เหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้ว "ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านางขี้หึงหวงและจิตใจคับแคบเช่นนี้ เพื่อประโยชน์ของทารกในครรภ์เจ้าอย่าได้ทำให้นางโกรธเคือง นางอดทนสักปีครึ่งจะดีที่สุด รอคลอดเด็กออกมาก่อน ย่าจะช่วยเจ้า ภรรยาสามอนุสี่เจ้าจะขาดไม่ได้"อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าเขาควรจะออกจากวังให้เร็วที่สุด ก่อนจะพูดออกไปว่าสามภรรยาสี่อนุยังน้อยไปหรืออวี่เหวินห่าวกลับถึงจวน หยวนชิงหลิงเพิ่งดื่มซุปและอาเจียนออกมาฮ่องเต้รับสั่งให้แพทย์หลวงมาตรวจแล้ว ทารกในครรภ์ไม่ค่อยแข็งแรง เขาบอกอวี่เหวินห่าวให้จัดยาตามใบสั่งทุกวันและดื่มทุกวัน ส่วนเรื่องทานไม่ได้แพ้ท้องไม่มีวิธีแก้ สามารถทานได้เท่าไรก็ทานแค่นั้นอวี่เหวินห่าวมองหน้าหยวนชิงหลิงที่เปลี่ยนเป็นเหมือนสีของผักโขมก็รู้สึกปวดใจ เขากอดนางไว้และไม่เต็มใจที่จะไปที่สำนักผู้ตรวจการหยวนชิงหลิงไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เธอวางศีรษะลงบนตักของเขา ใบหน้าของเธอยุ่งเหยิงและพูดเสียงแผ่วเบา "ข้าไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่วันสองวันแล้ว ก่อนนี้ไม่เคยอาเจียนมาก่อน แต่จู่ ๆ ก็มาอาเจียนหนักมาก"อวีเหวินห่าวเกี่ยวผมเธอออก แล้วเอ่ยอย่างทุกข์ใจ "เจ้าดูในกล่องยามียาหรือไม่? ทำให
เมื่อหยวนชิงหลิงขึ้นมาบนเตียง เธอรู้สึกราวกับว่าได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่งตื่นมาตอนเช้าวิงเวียนเหมือนกับว่าโลกหมุน จากนั้นก็อาเจียนอย่างหนักหมอหลวงถูกเชิญเข้ามา เธอเอ่ยถามอย่างอ่อนแรง "ทำไมข้าถึงแพ้ท้องหนักขนาดนี้?"หมอหลวงเฉากล่าว "พระชายา ร่างกายของท่านได้รับบาดเจ็บมากเกินไป รวมกับความกังวลเมื่อคืนวานก่อนที่จู่โจมหัวใจ ลมปราณตับอุดกั้น ทำให้เลือดลมปราณไหลผ่านไม่ได้ทำให้อึดอัด รอให้ท่านปรับตัวสักเล็กน้อยจากนั้นก็จะดีขึ้นมากพ่ะย่ะค่ะ""รีบรักษาข้า ยาอะไรก็ดี ข้าอยากหยุดอาการเวียนศีรษะ หยุดอาเจียน…" หยวนชิงหลิงแม้แต่แรงจะลืมตาต่อไปก็ไม่เหลือแล้วอวี่เหวินห่าวกังวลมากจึงดึงมือหมอหลวงออกไป "ท่านไม่มีใบสั่งยาที่ดีกว่านี้รึ? ไทเฮาประทานอาหารบำรุงมาให้มากมาย ท่านให้นางใช้สิ"หมอหลวงเฉาพาอวี่เหวินห่าวออกห่างไปอีกหน่อยแล้วถอนหายใจ "ท่านอ๋อง เอ่ยตามตรง วันนี้ข้าได้ปรึกษากับหมอหลวงใหญ่ พระชายาตั้งครรภ์คราวนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก ร่างกายของพระชายายังไม่หายดี เมื่อพระชายาได้รับยาต้มจื่อจินครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วันต้องได้รับยาต้มเจี๋ยนั้นเพื่อข่มความเย็นของยาต้มจื่อจิน ตอนนี้มันพลุ่งพล่านอ
จิ้งโฮ่วเห็นใบหน้าที่ย่อท้อของพวกนางก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ "ทำไมเร็วขนาดนี้? ไม่อยู่รอพวกนางทานข้าวรึ?"หวางซรื่อเอ่ยด้วยความหงุดหงิด "รออะไร? เข้าไปวางของลงจากนั้นก็ให้กลับแล้ว บอกพระชายาฉู่พักผ่อนไม่ต้องการพบใคร""ยังถือยศถืออย่างรึ? เจ้าผู้หญิงหัวดื้อคนนี้!" จิ้งโฮ่วเกรี้ยวกราดหวางซรื่ออธิบายว่า "ไม่เชิงว่าถือยศถืออย่าง ข้าเห็นพระชายาและเหล่าองค์หญิงเข้าไปแล้วก็ยังไม่ได้พบ ข้าได้ยินมาว่าทารกในครรภ์ไม่ค่อยแข็งแรง หมอหลวงให้พักผ่อนให้มาก อ๋องฉู่สั่งห้ามโดยเด็ดขาด ห้ามใครเข้าพบ"ทารกในครรภ์ไม่แข็งแรง? จิ้งโฮ่วรู้สึกกลัวใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน "ทารกในครรภ์ไม่แข็งแรงได้เยี่ยงไร? ถามแล้วหรือไม่?""ถามใครเล่า? ถามหนึ่งสามไม่รู้" หวางซรื่อโมโหไม่เบา "อ๋องฉู่ก็เช่นกัน อย่างไรข้าก็เป็นแม่ยายของเขา เย็นชาเยี่ยงนี้คราวหลังก็ไม่ไปแล้ว"จิ้งโฮ่วโกรธเคือง "หุบปาก อ๋องฉู่เย็นชาแล้วเจ้าจะอย่างไร? เจ้าจะไม่อดทนรึ? เขาคือชินอ๋องผู้สง่างาม แม้เขาจะเรียกเจ้าว่าแม่ยายเจ้าก็ต้องแยกแยะความแตกต่างของชนชั้นด้วย"หวางซรื่อถูกว่าสองสามคำก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดแล้วฮูหยินรองเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา "พี่ห
เหล่าไท่ไท่ไม่ได้สนใจฟัง นางบอกให้แม่นมซุนไปเตรียมการจิ้งโฮ่วคิดว่าเหล่าไท่ไท่คิดถึงอนาคตของเขาอย่างแน่นอน จึงไม่ได้ย้ำอีก แล้วขอตัวออกไปนางคาดเดาจิ้งโฮ่วได้ถูกต้องจริง ๆคนของจวนจิ้งโฮ่วไปถึง อวี่เหวินห่าวห้ามให้นางพบ แต่รู้ว่านางห่วงใยเหล่าไท่ไท่และคราวนี้เหล่าไท่ไท่ก็มาด้วยตนเองพร้อมอาการป่วย จะไม่พบไม่ได้แล้วเขาออกไปเชิญด้วยตัวเอง และแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมถือให้เกียรติท่านย่าเหล่าไท่ไท่เห็นเจ้าของจวนออกมาด้วยตัวเอง เป็นมารยาทที่นางเข้าใจ นางวางบนมือของอวี่เหวินห่าวแล้วเอ่ยว่า "ท่านอ๋องไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น"ท่านย่าของอ๋องฉู่คือไทเฮาองค์ปัจจุบัน หากเป็นญาติสนิทมิตรสหายก็มิได้ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ แต่กฎเกณฑ์นั้นเหมาะสม ดังนั้นก็ควรปฏิบัติตามส่วนเสียงนี้ อวี่เหวินห่าวได้ตะโกนออกมาแล้ว นางไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีกมิฉะนั้นจะกลายเป็นเมินเฉยอวี่เหวินห่าวมองด้วยรอยยิ้มแล้วจึงเชิญเข้าไป หยวนชิงหลิงได้ยินว่าเหล่าไท่ไท่มาถึงแล้วก็ลุกขึ้นนั่งอวี่เหวินห่าวรีบเข้าไปกดไว้ "ไม่ต้องลุกขึ้น นอนลงก็ดีแล้ว เหล่าไท่ไท่ไม่ใช่คนนอก"หยวนชิงหลิงบ่นพึมพำ "ข้านอนจนเอวจะหักแล้ว""รอท่านย่าเ
หยวนชิงหลิงพยายามรั้งนางให้นางอยู่รับอาหารมื้อค่ำ แต่นางกล่าวอย่างชัดเจนว่าจะกลับไปเร็วหน่อย บอกว่านางป่วยหนัก ไม่ควรอยู่นานเกินไปเหล่าไท่ไท่ไม่สามารถลังเลได้ ทำได้เพียงให้นางข้าหลวงสี่ไปส่งนางออกจากประตูแล้วเหล่าไท่ไท่แสดงความขอบคุณนางข้าหลวงสี่ "หลานสาวคนนี้ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก ไม่รู้จักทำอะไรเพื่อคนอื่นยังต้องให้ท่านดูแลอีกมาก"นางข้าหลวงสี่ตกใจรีบเข้าไปผยุงเหล่าไท่ไท่ไว้ "ท่านหญิง ท่านไม่ต้องสุภาพกับบ่าว บ่าวรับไว้ไม่ไหวท่านโปรดวางใจพระชายาดีต่อบ่าว บ่าวจะต้องดูแลนางเป็นอย่างดี""เยี่ยงนั้นก็ต้องขอบคุณท่านมากแล้ว ท่านเป็นคนของวัง มีความรู้มาก รู้เท่าทัน เป็นคนสุขุม มีท่านคอยดูแล ข้าก็วางใจแล้ว" เหล่าไท่ไท่กล่าวแม่นมซุนและคนขับรถม้าช่วยเหล่าไท่ไท่ขึ้นมาบนรถม้าแล้วเมื่อกลับมาถึงจิ้งโฮ่วจวน จิ้งโฮ่วรีบออกมาช่วย "ท่านแม่ได้พบนางหรือไม่?"เหล่าไท่ไท่เซเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเล็กน้อย "ได้พบแล้ว"จิ้งโฮ่วดีใจ "แล้วพบท่านอ๋องหรือไม่?"แม่นมซุนตอบแทน "ท่านโฮ่ว ท่านอ๋องออกมาต้อนรับเหล่าไท่ไท่ด้วยตัวเอง"จิ้งโฮ่วยิ่งดีใจ "เยี่ยงนั้นก็ดีมาก ดีจริง ๆ"ฮูหยินรองได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก
ของขวัญจากพระชายาจี้และพระชายาฉีก็ส่งมาถึงแล้วพระชายาจี้ส่งหยกเจ้าแม่กวนอิมอุ้มเด็กที่แกะสลักอย่างสวยงามและประณีตมาก มันเป็นของชั้นดีที่คุ้มค่ากับเงินจํานวนไม่น้อย คราวนี้พระชายาจี้ลงทุนอย่างหนักยอมเสียเลือดอย่างมากนางสามารถมอบของขวัญชิ้นสําคัญให้กับนางได้ หยวนชิงหลิงไม่แปลกใจเลย พระชายาจี้ให้ความสำคัญกับหน้าตาจึงต้องทำให้ดีที่สุดเสมอเมื่อเทียบกันแล้ว ของขวัญที่ฉู่หมิงชุ่ยส่งมาของพระชายาฉีค่อนข้างทรุดโทรมไปหน่อยเป็นรากโสมสองต้นยังมีตังกุยบางชนิดอีกฉู่หมิงชุ่ยมีการปฎิบัตที่เป็นรูปธรรมไม่ทำเพื่อศักดิ์ศรี นางไม่ชอบหยวนชิงหลิง และไม่อยากเห็นเธอตั้งครรภ์ ส่งของเหล่านี้มาอาจจะเป็นคนรับใช้ในจวนที่เป็นคนรับผิดชอบจัดหามาให้ท้ายที่สุดก็เป็นพี่สะใภ้ ถ้าไม่ส่งอะไรมาเลย ไม่สนใจไม่ถามไถ่ก็จะดูตระหนี่และคับแคบเกินไปถึงจะส่งอาหารหรือยาบำรุงมา ก็รู้ว่าพระชายาฉู่ก็ไม่สามารถกินได้ เยี่ยงนั้นก็ไม่จำเป็นต้องจัดการให้ดีนักนางข้าหลวงฉีจัดหาสถานที่จัดวางเจ้าแม่กวนอิมอุ้มเด็ก แต่ว่าเมื่อเช็ดจึงพบว่าด้านหลังของเจ้าแม่กวนอิมอุ้มเด็กมีรอยร้าวอยู่รอยแตกนี้ไม่ชัดนักถ้าไม่สังเกตก็คงคิดว่าเป็นลายเส้
ประโยคหนึ่งก็ประตูผี คำหนึ่งก็ความตายคนฟัง ฟังแล้วรู้สึกตื่นตระหนกพระชายาจี้อยู่ข้างในก็ได้ยิน ใบหน้าของนางแข็งค้าง แต่นางก็กลับฝืนยิ้มออกมาก็นั่งลงบนเตียงและพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าอวี่เหวินห่าวเข้าไปแล้วก็พบพระชายาจี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว ด้วยท่าทีที่ไม่สบาย และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "น้องห้ามาหรือ?"อวี่เหวินห่าวจ้องมองนางแล้วเอ่ยว่า "พี่สะใภ้ ข้าต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนการพักฟื้นของท่าน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ต้องมาสอบถามพี่สะใภ้อีกครั้ง และขอพี่สะใภ้ได้โปรดอย่าปิดบัง"พระชายาจี้เอ่ย "ไม่เป็นไรฟังจากน้ำเสียงน้องห้า ข้าเป็นคนกำลังจะตายแล้ว จึงไม่มีอะไรจะต้องปิดบัง"อวีเหวินห่าวมองหน้านางอย่างเย็นชา นึกถึงว่านางส่งเจ้าแม่กวนอิมนั้นไปให้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า "พี่สะใภ้อย่าได้ท้อแท้ โรคนี้ไม่อาจถึงตายฟังจากท่านหมอ แค่ต้องทานยาเป็นประจำอาจจะสองสามปี"พระชายาจี้นัยน์ตาสั่นไหวไปด้วยความโกรธ ในมือก็บีบถ้วยกระเบื้องสีขาวจนซีดขาวเห็นข้อกระดูก "น้องห้ายังไม่ได้เอ่ยว่ามาเพราะเหตุอันใดกัน?"อวี่เหวินห่าวเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยด้วยที่หน้าจริงจังเป็นทางการ "เป็นเช่นนี้ เมื่อวันก่อนข้
อวีเหวินห่าวถามสาวใช้ตัวน้อย "เจ้าแม่กวนอิมอุ้มลูกนั้นมีรูปร่างอย่างไร? เป็นสีอะไร?"สาวใช้ตัวน้อยที่กลัวจนร้องไห้ เมื่อครู่เมื่อถูกอวี่เหวินห่าวถาม และนางไม่รู้ก็ลังเลในสมองว่างเปล่าลิ้นก็ติดพัน "คือ...คือบ่าว บ่าวจำไม่ได้แล้วน่าจะเป็นหยกสีขาวเจ้าค่ะ"อวี่เหวินห่าวยิ้มเยาะ แล้วมองพระชายาจี้ "พี่สะใภ้ ในสายตาของท่านข้าคงดูเป็นคนโง่ที่สามารถหลอกได้ตามใจ"ดวงตาของพระชายาจี้หรี่ลง "น้องห้าเอ่ยเยี่ยงนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?"ไม่มีความหมายอันใด เยี่ยงนั้นเรามาสอบสวนคดีกันต่อเถอะ" อวี่เหวินห่าวหมุนตัวดวงตาของพระชายาจี้เย็นชาขึ้น นางกำมือแน่นแล้วค่อย ๆ คลายออก"แม่นมฉีท่านรู้ความผิดใช่หรือไม่!" พระชายาจี้ตะวาดเสียงดังนางข้าหลวงที่กำลังทุบตีสาวใช้ตัวน้อยอยู่คุกเข่าลงสีหน้าซีดเผือดนางข้าหลวงคนนี้เป็นคนที่พระชายาจี้ให้ติดตามมาด้วยตั้งแต่เมื่อนางแต่งงาน จึงใกล้ชิดกับพระชายาจี้มากไม่ว่ามีความคิดอะไรนางล้วนเข้าใจคราวนี้ไม่รอให้พระชายาจี้เอ่ยคำ ก็ตะโกนเสียงดัง "องครักษ์ของจวนนี้อยู่ที่ใด?"มีคนเข้ามาสองคน "อยู่นี่ขอรับ!"อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างเย็นชา "นำนางข้าหลวงฉีออกไป แล้วโบยสามสิบไ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม