ฮูหยินหยวนยิ้มและกล่าวว่า “พระชายาเชิญตามสบายเถอะเพคะ ที่จริงหญิงมีครรภ์มักไปห้องน้ำบ่อยครั้ง”หยวนชิงหลิงมองลวี่หยาและฉีหลัว “พวกเจ้าทั้งคู่มาประคองข้าที ขาข้ามันอ่อนแรง... ไม่ แค่ชานิดหน่อย นั่งนานไปแล้วเลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยสะดวก”ลวี่หยาและฉีหลัวตัวสั่นงก ๆ ก้าวไปประคองหยวนชิงหลิงเดินออกไป ขาของหยวนชิงหลิงก้าวออกไปอย่างรวดเร็วและทรุดตัวกับผนัง มือนางกุมหน้าอกและสูดหายใจเข้าลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ตกใจหมดเลย ตกใจหมดเลย” นางคิดว่าลูกธนูนั้นเกือบจะบินมาปักหัวนางแล้วในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมอวี่เหวินห่าวถึงบอกว่าฉู่หมิงชุ่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยวนหยงอี้หรอก ใครก็สู้นางไม่ได้อ๋องฉี เจ้านี่ช่างน่าอนาถแท้ หากเจ้ากล้ารังแกหยวนหยงอี้ล่ะก็ ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าคงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้วหยวนชิงหลิงเข้าห้องน้ำกลับมาแล้ว มวยผมก็เกล้าหวีขึ้นเรียบร้อย คุณหนูหยวนพึ่งดึงลูกศรออกจากกำแพงและนำปิ่นที่ติดอยู่ตรงนั้นมาคืน “พระชายา ปิ่นปักผมของท่านเพคะ”หยวนชิงหลิงยิ้มเมื่อเห็นนาง “ข้าให้เจ้า”คุณหนูหยวนร้องอุทานด้วยความดีใจ และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงหรือเพคะ?”“จริงสิ ชอบหรือไม่?” หยวนชิงหลิ
หยวนซื่อเหม่ยที่เป็นคนยิงธนูคุกเข่าลง “ขอพระชายาได้โปรดให้หม่อมฉันได้อยู่ข้างกายด้วยเพคะ อาซื่อจะตั้งใจฟังพระชายาสั่งสอน และจะคอยปกป้องคุ้มครองพระชายาเพคะ”หยวนชิงหลิงใจเต้นแม้ว่าตอนนี้อวี่เหวินห่าวจะสั่งให้ซูยี่อยู่กับนาง แต่ซูยี่เองก็เป็นผู้ชาย บางสถานที่นางไปได้ แต่เขาไปไม่ได้ อย่างพวกงานเลี้ยงของพวกผู้หญิง เขาทำได้เพียงรอข้างนอกเท่านั้น แต่อาซื่อไม่เหมือนกัน อาซื่อสามารถเข้านอกออกในได้แต่ว่าอาซื่อเป็นคุณหนูตระกูลหยวน ชื่อเสียงของนางจะเป็นอย่างไรถ้าอยู่จวนอ๋อง? คนข้างนอกจะไม่พูดจาเหลวไหลเลอะเทะหรือ?นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “พระชายา ตอนท่านตั้งครรภ์มักจะคิดมาก ท่านต้องการหญิงสาวสดใสร่าเริงอยู่ข้างกาย หากท่านชอบคุณหนูอาซือจริง ๆ ก็ให้นางพักในจวนกับท่านสักสองสามเดือนดีไหมเพคะ?”ได้ยินนางข้าหลวงสี่แนะนำ หยวนชิงหลิงรู้ว่านางข้าหลวงสี่ชอบใจเรื่องพวกนี้ จึงยิ้มและกล่าวกับอาซื่อว่า “เช่นนั้น เจ้าก็มาอยู่ข้างกายข้า มาอยู่เป็นเพื่อนข้าคุยกับข้าเป็นบางครั้งบางคราว คลายเบื่อเถอะนะ”อาซื่อพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เพคะ ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ!”อาซื่อได้รับสายตาอิจฉาจากพวกพี่น้องของนา
หยวนชิงหลิงรินน้ำให้อวี่เหวินห่าวแก้วหนึ่ง และถามด้วยความสงสัยว่า “ที่จริงข้าเองก็ไม่เข้าใจมากนัก ข้ากับฮูหยินหยวนเองก็เหมือนพบกันโดยโชคชะตา พวกนางทั้งครอบครัวทำไมถึงกระตือรือร้นกับข้านัก?”อวี่เหวินห่าวพูดอธิบาย “ฮูหยินเฒ่าเกิดมาจากคนในยุทธภพ ลูกสะใภ้ของนางเองส่วนมากก็มาจากยุทธภพ พวกนางเป็นคนของยุทธภพล้วนซื่อสัตย์ รักความยุติธรรมและรักคุณธรรมเป็นที่สุด เจ้าตอนที่อยู่นอกเมืองในเหตุการณ์นั้น ไม่สนสถานะ ไม่สนว่าจะสกปรกเลอะเทอะแค่ไหน ช่วยคนจำนวนมากมายไว้ ในสายตาของพวกนางย่อมต้องชื่นชมเจ้าเป็นธรรมดา”“นี่มันน่ายกย่องขนาดนั้นเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึง ยกย่องในเรื่องที่ธรรมดาขนาดนี้เชียวหรือ? ในใต้หล้านี้คนทำดีก็มีไม่น้อย“พวกนางเข้าใจมองคน คน ๆ หนึ่งไม่ว่าจะมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแค่ไหน พวกนางล้วนมองออก สิ่งที่เจ้ากระทำวันนั้น มันบริสุทธิ์มาจากใจ ไม่ได้หาผลประโยชน์ใส่ตัวแม้แต่น้อย จึงย่อมควรค่าแก่การยกย่อง”หยวนชิงหลิงกระพริบตา “คำพูดพวกนี้ท่านคาดเดา หรือว่าในใจท่านคิดเช่นนี้จริง ๆ”อวี่เหวินห่าวมองนางและถอนหายใจออกมา ก้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงมา “คนตาบอดเท่านั้นที่มองไม่เข้าใ
แรกเริ่มหยวนชิงหลิงอยากจะไปคารวะเซียวเหยากงมาก ดังนั้นหลังจากอาซื่อออกไปแล้ว นางจึงกล่าวขอว่า “หาวันว่างสักวัน พวกเราไปคารวะเยี่ยมเยือนเซียวเหยากงสักหน่อยนะเพคะ”อวี่เหวินห่าวขัดขืนปฏิเสธไปโดยทันที “ไม่ไป!””“ข้าไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เซียวเหยากงเป็นคนดี ท่านทำไมถึงจงเกลียดจงชังเขานัก?”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ว่า “ใครบอกว่าข้าเกลียดเขากัน? ข้าแค่ไม่อยากเจอเขาเท่านั้น”“ทำไมกัน?” หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจ“ทำไมเจ้าถึงอยากพบเขาขนาดนี้?” อวี่เหวินห่าวก็ไม่เข้าใจ ก็แค่ตาแก่คนนึง แถมยังเป็นตาแก่นิสัยไม่ดีมีอะไรน่าพบ?หยวนชิงหลิงกล่าว “ข้าเองอยากถามเขา มันเป็นเรื่องสำคัญ”“ต้องถามให้ได้รึ?”มันคล้ายเหมือนว่าเขาเองก็มาจากที่เดียวกัน จึงต้องถามให้จงได้ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นอวี่เหวินห่าวจึงทำได้แค่ยอมและกล่าวว่า “งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะหยุดงาน ข้าสั่งให้คนไปเขียนเทียบลาก่อน”หยวนชิงหลิงกอดเขา หอมเขาไปทีหนึ่ง และยิ้มอย่างร่าเริง “ขอบคุณนะ!”ในตอนนั้นอวี่เหวินห่าวคิดว่ามันคุ้มค่าเหลือเกินวันรุ่งขึ้นยามเช้า อวี่เหวินห่าวก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าเขาสั่งให้ซูยี่หยิบชุดเก
เทียบเชิญได้ส่งมาถึงจวนของเซียวเหยากงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ลูกสะใภ้ของเซียวเหยากง ฮูหยินเหลียงก็ได้มาเตรียมการต้อนรับด้วยตัวเอง รถม้ามาถึงแล้ว ฮูหยินเหลียงได้พาครอบครัวออกไปต้อนรับด้านหน้า“คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา!” ฮูหยินเหลียงยิ้มทำความเคารพ คนในบ้านก็ล้วนทำความเคารพเช่นกันหยวนชิงหลิงมองฮูหยินเหลียง พบว่าวันนี้นางสวมชุดผ้าไหมสีแดงลายเมฆดำ บนมวยผมปักปิ่นหยกม่วงทองคำ ให้ความรู้สึกโดดเด่นยิ่ง เมื่อดูจากวันนั้นที่นอกเมืองแล้วดูไม่เหมือนกันสักนิด เห็นได้ชัดว่านางเจตนาให้เป็นแบบนั้นเพื่อให้เกียรติ หยวนชิงหลิงยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยินไม่ต้องมากพิธี”ฮูหยินเหลียงมองอวี่เหวินห่าวที่สวมชุดเกราะก็อดขำไม่ได้ “ท่านอ๋อง ถึงขนาดนี้เชียวหรือเพคะ!”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างหดหู่ “ระวังไว้ก่อนเป็นการดี”หยวนชิงหลิงมองทั้งคู่ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?ฮูหยินเหลียงยิ้มและเชิญคู่สองสามีภรรยาเข้าไปในจวน จวนเซียวเหยากงกว้างขวางมาก มองดูแล้วน่าจะมีพื้นที่สักประมาณสิบกว่าตารางกิโลเมตรได้ ลานกว้างด้านหน้าคือสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ปลูกพืชพรรณไว้หลากหลายชนิด ตอนนี้เริ่มเข้าช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาว มีดอกไม้
ฮูหยินเหลียงลุกขึ้น “ท่านพ่อ ท่านอ๋อง และพระชายามาถึงแล้วเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็อดตกใจไม่ได้ ท่านปู่ที่แบกมูลกวางคนนี้ก็คือ เซียวเหยากงนางรีบลุกขึ้นย่อตัวคารวะ “คารวะ ผู้อาวุโส”เซียวเหยากงมองนางแล้วจึงเลิกคิ้วหนานั้นขึ้น และหัวเราะเล็กน้อย “ท่านเป็นพระชายาคาวระคนแก่อย่างข้ามันไม่เหมาะสม รีบนั่งลงเถิด”หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจึงคารวะท่าน” พระชายามันไม่มีอะไรเลย ก็แค่ตำแหน่งที่มีเกียรติน่ายกย่อง ถ้าเรื่องของกำลัง คนอื่นถือว่าทิ้งห่างนางไปหลายช่วงตึก ต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ นางไม่เกรงใจไม่ได้หรอก“เจ้าเป็นสาวน้อยที่อยู่เป็นจริง ๆ” เซียวเหยากงพูดและตบมือให้นาง สายตาของเขาจ้องมองไปทางใบหน้าของอวี่เหวินห่าว และหยอกล้อเขา “เจ้าห้าน้อย ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนาน ยังกลัวข้าแกล้งเจ้าดีดป๊อก ๆ อยู่หรือ?”ใบหน้าของอวี่เหวินห่าวดูไร้ความรู้สึกไปเลย “ท่านผู้อาวุโสเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง อย่าทำให้คนไม่เคารพและหัวเราะเลย”เซียวเหยากงนั่งลง ยกขาวางลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก คราบสีดำ ๆ นั้นดูเหมือนว่าเป็นโคลน ดูเหมือนว่าเขาไปดำนามา “เรื่องอาวุโสแก่แล้วค
น้ำเสียงของเขาทั้งโกรธและผิดหวังมาก หยวนชิงหลิงกุมมือเขา และพูดเสียงเบาว่า “เขาสร้างผลงานกลับมา ตอนนี้ยังได้แต่งงานกับบุตรีตระกูลฉู่เป็นพระชายารองอีก จึงเป็นที่โปรดปราน บางทีเสด็จพ่อคงจะพอพระทัยอยากให้เขาเป็นองค์รัชทายาท”คนที่ทำร้ายพี่น้องเช่นนี้ ทำไมฮ่องเต้ถึงเลือกเขาได้? หยวนชิงหลิงไม่เข้าใจเลยอวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเย็นชา “บางทีเสด็จพ่อต้องการปกป้องเขา ข้าจะลากไส้เน่า ๆ ของเขาออกมาให้ทุกคนได้เห็น ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นรัชทายาท แต่ต้องไม่เป็นเขา”หยวนชิงหลิงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย “ถ้าเสด็จพ่อพอพระทัยเขาจริง ๆ ท่านทำแบบนี้จะเป็นการขัดต่อเจตนาเดิมของเสด็จพ่อ เกรงว่า...”แววตาอวี่เหวินห่าวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และกล่าวว่า “เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เรื่องนี้ถ้าเสด็จพ่อไม่ตรวจสอบ เขาจะยิ่งเหย่อหยิ่ง ได้คืบจะเอาศอก เจ้าคิดว่าข้างกายเสด็จพ่อเขาไม่มีหูตาอยู่หรือ? เซียวเหยากงถวายฎีกาเรื่องนี้ เขาย่อมต้องรู้แน่นอน ทุกวันนี้เขาหนีบหางไว้แน่นไม่กล้าสร้างปัญหา เจ้าเองคิดว่าเพราะเรื่องสร้างผลงานได้รับความดีความชอบจึงได้เงียบหายไป คิดไม่ถึงเลยว่าเพราะเรื่องนี้”เขาพูดจบก็มองห
หลังจากให้ถังหยางออกไปสำรวจแล้ว อวี่เหวินห่าวเริ่มวางแผนจัดการ ตั้งแต่ค่ำยันเช้าก็ไม่ได้กลับจวน หยวนชิงหลิงก็หลับไปแต่หัวค่ำแล้วหลังจากเขาอาบน้ำเสร็จแล้ว จึงย่องเข้าไปนอน มองดูหยวนชิงหลิงที่นอนหลับลึกไปแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะจูบนาง และนอนตะแคงอยู่ข้างนางเขานอนไม่หลับเขารู้สึกเศร้าใจยิ่งนักกับสิ่งที่เสด็จพ่อทำ ทำให้เขาลำบากเหลือเกินเขาไม่สนใจตำแหน่งรัชทายาท เขาสนแค่ท่าทีของเสด็จพ่อเหตุการณ์ลอบสังหหารคราวนั้น เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังถูกกล่าวหาว่าจ้างมือสังหารมาลอบสังหารตนเองอีกวันนี้เซียวเหยากงหาหลักฐานได้ เสด็จพ่อไม่แม้แต่จะฟังหรือถามไถ่ และไม่สนใจมันด้วยซ้ำหลายปีมานี้ ในใจเขามีแค่ราชสำนักและเสด็จพ่อเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้เพื่อคุณงามความดี ไม่ได้ต่อสู้เพื่อความโปรดปราน แค่อยากทุ่มเทช่วยงานราชสำนักสักเล็กน้อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ แต่ผลที่ได้ในวันนี้ทำให้เขารู้สึกยากที่จะยอมรับอยู่บ้างนอกจากความท้อแท้แล้ว ในใจยังมีความโศกเศร้าและโกรธแค้นการหาความผิดของอ๋องจี้ครั้งนี้ พูดตรง ๆ ว่าไม่สามารถรับความไม่ยุติธรรมนี้ได้เขาที่นอนตะแคงมองหยวนชิงหลิงที่นอนหลับสนิท เขาลอบถ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม