นอย่างมาก "เพราะอะไร? นางเคยทำร้ายเจ้า?"หยวนชิงหลิงจนปัญญาที่จะอธิบายหลู่เฟยเอ่ยด้วยความคับแค้น "ข้ายังคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเจ้าก็รู้ความใน เมื่อวันนี้เจ้าช่วยเหลือนางวันหน้าเจ้าก็รอถูกนางกัดกินเถอะ"กล่าวจบก็หมุนกายจากไปอย่างเย็นชาหยวนชิงหลิงกลับมาถึงจวนพระชายาซุนก็มาแล้วพระชายาซุนไม่ได้ซักถามโดยตรงนาง เพียงแค่เอ่ยเรียบ ๆ ว่า "พระชายาจี้คนนี้เจ้าต้องระวังตัวหน่อย"หยวนชิงหลิงรู้ว่านางเองก็จงเกลียดจงชังพระชายาจี้ แต่การเอ่ยปลอบใจในครั้งนี้เกิดจากความปรารถนาดี จึงเอ่ยอธิบาย "สำหรับเสด็จแม่หลู่มีบางคําที่ข้าไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ แต่สำหรับพี่สะใภ้รองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง การรักษาให้นางนั้นข้าพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าถ้าหากนางตาย ก็จะเป็นการส่งเสริมบุตรสาวทั้งสองคนของตระกูลฉู่ ถึงแม้ข้าจะจงเกลียดจงชังพระชายาจี้ แต่ข้าจงเกลียดจงชังบุตรสาวสกุลฉู่มากกว่า”พระชายาซุนพยักหน้า "เจ้าไม่พูดข้าก็พอจะคาดเดาได้ เพราะคนที่สตรีเกลียดมากที่สุดก็คือหญิงส
ตอนนี้หยวนชิงหลิงไม่มีกะจิตกะใจจะซุบซิบนินทาเรื่องในจวนอ๋องฉีก่อนหน้านี้พระชายาฉีเคยก่อเรื่องขึ้น อาซื่อกลับมาบอกนางจากนั้นพอได้ฟังนางก็รู้สึกเบื่อเป็นอย่างมากตั้งแต่เริ่มแรกเธอประเมินฉู่หมิงชุ่ยคนนี้ไว้สูง เดิมทีคิดว่านางมีความทะเยอทะยานและศักยภาพที่เหมาะสม แต่คิดไม่ถึงว่าสมองของนางจะไม่ไปพร้อมกับความทะเยอทะยานของนาง สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในวังวนการต่อสู้กับพระชายารอง"เพียงแต่ได้ยินมาว่าเจ้าเจ็ดและพระชายารองหยวนยังไม่ได้ร่วมห้องหอกัน" พระชายาซุนกล่าวหยวนชิงหลิงเปลี่ยนประเด็นและพูดคุยเรื่องราวในวังหลวงแทน หลังจากนั้นพระชายาซุนก็กล่าวลาแล้วเรื่องที่พูดคุยกับพระชายาซุนในวันนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยนั้นก็คือเรื่องที่ฉู่หมิงหยางชอบอวี่เหวินห่าวดังนั้นในตอนเย็นเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาร่วมทานมื้อค่ำ เธอจึงเอ่ยถาม "ฉู่หมิงหยางชอบเจ้าหรือไม่?"อวี่เหวินห่าวค่อย ๆ วางชามข้าวลง แล้วเงยหน้ามองนาง "เจ้าไปฟังเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มาจากไหนกัน?"หยวนชิงหลิงมองเขา "แสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ก็ไม่อาจจะปิดบังความยุ่งเหยิงภายในใจท่านได้หรอก ท่านก็รู้""ไม่รู้ และเรื่องนี้ก็เป
ผู้หญิงมากมายคำนึงถึงผู้ชายของตัวเอง นี่เป็นรสชาติของชีวิตที่ไม่ค่อยน่าสบายใจนักอวี่เหวินห่าวกระพริบนัยน์ตาดอกท้ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างคนไม่มีความผิด "ความจริงเจ้ามีอะไรมาโมโหข้า? ถึงอย่างไรข้าก็ล้วนไม่ได้เหลียวแลพวกนาง และเจ้าควรจะดีใจที่มีคนมากมายมาชอบข้า เพราะมันได้พิสูจน์ว่าข้านั้นมีค่าสูงส่ง แต่ถึงจะไม่ดีใจก็ไม่สามารถโกรธข้าได้อย่างเต็มที่ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้า อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ไปบอกให้พวกนางมาชอบข้าด้วย""ข้าโกรธที่ท่านไม่บอกข้า" หยวนชิงหลิงกด ๆ มือ "ช่างเถอะ ช่างเถอะ ท่านไม่ต้องมาทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างไรเสียนางก็ต้องแต่งเป็นพระชายารองให้อ๋องจี้แล้วเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา "มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ต้องการให้พระชายาจี้เป็นฉากกําบังให้ข้า เพราะเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉู่หมิงหยางคิดอย่างไรกับเจ้า..." เมื่อหยวนชิงหลิงเอ่ยมาถึงตรงนี้พลันก็ปรากฏความเย็นเยียบแวบหนึ่งขึ้นทันที "ช่วงนี้พวกเจ้าเคยพบหน้ากันบ้างหรือไม่? ได้พูดคุยกันหรือไม่? เคยส่งจดหมายน้อยให้กันและกันบ้างหรือไม่?"อวี่เหวินห่าวยิ้ม "เจ้าคิดไปถึงไหนกัน? นางจะส่งจดหมายน้อยให้กันได้อย่าง
อาซื่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม "ซูยี่ ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือ?”"จริงแท้แน่นอน" ซูยี่แทบจะสาบานแล้ว"คำพูดเหล่านี้เจ้าไม่สามารถที่จะเอ่ยได้ตามใจได้ เมื่อวานเจ้าเห็นท่านอ๋องโกรธมากหรือไม่?" อาซื่อเอ่ยถาม"ไม่มี ท่านอ๋องไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย สรุปแล้วมองดูไม่เหมือนโกรธ ดังนั้นข้าน้อยจึงรู้สึกแปลกใจ เมื่อวานกลับมาก็คิดที่จะทูลพระชายาแล้ว แต่ว่าเมื่อพบใต้เท้าถังแล้วพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง ใต้เท้าถังบอกว่าไม่สามารถที่จะทูลพระชายาได้ ข้าจึงไม่กล้าที่จะที่จะทูลพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ วันนี้พระชายาซุนมาแล้วกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าจึงคิดว่าควรที่จะทูลพระชายา แต่เมื่อเห็นพระชายาร้องไห้แล้ว"ซูยี่คิดว่าขอโทษใครก็ล้วนไม่สามารถขอโทษต่อพระชายาได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระชายาใกล้จะร้องไห้ หัวใจของเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ราวกับสุนัขกัดอาซื่อมองซูยี่แล้วถอนหายใจเอ่ยขึ้น "ท่านอ๋องจะต้องฆ่าเจ้า" ซูยี่ชะงักไปครู่หนึ่ง "ทำไมล่ะ? มิใช่ว่าข้าเรียกคุณหนูรองตระกูลฉู่ผู้นั้นเข้าไป"หยวนชิงหลิงมองซูยี่แล้วกล่าวว่า "เจ้ารีบไปหาคนที่จวนว่าการ เมื่อวานฉู่หมิงหยางไปพบเขาที่จวนจิงจ้าวจะต้องมีคนรู้แน่ เจ้าไปสอบถามว่ามีใครพบเ
หยวนชิงหลิงรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจในทันทีตอนแรกเธอแค่โกรธที่เขาปิดบัง แต่ไม่เคยคิดว่าระหว่างเขากับฉู่หมิงหยางจะมีอะไร แต่ตอนนี้ท่าทีของเขาเห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อวานในห้องจวนที่ว่าการมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหยวนชิงหลิงหลับตาลงแล้วเอ่ยกับตัวเป่า "กลับเถอะ!"เธอพาตัวเป่าเดินไปแล้วอวี่เหวินห่าวถลึงตาใส่ซูยี่ด้วยสายตาดุร้ายแต่ไม่ได้ไล่ตามไปเขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเพราะแม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อวานตอนเขาพักกลางวันแล้วงีบหลับชั่วครู่อยู่ในห้องเหมือนทุกที ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูบอกว่ามหาเสนาบดีฉู่มาพบเขา เขาจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้มหาเสนาบดีฉู่ และฉู่หมิงหยางก็เข้ามาแล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งตอนนี้เขาก็คิดไม่ออก ต่อมาเมื่อตอนออกไปฝู่เฉิงก็บอกว่าบนหน้าของเขามีรอยริมฝีปากเขาจึงรีบร้อนเช็ดออกไปเพราะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเรียกคนเฝ้าประตูเข้ามาในตอนพักกลางวันที่สำนักว่าการมีเพียงคนเฝ้าประตูอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ลาดตระเวน ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นมหาเสนาบดีฉู่กับฉู่หมิงหยางมา
หยวนชิงหลิงหันหลังเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร อวี่เหวินห่าวรีบไล่ตามมาจับมือนางไว้ “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ”“แล้วเป็นอย่างไรกัน? ท่านพูดสิ ท่านพูดมาก็ข้าจะเชื่อ” หยวนชิงหลิงยอมให้ตัวเอง ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นออกมา นางโกรธก็ส่วนโกรธ แต่ก็อยากฟังว่าทำไมเขาถึงปกปิดมันอวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นางมา แต่หลังจากนั้นพูดอะไรกับข้า ทำอะไร ข้านึกไม่ออกแม้แต่น้อย นางมากับมหาเสนาบดีฉู่”“ซูยี่ไม่พบมหาเสนาบดีฉู่ เห็นเพียงยายแก่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเรียบเฉยอวี่เหวินห่าวหันกลับไปมองซูยี่ สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “ไม่พบมหาเสนาบดีฉู่ เห็นเพียงยายแก่ตัวเล็กคนหนึ่ง?”ซูยี่ตบต้นขาและเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที “กระหม่อมนึกออกแล้ว คือมหาเสนาบดีฉู่...ไม่สิ คือเสื้อผ้าของมหาเสนาบดีฉู่ ลายปักนกกระเรียนนั้นเป็นเสื้อผ้าของเขา แต่ทว่าไม่ใช่มหาเสนาบดีฉู่จริง ๆ เป็นเหมือนแต่งตัวเป็นผู้ชาย เป็นยายแก่ตัวเล็กคนหนึ่ง บนใบหน้ามีริ้วรอย” อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ข้าไปถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับ เจ้าหน้าที่ต้อนรับ ต้อนรับมหาเสนาบดีฉู่และฉู่หมิงหยางด้วยตัวเอง เขาบอกข้า