ถังหยางยิ้มและพูดอย่างชาญฉลาดว่า “บางทีหนังสือชำระหนี้ยังจะดีกว่า” อวี่เหวินห่าวหรี่ตาลง “อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ถอนเขี้ยวของอ๋องจี้ทิ้ง ข้าจะไม่ยอมเลิกรา” บัณฑิตซิ่วไฉ่จากเมืองเจียงฝู๋เข้ามาเมืองหลวงฟ้องร้องเรื่องนี้ วันรุ่งขึ้นในราชสำนัก จักรพรรดิหมิงหยวนที่ทรงทราบเรื่องนี้แล้วนั้น พระองค์ทรงกริ้วมาก และได้บัญชาให้อวี่เหวินห่าวสอบสวนอย่างเข้มงวด เมื่อสืบสวนจนได้หลักฐานชัดเจนแล้ว ไม่สนว่าจะเกี่ยวพันถึงขุนนางของเมืองเจียงฝู๋มากน้อยเพียงใด ทรงให้ปลดออกทั้งหมด และค่อยสอบสวนความผิดซักถามมูลเหตุอ๋องจี้ที่อยู่ในท้องพระโรง ใบหน้าซีดขาวไปหมดตอนออกจากท้องพระโรง เขาได้ตามอวี่เหวินห่าวออกไป“น้องห้า รอประเดี๋ยว”อวี่เหวินห่าวหยุดและหันมามองเขา “พี่ใหญ่ มีเรื่องอันใดหรือ?”อ๋องจี้ยิ้มและจับบ่าเขา “ไม่มีอะไร แค่พวกเราพี่น้องไม่ได้ดื่มด้วยกันนานแล้ว คืนนี้พี่ใหญ่จะนำสุราชั้นเลิศไปที่จวนของเจ้า ดื่มด้วยกันดีหรือไม่?”อวี่เหวินห่าวถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ และกล่าวว่า “ไว้วันอื่นเถอะ ช่วงนี้ข้ายุ่งงานราชการจริง ๆ”อ๋องจี้สะบัดมือและกล่าวอย่างไม่พอใจ “เรื่องที่เจียงฝู๋ เจ้าพวกบัณฑิตซิ่วไฉ่หน้าโง่พ
พระชายาจี้ตะขิดตะขวงใจขึ้นมา พี่ใหญ่แม้ตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในกระทรวงการคลังแล้ว แต่ว่าถ้าฝ่าบาททรงสอบสวน ต้องถูกขุดรากถอนโคน ทุกอย่างมันชัดเจนมากแต่นางกลับรู้สึกโกรธจากก้นบึ้งของหัวใจ หลายปีมานี้บ้านนางออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อมไปมากมายเท่าไร? ถ้าไม่มีการสนับสนุนเงินจากทางบ้านของนาง เขาจะมีวันนี้ได้หรือ? แม้จะรู้มานานแล้วว่าเขาเริ่มมีใจเป็นอื่น แต่พระชายาจี้มักคิดเสมอว่าเขาต้องพึ่งพี่งนาง วันนี้รู้ว่าเขาแต่งกับหลานสาวของมหาเสนาบดีฉู่เป็นพระชายารอง เขาทอดทิ้งนาง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ช่างเป็นคนเนรคุณคนจริง ๆพระชายาจี้อดทนมาโดยเสมอ วันนี้แม้ว่าจะไม่มีความสุข แต่บนใบหน้านางก็ไม่แสดงสีหน้าไม่มีความสุขอะไรออกมา รวมถึงความเศร้าโศกเสียใจในแววตาล้วนถูกเก็บซ่อนไว้ นางจึงกล่าวเตือนอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านอ๋อง พระชายารองยังไม่ได้แต่ง หยวนชิงหลิงก็ยังไม่แท้ง ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ หม่อมฉันมักบอกท่านอ๋องอยู่เสมอ ให้ทำทุกอย่างให้ดี อย่าให้มีอะไรหลุดรอดไปได้ วันนี้เองก็พูดคำนี้เหมือนกัน ท่านอ๋องดูเหมือนตัวหมากที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่กำจัดมันไม่ได้แล้ว”อ๋องจี้พูดอย่างเฉยชา “ค
"ไม่ใช่หรือ? โชคดีแล้วที่ไม่มีผู้ใดได้ยิน" หยวนชิงผิงทั้งกลัดกลุ้มและทำอะไรไม่ถูก "เขาหยอกล้อข้าใช่หรือไม่ ทําไมเขาถึงแย่นัก? ข้าหลงคิดไปว่าเขาเป็นคนดีเสียอีก""ไม่ใช่คนดี!" หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มหยวนชิงผิงทำเสียงอ่าแล้วนัยน์ตาก็พลันมีรอยแดงเกิดขึ้นในทันที "นั่น...นั่นแสดงว่าเขารังแกข้า แล้วก็หยอกล้อข้าเล่นเช่นนั้นหรือ?"นางเคยคิดว่าเขานั้นจริงจัง สองสามวันที่ผ่านมานั้นพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปมาตลอด เมื่อคิดถึงเขาที่จ้องตาเขม็ง และถามความคิดเห็นกันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทำให้ใจของคนคนหนึ่งแทบจะกระโดดออกมา"ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องรังแกเจ้าหรือหยอกล้อเจ้า"หยวนชิงผิงเขย่าแขนของเธอแล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ "อย่างนั้นท่านรีบช่วยข้าขบคิดหน่อยเถอะว่า เขาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?"หยวนชิงหลิงจับมือของนางไว้แล้วเอ่ย "ดี งั้นเจ้าบอกข้ามา เจ้ามีความรู้สึกอย่างไรต่อเขา? ถ้าเขามาสู่ขอเจ้าจริง เจ้ายินดีที่จะแต่งงานกับเขาหรือไม่?"หยวนชิงผิงหันกลับมา แล้วชำเลืองมองว่าไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว จึงขบริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย "ข้าไม่ใช่คนโง่ต้องยินดีอยู่แล้ว เขาคนนั
เหล่าไท่ไท่กับหยวนชิงหลิงเพิ่งจะกลับมาหลังมื้อค่ำ เดิมทีต้องการที่จะรออวี่เหวินห่าวกลับมาก่อน แต่ว่าไม่กี่วันมานี้อวี่เหวินห่าวยุ่งมาก จึงไม่สามารถรอได้พวกนางได้ จึงต้องทานกันก่อนตกเย็นเหล่าไท่ไท่ไม่ต้องการค้างคืนอยู่ที่จวนอ๋อง มืดค่ำหยวนชิงหลิงจึงให้ซูยี่ไปส่งนางกลับไปหยวนชิงหลิงคิดว่าคืนนี้จะรออวี่เหวินห่าวกลับมา ก่อนหน้านี้ทุกคืนล้วนสาบานว่าจะรอเขา แต่ทุกครั้งก็ล้วนรอจนกระทั่งหลับไป ดังนั้นคืนนี้นางจึงพาตัวเป่าเข้ามาในห้อง พูดคุยแลกเปลี่ยนกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งในที่สุด นางก็รั้แม้กระทั่งว่าในเมืองหลวงมีสุนัขเร่ร่อนมากเท่าไร แต่ก็ยังคงง่วงนอนไม่ง่ายเลยที่จะอดทนให้ถึงเวลา นางข้าหลวงสี่เข้ามาตามเธอเป็นครั้งที่ห้าแล้ว "ควรจะนอนได้แล้วนะเพคะ ท่านอ๋องเกรงว่าคืนนี้คงไม่กลับมาเร็วนัก"หยวนชิงหลิงปีนขึ้นเตียงอย่างสะลึมสะลือ "ได้ งั้นข้าจะนอนรอ"นางข้าหลวงสี่ยิ้มด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ในความจริงพระชายาก็ง่วงเป็นอย่างมากแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ถึงช่วงค่ำก็เห็นนางนั่งสัปหงก เปลือกตาก็หรี่ปรือไม่มีแรงจะลืม แต่ฝืนรออยู่สองชั่วโมงนางเดินไปข้างหน้าเพื่อจัดผ้านวมให้หยวนชิงหลิง และกำล
เสด็จพ่อมอบคดีนี้ให้ข้า ตอนนี้กู้ซีถูกคุมขังชั่วคราวอยู่ในจวนจิงจ้าวของสำนักผู้ตรวจการ ข้ายังไม่รู้จะไปถามเขาอย่างไร" อวี่เหวินห่าวถอนหายใจเฮือกใหญ่หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม "องค์ชายแปดและอ๋องฉีห่างกันปีกว่า แต่อ๋องฉีได้รับพระราชทานจวนชินอ๋องให้พักอาศัยอยู่ด้านนอก แต่เพราะอะไรจนบัดนี้องค์ชายแปดยังไม่ได้รับพระราชทานจวน และยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง? อีกทั้งข้ายังจำได้เหมือนกับว่าจะยังคงไม่สมรสใช่หรือไม่?"ตามกฎแล้วนั้น องค์ชายที่โตเกินวัยไม่สามารถอาศัยอยู่ในวังหลังได้อวี่เหวินห่าวเอ่ย "ความจริงเสด็จพ่อมีพระประสงค์ให้มีพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องลวี่ เพียงแต่เจ้าแปดสติปัญญาไม่ค่อยฉลาดปราดเปรื่องนัก”"ไม่ฉลาดปราดเปรื่อง?""เขา…" อวี่เหวินห่าวก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยอย่างไร "ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่ชอบที่จะพูดคุยกับผู้ใดนัก มีนิสัยสันโดษ ชอบเก็บตัว อีกทั้งก็ยังไม่ค่อยรู้ตัวอักษร รักเพียงการวาดภาพ มีเวลาก็สามารถนั่งวาดภาพได้ทั้งวัน แต่เขาชอบข้าและเจ้าเจ็ด จึงชอบทำตัวติดกับพวกข้า วันนี้เห็นเขาแม้แต่จะหายใจก็ดูเหมือนจะไม่มี ในใจของข้านั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมาก”หยวนชิงหลิงได้ฟังการเจ็บป่วยนี้
นางข้าหลวงสี่เอ่ยปลอบโยน "องค์ชายแปดจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ท่านก็อย่าคิดมากเลยเพคะ รีบนอนเถอะ"หยวนชิงหลิงจำต้องเอนตัวลงนอน ไม่เช่นนั้นนางข้าหลวงจะต้องไม่หยุดบ่นเป็นแน่ความรู้สึกสับสน หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเธอจึงค่อย ๆ ผล็อยหลับไปเพียงแต่นางเพิ่งจะหลับไปไม่นานก็ได้ยินนางข้าหลวงสี่เอ่ยเรียก "พระชายา รีบตื่นเถอะเพคะ มีคนในวังมาเพคะ"หยวนชิงหลิงลืมตาขึ้นอย่างมึนงงได้ยินมามีคนอยู่มาที่วังนางก็ตกใจกลัวลุกขึ้นนั่งทันที จับมือของนางข้าหลวงสี่ "ใช่ องค์ชายแปดหรือไม่…"นางข้าหลวงสี่ปิดปากของเธอแล้วเอ่ยเสียงเบา "ชู่ อย่าพูดจาเหลวไหลเพคะ เป็นมู่หรูกงกงที่มาบอกว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังหลวงตอนนี้"ใบหน้าของหยวนขิงหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย "สถานการณ์องค์ชายแปดไม่ดีแล้วเป็นแน่" เธอลุกขึ้น นางข้าหลวงสี่และลวี่หยาเข้ามาช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หวีผมแล้วมวยขึ้นอย่างง่าย ๆ อากาศค่อนข้างหนาว ดังนั้นนางข้าหลวงสี่จึงเปิดตู้หยิบเอาเสื้อคลุมตัวหนึ่งออกมาให้หยวนชิงหลิงคลุมไว้ แล้วพาเดินออกไปมู่หรูกงกงรออยู่ด้านนอกอย่ากระวนกระวาย เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงออกมาก็เอ่ยขึ้นทันที "พระชายา หวงซ่างมีรับสั่งให
เด็กหนุ่มคนนั้นใบหน้าบริสุทธิ์ ถ้าไม่ใช่ใบหน้าที่ซีดขาวและลมหายใจที่แผ่วเบา ก็ทําให้ผู้คนคิดว่าแค่หลับไปแล้วเท่านั้นด้านข้างมุมปากของเขามีรอยเช็ดสีแดงก่ำ น่าจะเกิดจากการอาเจียนเป็นเลือดหมอหลวงเฉาเอ่ยเสียงเบา "พระชายา องค์ชายแปดก่อนหน้านี้ถูกทำให้ตกใจอย่างรุนแรง ทำให้เส้นชีพจรหัวใจแตกสลาย อีกทั้งกระบี่ได้แทงโดนส่วนสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าจะได้รับยาจื่อจินเข้าไปแล้ว แต่ว่าสถานการณ์ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ลมหายใจยิ่งเบาลงเรื่อย ๆหมอหลวงหลายคนที่รออยู่ที่นี่ก็หมดหนทาง ไร้ซึ่งวิธี เห็นได้ชัดว่าถอดใจกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนอยู่ด้านนอก และเพื่อที่จะไม่ต้องสิ้นชีวิต นั่นคือคนผมขาวจึงส่งคนผมดำมาแทนหยวนชิงหลิงพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วจึงเดินเข้าไปเมื่อตอนอยู่บนรถม้าได้แอบนำกล่องยาออกมาวางไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว เมื่อลงมาก็ถือกล่องยาลงมาด้วยในตอนนี้เมื่อเธอเปิดกล่องยา ก็พบว่ายามีการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าไม่ได้มากนัก มียาห้ามเลือดและยาบำรุงหัวใจเธอนำอุปกรณ์ฟังเสียงหัวใจออกมา แล้วฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ มีเลือดออกภายในและได้รับบาดเจ็บภายในทำให้มีเลือดคั่งอยู่ในช่องอก ห
องค์ชายเก้าก้มศีรษะลง แล้วค่อย ๆ เดินออกไปหยวนชิงหลิงรู้ว่านี้เป็นช่วงเวลาความเป็นความตาย ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรยั่วยุฮองเฮา แต่ว่าหลังการปิดม่านการแสดงนี้ ยังมีหางตาที่โค้งขึ้นเล็กน้อย กําลังจะหลั่งน้ำตาออกมา ฉากนี้สะเทือนใจหยวนชิงหลิงเป็นอย่างมากองค์ชายเก้าเป็นห่วงพี่ชายผู้นี้มาก ดังนั้นถึงจะรู้แน่ชัดว่าฮองเฮานั้นไม่ชอบเขา แต่เขาก็ยังจะยังมุ่งมาที่นี่หยวนชิงหลิงเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น "สถานการณ์คับขัน เลือดของพี่น้องนั้นเข้ากันได้ง่าย น่าจะดีกว่าถ้าลองตรวจสอบดูสักหน่อย"ขณะที่หยวนชิงหลิงเอ่ยออกมา นางมองไปทางจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนพยักหน้าช้า ๆองค์ชายเก้าเดินกลับมาแล้วมองหยวนชิงหลิง "รบกวนพี่สะใภ้ห้าแล้ว"เขาน่าจะเพิ่งผ่านช่วงเวลาเสียงเปลี่ยนไปได้ไม่นาน เสียงของเขานั้นจึงดูเหมือนว่าจะต่ำเป็นพิเศษหยวนชิงหลิงตรวจสอบเขาแล้วนิ่งไปชั่วขณะ นัยน์ตามีความสุข "เข้ากันได้!"ฮองเฮาชะงักไปครู่หนึ่ง ลมหายใจถี่กระชั้นอย่างไม่ยินยอม นางมององค์ชายเก้าด้วยความเคียดแค้นจักรพรรดิหมิงหยวนได้เอ่ยออกมา "อย่างนั้นยังไม่รีบพาเข้าไปอีกหรือ?"หยวนชิงหลิงเอ่ยกับองค์ชายเก้า "น้องเก้า
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม