อวี่เหวินห่าวรู้สึกงุนงงไปหมดแล้วหลังจากผ่านไปสักพักจึงกลับมารับรู้ "มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเอ่ยเรื่องบ้าอะไรออกมา? ข้าให้เจ้ารับโทษแทนอะไร?"กู้ซีเอ่ยอย่างเย็นชา "ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ และข้าเกรงว่านางจะสะเทือนจิตใจจากการที่จะต้องรับศพจนกระทบต่อสองชีวิต ข้าจะยอมรับโทษเพื่อเศษเดนมนุษย์เช่นเจ้าได้อย่างไร?"เขากระชากคอเสื้อของอวี่เหวินห่าวด้วยมือข้างเดียว แล้วพ่นเลือดใส่หน้าของเขา แล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม "ให้ตายเถอะ อวี่เหวินห่าว ข้าจะบอกว่าเจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่? เจ้าถึงขั้นอดใจไว้ไม่ไหว แต่ทำไมไม่คิดว่าซู่ผินคือผู้หญิงของเสด็จพ่อของเจ้า เจ้ามีสมองเท่าไรกัน ทำไมไม่ตัดทิ้งไปซะ? เจ้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วจริง ๆ เจ้าแปดเห็นเรื่องงามหน้าของพวกเจ้า คาดไม่ถึงเจ้าจะให้มือสังหารจัดการเขา เขาเป็นน้องของเจ้า เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?"อวี่เหวินห่าวใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเขา กู้ซีจึงกัดมือของเขา อวี่เหวินห่าวโกรธเป็นอย่างมากจึงซัดหมัดออกไป ส่วนกู้ซีก็ไม่ได้ยอมจึงซัดหมัดสวนกลับมา อวี่เหลินห่าวยกโต๊ะขึ้นแล้วจะทุบลงไปแต่เมื่อเห็นใบหน้าของกู้ซีที่มีคราบเลือดเขาก็ไม่สามารถที่จะทุบมันลงไปได้
อวี่เหวินเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก "องครักษ์ในวังหลวงนอกจากพวกเจ้าราชองครักษ์แล้ว ทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าคราม”กู้ซี่มองเขาอย่างโง่งม "ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น"อวี่เหวินห่าวถลึงตาใส่เขา "สมองพิการรึ?"คำพูดของหยวนชิงหลิงมีประโยชน์มากจริง ๆ โดยเฉพาะใช้บรรยายถึงตัวกู้ซีกู้ซีจนปัญญา "ตอนนี้จะทำอย่างไร? เจ้าจะต้องตรวจสอบใช้ชัดเจนว่าข้าบริสุทธิ์"อวี่เหวินห่าวไขว้มือไปด้านหลัง แล้วเดินเป็นวงกลมสองรอบ เห็นได้ชัดว่าเพื่อนร่วมหน่วยตรงหน้านี้โง่เหมือนหมูเขาเอ่ย "เจ้าอย่าเพิ่งเอ่ยอะไรออกมา ให้ข้าเป็นคนตอบเสด็จพ่อเองว่าถามไม่ได้ความอะไร เสด็จพ่อจะต้องโกรธเป็นอย่างมากแน่ แต่ว่าข้าจะไปพบบิดาเจ้า ให้เขาไปขอพระเมตตาจากเสด็จพ่อก่อน อย่างน้อยที่สุดก็ยืดเวลาได้สักวันสองวัน แล้วข้าจะเริ่มลงมือสอบสวนซู่ผินก่อน ซู่ผินจะต้องรู้แน่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร""นางต้องบ้าเท่านั้น ถึงจะเอ่ยออกมา" กู้ซี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "โดยเฉพาะถ้าในที่สุดเจ้าทำให้ซู่ผินยอมสารภาพถึงชายชู้คนนั้นของนาง เจ้าจะทูลกับฝ่าบาทอย่างไร? จักรพรรดิจะทรงยอมรับได้หรือไม่ที่ถูกทรยศสวมเขา?"การถูกสวมเขาสำหรับผู้ชายนั้นเจ็บปวดที่สุ
ท่านกู้โฮ่วรีบร้อนเข้าวังแล้วร้องไห้ยกใหญ่ อ้อนวอนขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ ให้ทรงสอบสวนให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินลงโทษในเรื่องนี้ ถ้าตรวจสอบแล้วกู้ซีมีความผิดจริง เขาจะเป็นคนลงมือฆ่าบุตรชายด้วยมือของเขาเองเดิมทีกู้โฮ่วและจักรพรรดิหมิงหยวนนั้นมีความรักผูกพันกันตั้งแต่เด็ก เมื่อเห็นเพื่อนเก่าร้องไห้เสียใจเช่นนี้ ต่อให้จักรพรรดิหมิงหยวนก็โกรธขนาดไหนก็ต้องใจอ่อนขึ้นมาบ้างอวี่เหวินห่าวรอจนท่านโฮ่วออกจากวังแล้วจึงเข้าไปกราบทูลว่า กู้ซีไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดออกมา ดูเหมือนจะกำลังปกป้องคนผิด หรือมีสถานการณ์บางอย่างได้ยินเยี่ยงนี้จักรพรรดิก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงกู้โฮ่วจึงยอมให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่าเป็นผู้ใดที่เขากำลังปกป้องอ๋องจี้ที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็เอ่ยอย่างเย็นชา "กู้ซีเป็นรองราชองครักษ์ของเสด็จพ่อ หน้าที่ของเขาคือปกป้องจักรพรรดิ มองดูทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วคนที่เขามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือเจ้าแล้วน้องห้า ถ้าบอกว่าเขากำลังต้องการที่จะปกป้องชีวิตคนผิด ก็มีเพียงเสด็จพ่อและน้องห้าเท่านั้นที่คู่ควรให้เขาทำเช่นนี้อวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างเย็นชา "พี่ใหญ่ ท่านเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ช่างหยาบ
เมื่อตอนที่อ๋องจี้ต่อยกลับมาด้วยแรงฮึด ใบหน้าของอวี่เหวินห่าวก็บวมเป่งขึ้นมาแต่ว่าเขาต่อยอ๋องจี้ที่สันจมูก ศีรษะยังมีหน้าแข้งอีกล้วนใช้กำลังภายในชั่วเวลาหนึ่งก็ไร้ร่องรอยดังนั้นมองดูภายนอกแล้วเขาบาดเจ็บน่าเวทนากว่าอ๋องจี้เสียอีกสิ่งสำคัญที่สุดคือจักรพรรดิหมิงหยางเห็นอ๋องจี้ตีคนด้วยพระองค์เองเมื่อสายตาของจักรพรรดิหมิงหยวนหยุดมองอยู่ที่ใบหน้าของอ๋องจี้ อวี่เหวินห่าวกลับโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างฉับไว "เสด็จพ่อ เป็นความผิดของลูกเอง ลูกจะรีบไปตรวจสอบคดีน้องแปดทันทีรอคดีจบไปก่อน แล้วจะไปแสดงความขอโทษต่อพี่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ""เจ้า…" ในหน้าของอ๋องจี้เปลี่ยนเป็นสีม่วงจัดทันทีและโกรธเป็นอย่างมาก "เจ้ากล้าทำแต่เพราะใดจึงไม่กล้ายอมรับ?"อวี่เหวินห่าวประสานมือกลางอก "พี่ใหญ่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรตอบโต้ น้องต้องขอโทษท่านด้วย"อ๋องจี้ไม่คาดคิดว่าอวี่เหวินห่าวจะหน้าไม่อายเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่ท่าทางปกติของเขาแน่นอน โดยปกติแล้วเขาแค่มองอย่างเฉยเมย และไม่เคยใช้แผนการเยี่ยงนี้ในตอนนี้อ๋องจี้โกรธจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ และเขายอมรับผิดโดยดี เป็นที่น่าพอใจทั้งที่ก่อนหน้าบอกว่าจะไปขอโทษอีกครั้งในภายหลั
เสียนเฟยมองเขาอย่างไม่พอใจ "ทำไม? ยังคาดหวังว่ามารดาเจ้าจะป่วยใช่หรือไม่?"นัยน์ตาขออวี่เหวินห่าวมีแสงแวบขึ้นมา "ไม่ได้ป่วยจริง ๆ ใช่หรือไม่? อย่างปิดบังลูก""เอาเถอะ เสด็จแม่ของเจ้ายังกินยังดื่มได้ จะไม่อะไรให้ป่วยล่ะ? เสียนเฟยมองเขาแล้วลดเสียงลงเอ่ยถาม "แล้วฝั่งเจ้าแปดสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? พระชายาของเจ้าทำได้หรือไม่?"อวี่เหวินห่าวเอ่ย "ยังไม่ทราบ แต่หม่อมฉันคาดหวังว่าจะไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ"เสียนเฟยพยักหน้าเอ่ยว่า "ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะไม่ค่อยพอใจคนผู้นี้นัก แต่เจ้าแปดก็น่าสงสาร เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น"ดังนั้นการต่อสู้ก็ไม่ควรที่จะเอาเด็กคนหนึ่งเข้าไปพัวพันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าแปดไม่สามารถที่จะใช้อำนาจใด ๆ คุกคามผู้ใดได้ และทุกคนก็รักและทะนุถนอมเขาอวี่เหวินห่าวเอ่ยปลอบใจ "เสด็จแม่วางใจเถอะพ่ะย่ะค่ะ เขาจะไม่เป็นอะไร"เขาลุกขึ้นยืน "ลูกต้องขอไปดูเขาก่อนพ่ะย่ะค่ะ"เกือบจะแน่ใจได้แล้วว่านี่เป็นหนึ่งในหลุมพราง ขณะนี้มีสองคนที่จะต้องตรวจสอบ คนแรกคือหลี่กงกงที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้กล่าวว่าเสด็จแม่ไม่สบายจึงทำให้เขามาคนที่สองคือซู่ผินสองคนนี้ เริ่มต้นลงมือจากซู่ผินดีที่ส
"ขอบพระทัยพระสนมที่เป็นห่วงบ่าว ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ" นางข้าหลวงสี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มซู่ผินและลี่ผินเห็นว่าเต๋อเฟยเอาแต่พูดคุยกลับนางข้าหลวงสี่ จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวลานางข้าหลวงลุกขึ้นแล้วย่อกายลง "พระสนมทั้งสองเดินทางปลอดภัยเพคะ"ลี่ผินยิ้มเล็กน้อย ส่วนซู่ผินเดินจากไปทันทีนางข้าหลวงสี่เห็นทั้งสองออกไปจากประตูแล้ว ใบหน้าที่ยิ้มก็ค่อย ๆ หายไปนางข้าหลวงสี่กล่าวเสียงเบา "พระสนมเต๋อเฟย มีคำพูดไม่กี่คำที่บ่าวจำเป็นที่จะต้องเอ่ยกับท่านเป็นการส่วนตัวเพคะ ท่านให้คนออกไปข้างนอกเถอะเพคะ"เต๋อเฟยเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของนางจึงกำชับกับแม่นมข้ากาย "เจ้าพาคนออกไปแล้วห้ามผู้ใดเข้ามา"แม่นมรับคำสั่งและจากไปแล้วดึงประตูตำหนักให้ปิดลงเต๋อเฟยมองนางข้าหลวงสี่ "นางข้าหลวง ข้ารู้ว่าท่านมีงานรัดตัวอย่างมาก ถ้าหากมิใช่เรื่องสำคัญท่านก็คงไม่มาตำหนักเต๋อซ่างด้วยตัวเองในคราวนี้ ที่แท้แล้วมีเรื่องอะไรกันแน่?"นางข้าหลวงสี่เอ่ย "พระสนมได้โปรดอย่างเอ่ยเช่นนี้ บ่าวเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะมารบกวนท่านบ่อย ๆ เท่านั้นเพคะ""ข้ายังคงจำบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้ เฝ้าภาวนาให้ท่านมาอย่าได้เอ่ยว่าเป็นการร
หลังจากที่เต๋อเฟยสอบถามจนเรียบร้อย จึงใช้แม่นมไปพาซู่ผินมาประตูใหญ่ของตำหนักเต๋อซ่างถูกปิดสนิท ส่วนซู่ผินคุกเข่าอยู่ด้านในไม่ยอมเอ่ยคำใดเต๋อเฟยมองนางในใจเดือดดาล แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นเด็กน่ารักเฉลียวฉลาด รู้จักคิดแล้วเหตุใดจึงทำผิดพลาดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้?เต๋อเฟยพยายามอดกลั้นความโกรธเอ่ยอย่างเย็นชา "ผู้นั้นเป็นใคร?"ซู่ผินเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้น ในดวงตาที่งดงามนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา "พระสนมไม่จำเป็นต้องถามแล้วประหารหม่อมฉันเถอะเพคะ""เจ้าตายแล้วก็จบเรื่องงั้นรึ?" เต๋อเฟยโกรธจัด "ไม่ว่าข้าก็ถูกเจ้าทำให้เข้าไปพัวพัน คนในตระกูลของเจ้าก็ถูกลงโทษเพราะเจ้า ตอนนี้บิดาและพี่ชายเจ้าล้วนถูกปลดออกจากตำแหน่งราชการแล้ว ผ่านไปสองปีจึงจะสามารถกลับมาเมืองหลวงดำรงตำแหน่งได้ เจ้าต้องการที่จะตัดอนาคตของพวกเขาใช่หรือไม่?"ซู่ผินเอ่ยด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก "ถึงแม้ว่าข้าจะสารภาพผิด บิดาและพี่ชายข้าจะไม่เกี่ยวข้องได้หรือ? ข้าทำให้พวกเขาลำบากอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว ถ้าหากรู้วันนี้ตั้งแต่แรก ให้ตายข้าก็ไม่กล้า""ตอนนี้เสียใจแล้ว มันสายไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือสารภาพความจริงออ
นัยน์ตาของเต๋อเฟยลุกโชนราวกับเปลวเพลิง "แต่งเรื่องได้ดี แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คนโง่"ซู่ผินร้องร่ำไห้ "พระสนม ที่ข้าเล่าไปล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ถ้าไม่ใช่อ๋องฉู่ จะรับสารภาพว่าฆ่าคนได้อย่างไรเพคะ? นั่นเป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดหัวนะเพคะ"เต๋อเฟยรู้ว่าเขานั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าไม่เชื่อคำพูดของซู่ผินนางรู้ว่าไม่สามารถปล่อยให้ซู่ผินเอ่ยวาจาส่งเดชได้ มิเช่นนั้นจะต้องทำให้เจ้าห้าเข้ามาพัวพันเป็นแน่นางมองต่ำลงไปแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้เข้ามา!"ประตูถูกผลักให้เปิดออก แล้วแม่นมก็เดินเข้ามา "พระสนมเชิญท่านรับสั่งเพคะ""นำตัวซู่ผินกลับเข้าไปในตำหนัก ปิดปากนางไว้อย่าให้นางเอ่ยวาจาส่งเดชอีก" เต๋อเฟยกล่าวด้วยความโมโหแม่นมได้รับคําสั่ง นางหันกลับไปหยิบผ้าผืนหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ดึงซู่ผินไว้แล้วยัดผ้าเข้าไปในปากของนางแล้วเอ่ย "พระสนมซู่ผินเชิญเพคะ!"ซู่ผินถูกนำตัวออกไปอย่างรีบร้อนเต๋อเฟยคิดว่าจำเป็นจะต้องไปเข้าพบเจ้าห้าแล้วนางเอ่ยขึ้น "ใครก็ได้ไปเชิญอ๋องฉู่มาพบข้าที่ตำหนัก แล้วบอกว่าข้ามียาบำรุงครรภ์หลายเม็ดจะมอบให้พระชายา""เพคะ!" นางกำนัลรับคำสั่งแล้วออกไปอวี่เหวินห่าวกำลัง
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม