ทางด้านไทเฮาและไท่หวงซ่างยังไม่ได้แจ้งให้ทราบเพียงแต่ว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะปิดบังไท่หวงซ่างทำได้เพียงปิดบังไทเฮาเท่านั้นจักรพรรดิหมิงหยวนรับสั่งให้อวี่เหวินห่าวเบิกตัวกู้ซีมาเพื่อไต่สวน สีหน้าของฮองเฮาก็ดำมืด "เขาคือฆาตกร"จักรพรรดิหมิงหยวนจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชาหยวนชิงหลิงเดินออกไปหยุดพักชั่วคราวที่ในห้องโถงตำหนักห้องโถงตำหนักมีภาพวาดมากมายแขวนอยู่ทั้งหมดเป็นภาพวาดทัศนียภาพ ทั้งหมดล้วนเป็นภาพทิวทัศน์ หยวนชิงหลิงมองลงไปทีละภาพ นี่คือโลกในสายตาของเด็กคนนี้ ภายในกําแพงเป็นทิวทัศน์ที่ทอดยาวออกไปอย่างไร้ขีดจํากัดหยวนชิงหลิงตกตะลึงในตัวขององค์ชายคนนี้ภาพวาดเหล่านี้ราวกับมีชีวิต ต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้นทั้งหมดราวกับมีชีวิตนี้คืออีกหนึ่งความสามารถพิเศษทางการประพันธ์ของเด็กหนุ่มหยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงประสบเคราะห์กรรมร้ายครั้งนี้ และไม่รู้ว่าทำไมกู้ซีถึงลงมือทำร้ายเขา หรืออาจจะไม่ใช่กู้ซีแต่เป็นคนอื่นในภาพวาดทัศนียภาพมากมายนั้นมีภาพเหมือนตนเองอยู่หนึ่งภาพน่าจะเป็นเขาวาดภาพวาดเหมือนตัวเองภาพนี้แปลกมาก ใบหน้ายาวมาก ดวางตาก็ใหญ่มากเกือบจะเป็นหนึ่งในสามของใบหน้า ดวงตากลม
อวี่เหวินห่าวรู้สึกงุนงงไปหมดแล้วหลังจากผ่านไปสักพักจึงกลับมารับรู้ "มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเอ่ยเรื่องบ้าอะไรออกมา? ข้าให้เจ้ารับโทษแทนอะไร?"กู้ซีเอ่ยอย่างเย็นชา "ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ และข้าเกรงว่านางจะสะเทือนจิตใจจากการที่จะต้องรับศพจนกระทบต่อสองชีวิต ข้าจะยอมรับโทษเพื่อเศษเดนมนุษย์เช่นเจ้าได้อย่างไร?"เขากระชากคอเสื้อของอวี่เหวินห่าวด้วยมือข้างเดียว แล้วพ่นเลือดใส่หน้าของเขา แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม "ให้ตายเถอะ อวี่เหวินห่าว ข้าจะบอกว่าเจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่? เจ้าถึงขั้นอดใจไว้ไม่ไหว แต่ทำไมไม่คิดว่าซู่ผินคือผู้หญิงของเสด็จพ่อของเจ้า เจ้ามีสมองเท่าไรกัน ทำไมไม่ตัดทิ้งไปซะ? เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ เจ้าแปดเห็นเรื่องงามหน้าของพวกเจ้า คาดไม่ถึงเจ้าจะให้มือสังหารจัดการเขา เขาเป็นน้องของเจ้า เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?"อวี่เหวินห่าวใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขา กู้ซีจึงกัดมือของเขา อวี่เหวินห่าวโกรธเป็นอย่างมากจึงซัดหมัดออกไป ส่วนกู้ซีก็ไม่ได้ยอมจึงซัดหมัดสวนกลับมา อวี่เหลินห่าวยกโต๊ะขึ้นแล้วจะทุบลงไปแต่เมื่อเห็นใบหน้าของกู้ซีที่มีคราบเลือดเขาก็ไม่สามารถที่จะทุบมันลงไปได้
อวี่เหวินเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก "องครักษ์ในวังหลวงนอกจากพวกเจ้าราชองครักษ์แล้ว ทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าคราม”กู้ซี่มองเขาอย่างโง่งม "ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น"อวี่เหวินห่าวถลึงตาใส่เขา "สมองพิการรึ?"คำพูดของหยวนชิงหลิงมีประโยชน์มากจริง ๆ โดยเฉพาะใช้บรรยายถึงตัวกู้ซีกู้ซีจนปัญญา "ตอนนี้จะทำอย่างไร? เจ้าจะต้องตรวจสอบใช้ชัดเจนว่าข้าบริสุทธิ์"อวี่เหวินห่าวไขว้มือไปด้านหลัง แล้วเดินเป็นวงกลมสองรอบ เห็นได้ชัดว่าเพื่อนร่วมหน่วยตรงหน้านี้โง่เหมือนหมูเขาเอ่ย "เจ้าอย่าเพิ่งเอ่ยอะไรออกมา ให้ข้าเป็นคนตอบเสด็จพ่อเองว่าถามไม่ได้ความอะไร เสด็จพ่อจะต้องโกรธเป็นอย่างมากแน่ แต่ว่าข้าจะไปพบบิดาเจ้า ให้เขาไปขอพระเมตตาจากเสด็จพ่อก่อน อย่างน้อยที่สุดก็ยืดเวลาได้สักวันสองวัน แล้วข้าจะเริ่มลงมือสอบสวนซู่ผินก่อน ซู่ผินจะต้องรู้แน่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร""นางต้องบ้าเท่านั้น ถึงจะเอ่ยออกมา" กู้ซี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "โดยเฉพาะถ้าในที่สุดเจ้าทำให้ซู่ผินยอมสารภาพถึงชายชู้คนนั้นของนาง เจ้าจะทูลกับฝ่าบาทอย่างไร? จักรพรรดิจะทรงยอมรับได้หรือไม่ที่ถูกทรยศสวมเขา?"การถูกสวมเขาสำหรับผู้ชายนั้นเจ็บปวดที่สุ
ท่านกู้โฮ่วรีบร้อนเข้าวังแล้วร้องไห้ยกใหญ่ อ้อนวอนขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ ให้ทรงสอบสวนให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินลงโทษในเรื่องนี้ ถ้าตรวจสอบแล้วกู้ซีมีความผิดจริง เขาจะเป็นคนลงมือฆ่าบุตรชายด้วยมือของเขาเองเดิมทีกู้โฮ่วและจักรพรรดิหมิงหยวนนั้นมีความรักผูกพันกันตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็นเพื่อนเก่าร้องไห้เสียใจเช่นนี้ ต่อให้จักรพรรดิหมิงหยวนก็โกรธขนาดไหนก็ต้องใจอ่อนขึ้นมาบ้างอวี่เหวินห่าวรอจนท่านโฮ่วออกจากวังแล้วจึงเข้าไปกราบทูลว่า กู้ซีไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมา ดูเหมือนจะกำลังปกป้องคนผิด หรือมีสถานการณ์บางอย่างได้ยินเยี่ยงนี้จักรพรรดิก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงกู้โฮ่วจึงยอมให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าเป็นผู้ใดที่เขากำลังปกป้องอ๋องจี้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็เอ่ยอย่างเย็นชา "กู้ซีเป็นรองราชองครักษ์ของเสด็จพ่อ หน้าที่ของเขาคือปกป้องจักรพรรดิ มองดูทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วคนที่เขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือเจ้าแล้วน้องห้า ถ้าบอกว่าเขากำลังต้องการที่จะปกป้องชีวิตคนผิด ก็มีเพียงเสด็จพ่อและน้องห้าเท่านั้นที่คู่ควรให้เขาทำเช่นนี้อวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างเย็นชา "พี่ใหญ่ ท่านเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ช่างหยาบ
เมื่อตอนที่อ๋องจี้ต่อยกลับมาด้วยแรงฮึด ใบหน้าของอวี่เหวินห่าวก็บวมเป่งขึ้นมาแต่ว่าเขาต่อยอ๋องจี้ที่สันจมูก ศีรษะยังมีหน้าแข้งอีกล้วนใช้กำลังภายในชั่วเวลาหนึ่งก็ไร้ร่องรอยดังนั้นมองดูภายนอกแล้วเขาบาดเจ็บน่าเวทนากว่าอ๋องจี้เสียอีกสิ่งสำคัญที่สุดคือจักรพรรดิหมิงหยางเห็นอ๋องจี้ตีคนด้วยพระองค์เองเมื่อสายตาของจักรพรรดิหมิงหยวนหยุดมองอยู่ที่ใบหน้าของอ๋องจี้ อวี่เหวินห่าวกลับโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างฉับไว "เสด็จพ่อ เป็นความผิดของลูกเอง ลูกจะรีบไปตรวจสอบคดีน้องแปดทันทีรอคดีจบไปก่อน แล้วจะไปแสดงความขอโทษต่อพี่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ""เจ้า…" ในหน้าของอ๋องจี้เปลี่ยนเป็นสีม่วงจัดทันทีและโกรธเป็นอย่างมาก "เจ้ากล้าทำแต่เพราะใดจึงไม่กล้ายอมรับ?"อวี่เหวินห่าวประสานมือกลางอก "พี่ใหญ่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรตอบโต้ น้องต้องขอโทษท่านด้วย"อ๋องจี้ไม่คาดคิดว่าอวี่เหวินห่าวจะหน้าไม่อายเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่ท่าทางปกติของเขาแน่นอน โดยปกติแล้วเขาแค่มองอย่างเฉยเมย และไม่เคยใช้แผนการเยี่ยงนี้ในตอนนี้อ๋องจี้โกรธจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ และเขายอมรับผิดโดยดี เป็นที่น่าพอใจทั้งที่ก่อนหน้าบอกว่าจะไปขอโทษอีกครั้งในภายหลั
เสียนเฟยมองเขาอย่างไม่พอใจ "ทำไม? ยังคาดหวังว่ามารดาเจ้าจะป่วยใช่หรือไม่?"นัยน์ตาขออวี่เหวินห่าวมีแสงแวบขึ้นมา "ไม่ได้ป่วยจริง ๆ ใช่หรือไม่? อย่างปิดบังลูก""เอาเถอะ เสด็จแม่ของเจ้ายังกินยังดื่มได้ จะไม่อะไรให้ป่วยล่ะ? เสียนเฟยมองเขาแล้วลดเสียงลงเอ่ยถาม "แล้วฝั่งเจ้าแปดสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? พระชายาของเจ้าทำได้หรือไม่?"อวี่เหวินห่าวเอ่ย "ยังไม่ทราบ แต่หม่อมฉันคาดหวังว่าจะไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ"เสียนเฟยพยักหน้าเอ่ยว่า "ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะไม่ค่อยพอใจคนผู้นี้นัก แต่เจ้าแปดก็น่าสงสาร เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น"ดังนั้นการต่อสู้ก็ไม่ควรที่จะเอาเด็กคนหนึ่งเข้าไปพัวพันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแปดไม่สามารถที่จะใช้อำนาจใด ๆ คุกคามผู้ใดได้ และทุกคนก็รักและทะนุถนอมเขาอวี่เหวินห่าวเอ่ยปลอบใจ "เสด็จแม่วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ เขาจะไม่เป็นอะไร"เขาลุกขึ้นยืน "ลูกต้องขอไปดูเขาก่อนพ่ะย่ะค่ะ"เกือบจะแน่ใจได้แล้วว่านี่เป็นหนึ่งในหลุมพราง ขณะนี้มีสองคนที่จะต้องตรวจสอบ คนแรกคือหลี่กงกงที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้กล่าวว่าเสด็จแม่ไม่สบายจึงทำให้เขามาคนที่สองคือซู่ผินสองคนนี้ เริ่มต้นลงมือจากซู่ผินดีที่ส
"ขอบพระทัยพระสนมที่เป็นห่วงบ่าว ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ" นางข้าหลวงสี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มซู่ผินและลี่ผินเห็นว่าเต๋อเฟยเอาแต่พูดคุยกลับนางข้าหลวงสี่ จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวลานางข้าหลวงลุกขึ้นแล้วย่อกายลง "พระสนมทั้งสองเดินทางปลอดภัยเพคะ"ลี่ผินยิ้มเล็กน้อย ส่วนซู่ผินเดินจากไปทันทีนางข้าหลวงสี่เห็นทั้งสองออกไปจากประตูแล้ว ใบหน้าที่ยิ้มก็ค่อย ๆ หายไปนางข้าหลวงสี่กล่าวเสียงเบา "พระสนมเต๋อเฟย มีคำพูดไม่กี่คำที่บ่าวจำเป็นที่จะต้องเอ่ยกับท่านเป็นการส่วนตัวเพคะ ท่านให้คนออกไปข้างนอกเถอะเพคะ"เต๋อเฟยเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของนางจึงกำชับกับแม่นมข้ากาย "เจ้าพาคนออกไปแล้วห้ามผู้ใดเข้ามา"แม่นมรับคำสั่งและจากไปแล้วดึงประตูตำหนักให้ปิดลงเต๋อเฟยมองนางข้าหลวงสี่ "นางข้าหลวง ข้ารู้ว่าท่านมีงานรัดตัวอย่างมาก ถ้าหากมิใช่เรื่องสำคัญท่านก็คงไม่มาตำหนักเต๋อซ่างด้วยตัวเองในคราวนี้ ที่แท้แล้วมีเรื่องอะไรกันแน่?"นางข้าหลวงสี่เอ่ย "พระสนมได้โปรดอย่างเอ่ยเช่นนี้ บ่าวเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะมารบกวนท่านบ่อย ๆ เท่านั้นเพคะ""ข้ายังคงจำบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้ เฝ้าภาวนาให้ท่านมาอย่าได้เอ่ยว่าเป็นการร
หลังจากที่เต๋อเฟยสอบถามจนเรียบร้อย จึงใช้แม่นมไปพาซู่ผินมาประตูใหญ่ของตำหนักเต๋อซ่างถูกปิดสนิท ส่วนซู่ผินคุกเข่าอยู่ด้านในไม่ยอมเอ่ยคำใดเต๋อเฟยมองนางในใจเดือดดาล แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นเด็กน่ารักเฉลียวฉลาด รู้จักคิดแล้วเหตุใดจึงทำผิดพลาดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้?เต๋อเฟยพยายามอดกลั้นความโกรธเอ่ยอย่างเย็นชา "ผู้นั้นเป็นใคร?"ซู่ผินเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น ในดวงตาที่งดงามนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา "พระสนมไม่จำเป็นต้องถามแล้วประหารหม่อมฉันเถอะเพคะ""เจ้าตายแล้วก็จบเรื่องงั้นรึ?" เต๋อเฟยโกรธจัด "ไม่ว่าข้าก็ถูกเจ้าทำให้เข้าไปพัวพัน คนในตระกูลของเจ้าก็ถูกลงโทษเพราะเจ้า ตอนนี้บิดาและพี่ชายเจ้าล้วนถูกปลดออกจากตำแหน่งราชการแล้ว ผ่านไปสองปีจึงจะสามารถกลับมาเมืองหลวงดำรงตำแหน่งได้ เจ้าต้องการที่จะตัดอนาคตของพวกเขาใช่หรือไม่?"ซู่ผินเอ่ยด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก "ถึงแม้ว่าข้าจะสารภาพผิด บิดาและพี่ชายข้าจะไม่เกี่ยวข้องได้หรือ? ข้าทำให้พวกเขาลำบากอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว ถ้าหากรู้วันนี้ตั้งแต่แรก ให้ตายข้าก็ไม่กล้า""ตอนนี้เสียใจแล้ว มันสายไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือสารภาพความจริงออ