อาซื่อไปถึงจวนอ๋องจี้จวนอ๋องจี้กำลังจัดเตรียมงานแต่งของพระชายารอง ภายในจวนสมบูรณ์แบบไม่มีบรรยากาศของนายหญิงที่กำลังป่วยหนัก และอ๋องจี้ที่อยู่ที่อารามฮู่กั๋วมีรับสั่งให้กลับมา นี่เป็นเรื่องมงคลจำเป็นที่จะต้องยิ่งใหญ่ ครึกครื้นและหรูหรา ดังนั้นพ่อบ้านผู้ดูแลภายในจวนจึงจัดเตรียมอย่างสุดกำลังไม่ให้ตกหล่น กลับกันทางด้านพระชายาเอกที่กำลังป่วยหนักลานบ้านกลับเงียบเหงา อาซื่อทำตามคำสั่งของหยวนชิงหลิง นางสวมหน้ากากอนามัยก่อนเข้าไปพบพระชายาจี้พระชายาจี้ไล่คนรับใช้ซ้ายขวาออกไปก่อนจะเอนกายลงบนเก้าอี้ แล้วยกเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมองอาซื่อ "มีเรื่องอะไรเจ้าก็เอ่ยออกมาได้เลย""พระชายาให้ข้ามาบอกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้นางจะเริ่มกลั่นยา แต่ว่าไม่รู้ว่อาการป่วยของพระชายาจี้นั้นร้ายแรงขนาดไหนจึง เชิญพระชายาจี้ให้ไปที่จวนอ๋องฉู่ในวันพรุ่งนี้เพคะ" อาซื่อกล่าวพระชายาจี้ยิ้มเยาะ "จริงหรือ? นางกลัวแล้วรึ? หรือเห็นด้วยกับเงื่อนไขข้าแล้ว?"อาซื่อกล่าวอย่างเย็นชา "พระชายายังมีอีกประโยคหนึ่งที่ฝากมาบอกกล่าวนั้นก็คือ ถ้าพระชายาจี้ยังต้องการมีชีวิตอยู่ก็ให้แยกแยะให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้ควบคุมและใครเป็นผู้ตาม
แต่นางสามารถปรับตัวให้ยืดหยุ่นได้ความจริงคนเช่นนี้น่ากลัวกว่า แม้จะเป็นคนที่ได้รับความอัปยศก็ไม่ได้มีอะไรที่จะต่อต้านหยวนชิงหลิงกล่าวต่อ "แม้ว่าคําพูดเหล่านี้จะดูมากเกินไป แต่ข้าก็ยังอยากจะบอกไว้ก่อนว่าโรคของท่านไม่สามารถหายเป็นปกติได้ในระยะเวลาเพียงสามเค่อ และท่านก็อย่าได้คิดว่าข้าจงใจถ่วงเวลาอาการป่วยของท่าน ในเมื่อข้าตัดสินใจรักษาท่านแล้ว ข้าก็ไม่จําเป็นต้องถ่วงเวลาท่าน”พระชายาจี้พยักหน้าด้วยนัยน์ตาแข็งทื่อ "ข้ารู้"หยวนชิงหลิงเอาหน้ากากอนามัยให้อาซื่อแล้วกล่าวว่า "ให้พระชายาจี้สวม"อาซื่อรับมา แล้วจากนั้นก็นำไปส่งให้พระชายาจี้ "โปรดสวมเพคะ!"พระชายาจี้ถือเอาไว้ในมือ ผ้าปิดปากนี่เธอรู้สึกแปลกใจมากมาตลอดมันใช้อะไรทำขึ้น เมื่อก่อนนี้นางเคยเห็นอ๋องหวยใช้มาก่อนสวมเรียบร้อยแล้วรู้สึกว่าหายใจได้ปลอดโปร่งมากกว่าของที่นางสั่งให้คนในจวนทำให้หยวนชิงหลิงเดินเข้ามา นางจึงยื่นมือออกไปให้เพื่อตรวจชีพจรหยวนชิงหลิงกลับใช้หูฟังแพทย์ที่แขวนอยู่ที่คอฟังที่ส่วนปอดของนาง หลังจากนั้นก็สอบถามอย่างละเอียดหลังจากที่ถามจบ หยวนชิงหลิงก็ฟังชีพจรและเสียงหัวใจเต้นอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้า
น้ำในจวนอ๋องจี้นั้นลึกมาก และพระชายารองทั้งสองคนก็ล้วนแต่เสียชีวิตไปแล้วอ๋องจี้และภรรยาก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ดูแล้วเหมือนจะบิดเป็นเกลียวจนเหมือนเชือกเส้นหนึ่ง แต่ว่าพอพลิกกลับอีกด้านความจริงแล้วนั้น ต่างฝ่ายต่างก็แยกตัวเป็นอิสระทำงานของตัวเองเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาถึงในตอนเย็น หยวนชิงหลิงก็บอกเรื่องนี้กับเขาอวี่เหวินห่าวเอ่ยเบา ๆ ว่า "ไม่แปลกนะ ถ้าพระชายาจี้ป่วยตาย ทางด้านตระกูลถงก็จะไม่สงสัยเขาและจะต้องสนับสนุนเขาต่อไปอย่างแน่นอน" "อ๋องจี้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไร้ความปรานี" หยวนชิงหลิงกล่าว"ทั้งสามีภรรยาล้วนเหมือนกัน เขาทั้งคู่มีความทะเยอทะยาน" อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสม "จริงสิ ท่าทางของนางเป็นอย่างไร? ”หยวนชิงหลิงเอ่ยว่า "แม้คำพูดของข้าจะไม่ได้ทำให้อับอายขายหน้า แต่ว่าคำพูดที่อาซื่อเอ่ยกับนางนั้นโอหังอย่างมาก แต่นางกลับอดกลั้นไว้ได้ และแม้กระทั่งท่าทางก็กล่าวได้ว่าต่ำต้อยนัก""นางรู้สถานการณ์" อวี่เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง "พรุ่งนี้เมื่อนางมา ให้เจ้ากล่าวกับนางสักหน่อยว่าคดีเมืองถิงเจียงข้าจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้นางและจะตัดสินโม่เหวินก่อน แต่
วันนี้เมื่อมาถึงจวนอ๋องหวย หลู่เฟยก็มาขวางนางไว้ "เจ้ารักษาอาการป่วยของพระชายาจี้รึ?"หยวนชิงหลิงพยักหน้าเบา ๆ "ใช่เพคะ"หลู่เฟยโกรธเป็นอย่างมาก "เพราะอะไร? นางเคยทำร้ายเจ้า?"หยวนชิงหลิงจนปัญญาที่จะอธิบายหลู่เฟยเอ่ยด้วยความคับแค้น "ข้ายังคิดว่าอย่างน้อยที่สุดเจ้าก็รู้ความใน เมื่อวันนี้เจ้าช่วยเหลือนางวันหน้าเจ้าก็รอถูกนางกัดกินเถอะ"กล่าวจบก็หมุนกายจากไปอย่างเย็นชาหยวนชิงหลิงกลับมาถึงจวนพระชายาซุนก็มาแล้วพระชายาซุนไม่ได้ซักถามโดยตรงนาง เพียงแค่เอ่ยเรียบ ๆ ว่า "พระชายาจี้คนนี้เจ้าต้องระวังตัวหน่อย"หยวนชิงหลิงรู้ว่านางเองก็จงเกลียดจงชังพระชายาจี้ แต่การเอ่ยปลอบใจในครั้งนี้เกิดจากความปรารถนาดี จึงเอ่ยอธิบาย "สำหรับเสด็จแม่หลู่มีบางคําที่ข้าไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ แต่สำหรับพี่สะใภ้รองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง การรักษาให้นางนั้นข้าพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าถ้าหากนางตาย ก็จะเป็นการส่งเสริมบุตรสาวทั้งสองคนของตระกูลฉู่ ถึงแม้ข้าจะจงเกลียดจงชังพระชายาจี้ แต่ข้าจงเกลียดจงชังบุตรสาวสกุลฉู่มากกว่า”พระชายาซุนพยักหน้า "เจ้าไม่พูดข้าก็พอจะคาดเดาได้ เพราะคนที่สตรีเกลียดมากที่สุดก็คือหญิงส
ตอนนี้หยวนชิงหลิงไม่มีกะจิตกะใจจะซุบซิบนินทาเรื่องในจวนอ๋องฉีก่อนหน้านี้พระชายาฉีเคยก่อเรื่องขึ้น อาซื่อกลับมาบอกนางจากนั้นพอได้ฟังนางก็รู้สึกเบื่อเป็นอย่างมากตั้งแต่เริ่มแรกเธอประเมินฉู่หมิงชุ่ยคนนี้ไว้สูง เดิมทีคิดว่านางมีความทะเยอทะยานและศักยภาพที่เหมาะสม แต่คิดไม่ถึงว่าสมองของนางจะไม่ไปพร้อมกับความทะเยอทะยานของนาง สุดท้ายก็ตกไปอยู่ในวังวนการต่อสู้กับพระชายารอง"เพียงแต่ได้ยินมาว่าเจ้าเจ็ดและพระชายารองหยวนยังไม่ได้ร่วมห้องหอกัน" พระชายาซุนกล่าวหยวนชิงหลิงเปลี่ยนประเด็นและพูดคุยเรื่องราวในวังหลวงแทน หลังจากนั้นพระชายาซุนก็กล่าวลาแล้วเรื่องที่พูดคุยกับพระชายาซุนในวันนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อยนั้นก็คือเรื่องที่ฉู่หมิงหยางชอบอวี่เหวินห่าวดังนั้นในตอนเย็นเมื่ออวี่เหวินห่าวกลับมาร่วมทานมื้อค่ำ เธอจึงเอ่ยถาม "ฉู่หมิงหยางชอบเจ้าหรือไม่?"อวี่เหวินห่าวค่อย ๆ วางชามข้าวลง แล้วเงยหน้ามองนาง "เจ้าไปฟังเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มาจากไหนกัน?"หยวนชิงหลิงมองเขา "แสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน ก็ไม่อาจจะปิดบังความยุ่งเหยิงภายในใจท่านได้หรอก ท่านก็รู้""ไม่รู้ และเรื่องนี้ก็เป
ผู้หญิงมากมายคำนึงถึงผู้ชายของตัวเอง นี่เป็นรสชาติของชีวิตที่ไม่ค่อยน่าสบายใจนักอวี่เหวินห่าวกระพริบนัยน์ตาดอกท้ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างคนไม่มีความผิด "ความจริงเจ้ามีอะไรมาโมโหข้า? ถึงอย่างไรข้าก็ล้วนไม่ได้เหลียวแลพวกนาง และเจ้าควรจะดีใจที่มีคนมากมายมาชอบข้า เพราะมันได้พิสูจน์ว่าข้านั้นมีค่าสูงส่ง แต่ถึงจะไม่ดีใจก็ไม่สามารถโกรธข้าได้อย่างเต็มที่ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้า อีกทั้งข้าก็ไม่ได้ไปบอกให้พวกนางมาชอบข้าด้วย""ข้าโกรธที่ท่านไม่บอกข้า" หยวนชิงหลิงกด ๆ มือ "ช่างเถอะ ช่างเถอะ ท่านไม่ต้องมาทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างไรเสียนางก็ต้องแต่งเป็นพระชายารองให้อ๋องจี้แล้วเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา "มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ต้องการให้พระชายาจี้เป็นฉากกําบังให้ข้า เพราะเจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉู่หมิงหยางคิดอย่างไรกับเจ้า..." เมื่อหยวนชิงหลิงเอ่ยมาถึงตรงนี้พลันก็ปรากฏความเย็นเยียบแวบหนึ่งขึ้นทันที "ช่วงนี้พวกเจ้าเคยพบหน้ากันบ้างหรือไม่? ได้พูดคุยกันหรือไม่? เคยส่งจดหมายน้อยให้กันและกันบ้างหรือไม่?"อวี่เหวินห่าวยิ้ม "เจ้าคิดไปถึงไหนกัน? นางจะส่งจดหมายน้อยให้กันได้อย่าง
อาซื่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม "ซูยี่ ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริงหรือ?”"จริงแท้แน่นอน" ซูยี่แทบจะสาบานแล้ว"คำพูดเหล่านี้เจ้าไม่สามารถที่จะเอ่ยได้ตามใจได้ เมื่อวานเจ้าเห็นท่านอ๋องโกรธมากหรือไม่?" อาซื่อเอ่ยถาม"ไม่มี ท่านอ๋องไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย สรุปแล้วมองดูไม่เหมือนโกรธ ดังนั้นข้าน้อยจึงรู้สึกแปลกใจ เมื่อวานกลับมาก็คิดที่จะทูลพระชายาแล้ว แต่ว่าเมื่อพบใต้เท้าถังแล้วพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง ใต้เท้าถังบอกว่าไม่สามารถที่จะทูลพระชายาได้ ข้าจึงไม่กล้าที่จะที่จะทูลพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ วันนี้พระชายาซุนมาแล้วกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าจึงคิดว่าควรที่จะทูลพระชายา แต่เมื่อเห็นพระชายาร้องไห้แล้ว"ซูยี่คิดว่าขอโทษใครก็ล้วนไม่สามารถขอโทษต่อพระชายาได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระชายาใกล้จะร้องไห้ หัวใจของเขาก็รู้สึกเป็นทุกข์ราวกับสุนัขกัดอาซื่อมองซูยี่แล้วถอนหายใจเอ่ยขึ้น "ท่านอ๋องจะต้องฆ่าเจ้า" ซูยี่ชะงักไปครู่หนึ่ง "ทำไมล่ะ? มิใช่ว่าข้าเรียกคุณหนูรองตระกูลฉู่ผู้นั้นเข้าไป"หยวนชิงหลิงมองซูยี่แล้วกล่าวว่า "เจ้ารีบไปหาคนที่จวนว่าการ เมื่อวานฉู่หมิงหยางไปพบเขาที่จวนจิงจ้าวจะต้องมีคนรู้แน่ เจ้าไปสอบถามว่ามีใครพบเ
หยวนชิงหลิงรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจในทันทีตอนแรกเธอแค่โกรธที่เขาปิดบัง แต่ไม่เคยคิดว่าระหว่างเขากับฉู่หมิงหยางจะมีอะไร แต่ตอนนี้ท่าทีของเขาเห็นได้ชัดว่าขาดความมั่นใจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อวานในห้องจวนที่ว่าการมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหยวนชิงหลิงหลับตาลงแล้วเอ่ยกับตัวเป่า "กลับเถอะ!"เธอพาตัวเป่าเดินไปแล้วอวี่เหวินห่าวถลึงตาใส่ซูยี่ด้วยสายตาดุร้ายแต่ไม่ได้ไล่ตามไปเขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรเพราะแม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อวานตอนเขาพักกลางวันแล้วงีบหลับชั่วครู่อยู่ในห้องเหมือนทุกที ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูบอกว่ามหาเสนาบดีฉู่มาพบเขา เขาจึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้มหาเสนาบดีฉู่ และฉู่หมิงหยางก็เข้ามาแล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งตอนนี้เขาก็คิดไม่ออก ต่อมาเมื่อตอนออกไปฝู่เฉิงก็บอกว่าบนหน้าของเขามีรอยริมฝีปากเขาจึงรีบร้อนเช็ดออกไปเพราะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเรียกคนเฝ้าประตูเข้ามาในตอนพักกลางวันที่สำนักว่าการมีเพียงคนเฝ้าประตูอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ลาดตระเวน ดังนั้นคนเฝ้าประตูจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เห็นมหาเสนาบดีฉู่กับฉู่หมิงหยางมา
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม