สิ้นประโยคใบหน้าที่ยิ้มพรายแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกมิอาจกักเก็บความรู้สึกได้อีกต่อไป
“เสด็จแม่หมายความว่ายังไงนะเพคะ” ร่างเล็กยืนตัวสั่น ผินหน้าสลับไปมาระหว่างก้อนเนื้อกลิ่นเหม็นเน่า และพระมารดาของนาง
“เด็กดี” รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องปฏิเสธ หลี่หย่าถิงชื่นชอบสีหน้าเช่นนั้นของบุตรสาวเสียจริง สิ้นหวัง เคียดแค้น และเจ็บปวด “ลูกสาว...ที่ล้ำค่าของข้า เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ ข้าเองก็ปฏิบัติตนเป็นมารดาที่ดี มอบบุรุษให้เจ้าหนึ่งคน”
“เสด็จแม่ ละ...ลูกไม่ต้องการ” นางกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยพูดให้นางได้คือเสด็จพ่อ เวลานี้มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้น
คล้ายกับรู้อยู่แล้วว่า บุตรสาวที่แสนน่ารักของตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ราชบุตรเขยไม่อยู่น่ะ ได้ยินว่า เสด็จพ่อของเจ้าออกไปบำเพ็ญพรตที่ภูเขาเซียน แต่อย่าเป็นห่วงไปเลยเด็กดี” นางจับเส้นผมของหลี่จื้อฉิงมาม้วนเล่น จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นการใช้กรงเล็บ ไล่จิกไปที่หนังศีรษะของบุตรสาว “หรือเจ้าไม่ชอบของขวัญที่แม่มอบให้” น้ำเสียงของหลี่หย่าถิงที่กล่าวกับบุตรสาวนั้นเยือกเย็นจับใจ
“เสด็จแม่ หม่อม...ฉัน...” คนตัวเล็กปรายตาจ้องมองไปที่ก้อนเนื้อเน่าเหม็นที่จับจ้องมาที่นาง แววตาเต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยาม
“ข้าให้เจ้าเลือกระหว่าง แต่งงานอยู่กินกับสามีที่แม่หาให้ หรือว่า... ให้ข้าส่งบิดาของเจ้าไปสวรรค์ เจ้าไม่อยากพบหน้าบิดาของเจ้าแล้วหรือ จือจือน้อยของแม่จะเป็นเด็กอกตัญญูงั้นหรือ”
แน่นอนว่านางย่อมต้องเลือกชีวิตของบิดา เขาเป็นผู้เดียวที่ดีต่อนาง นางมิอาจทำให้เขาต้องเดือดร้อนไปด้วยได้ จนถึงเวลานี้นางเริ่มเชื่อข่าวลือที่บอกว่าตนนั้นไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ขององค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงผู้นี้แล้ว แววตาและการแสดงออกต่าง ๆ นานา ในช่วงเวลาที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งความห่วงใย
“เพคะ หม่อม...ฉันจะแต่งงาน หม่อมฉันจะแต่งงานกับเขา”
มือที่จิกศีรษะของหลี่จื้อฉิงถูกคลายออก ร่างเล็กถูกผลักให้ไปนั่งเคียงข้างก้อนเนื้อเหม็นเน่า กลิ่นที่ลอยโชยออกมาจากตัวของบุรุษที่นั่งข้างกายนางเหม็นจนนางรู้สึกคลื่นเหียน
เจ้าก้อนเนื้อตัวเหม็นถูกบังคับให้กราบไหว้ฟ้าดินพร้อมกับสตรีตัวร้าย หลี่จื้อฉิงมองบุรุษที่หาความงามไม่ได้อย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ทั้งสองคนถูกพาตัวกลับไปที่เรือนไข่มุกอันเป็นที่พำนักของหญิงสาว เมื่อมาถึงพบว่า ห้องของนางถูกประดับด้วยอักษรมงคล บนเตียงนอนของนางมีผ้าแพรสีขาววางเอาไว้บนนั้น นางอายุไม่น้อยแล้วย่อมรู้ดีว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด
“ท่านหญิง องค์หญิงบอกว่า ขอให้ท่านและท่านเขยใช้ค่ำคืนนี้อยู่ด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ” ตรวนในมือของก้อนเนื้อเหม็นเน่าถูกราชองครักษ์ปลดออกทั้งหมด โดยมิได้สนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับสตรีตัวเล็กที่อยู่ด้วยกันหรือไม่
สิ้นประโยคทุกคนตรงนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปยืนห่างไกล
เมื่ออยู่กันตามลำพังหลี่จื้อฉิงก็เริ่มเปิดปากสนทนากับเขา
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเดินเข้ามา” นางชี้นิ้วออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ
“...” เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปใกล้สตรีเช่นนาง จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากหน้าประตูนัก
ชายหนุ่มประเมินสถานการณ์ เขาอยากรู้ว่า ลูกสาวของหลี่หย่าถิงจะเก่งกาจเพียงไหน แต่ดูท่าแล้วคงเป็นสตรีธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์ ขอแค่เพียงเขาแย่งชิงกำไลที่อยู่บนข้อมือนางมาได้ แม้นจะต้องตัดแขนตัดขานางเขาก็จะทำ
“เจ้าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว” นางอุดจมูก พยายามจุดกำยานเพื่อให้กลบกลิ่นที่ลอยโชยออกมาจากตัวเขา
“...” เขาไม่ได้ตอบ ทำแค่เพียงแสยะยิ้มเท่านั้น
“ข้าถามทำไมไม่ตอบ” คนตัวเล็กหันไปโวยวาย
“เมียจ๋า...คืนนี้เรามาสนุกกันเถอะ” ท่าทางดุร้ายราวกับนางสิงห์ ไช่เสิ่งเจี๋ยจู่ ๆ ก็มีความคิดอยากจะกลั่นแกล้งนาง
กาน้ำชา ข้าวของที่นางพอจะหยิบฉวยได้ถูกเขวี้ยงใส่บุรุษที่ตัวเหม็น
“ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไม่เป็นภรรยาเจ้า” หลี่จื้อฉิงโวยวาย มันต้องมีวิธีที่จะทำให้นางผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ คนตัวเล็กคิดหากลอุบาย
เจ้าก้อนเหม็นเน่าเดินเข้ามาใกล้นางยิ่งขึ้น คนตัวเล็กย่นจมูก ทำจมูกฟุดฟิดราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง สายตามองไปยังโถกำยานกลิ่นควันลอยฟุ้งในอากาศ
“กำยานปลุกกำหนัด” ร่างเล็กทรุดตัวลงกับพื้น พวงแก้มขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ที่แท้ไม่ใช่แค่อักษรมงคลเท่านั้น หลี่หย่าถิงยังใช้กำยานปลุกกำหนัดหมายจะให้นางร่วมหอกับเขาคืนนี้ให้ได้
หญิงสาวมองไปที่ชายตัวเหม็น ท่าทางเขาไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น กำยานชนิดนั้นคงจะใช้ได้ผลกับนางแค่เพียงคนเดียว
“หลี่หย่าถิงคนสารเลว” เขาสบถออกมาก่อนจะมองไปที่ก้อนเนื้อสีขาวที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น “ท่านหญิงจื้อฉิง ท่านเป็นบุตรสาวของนางจริง ๆ หรือ” ชายหนุ่มปรายตามองแล้วถามคำถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“หุบปากของเจ้าเสีย” คนตัวเล็กชี้หน้าของอีกฝ่าย ร่างกายร้อนรุ่มประดุจถูกเปลวไฟแผดเผา “มันต้องมีวิธี มันต้องมีวิธี” หลี่จื้อฉิงพึมพำ
“อ้อนวอนข้าสิ อ้อนวอนขอร้องให้ข้าช่วย” ไม่มีใครต้านฤทธิ์ของกำยานนี้ได้ ยกเว้นเขาที่ถูกวางยาพิษสารพัดชนิดมาตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งโลหิตของเขายังมีคุณสมบัติในการต้านทานพิษทุกชนิด ขอแค่เพียงนางอ้อนวอน อ้อนวอนเขา
“ข้าไม่ขอร้องคนชั้นต่ำเช่นเจ้า” หลี่จื้อฉิงบริภาษ
พิษกำยานเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะต้องต่อสู้กับการถูกวางยา อีกทั้งยังต้องทำให้เสด็จแม่เชื่อว่า นางร่วมรักกับเขาไปแล้วในคืนนี้ หัวสมองของหญิงสาวคิดพิจารณาเรื่องราว
ก้อนเนื้อเหม็นเน่าเดินมาหยุดต่อหน้านาง คุกเข่าเชยคางกลมมนขึ้นมาเชยชม น่าเสียดายที่เขาและนางพบกันในสถานการณ์เช่นนี้
“ท่านหญิงจื้อฉิง อย่างน้อยเราสองคนก็กราบไหว้ฟ้าดินกันแล้ว ให้ข้าช่วยเหลือท่านเถอะนะ”
ถุย!! หญิงสาวถ่มน้ำลายใส่หน้าของอีกฝ่าย
“คนชั้นต่ำและสกปรก อย่าได้คิดจะมาแตะต้องตัวข้า”
“ก็แล้วแต่เจ้า” เขาไม่ได้ยี่หระสนใจในตัวนางอยู่แล้ว
มีดพกเล่มเล็กที่นางแอบซ่อนเอาไว้ ถูกชักออกมาจากฝัก หลี่จื้อฉิงหมดหนทางแล้ว นางหวังว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลจะช่วยทำให้ ความต้องการในเรื่องเช่นนั้นลดน้อยลงไป คนตัวเล็กค่อย ๆ คลานไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนของตนเอง ที่มีผ้าแพรสีขาวถูกกางเอาไว้บนนั้น
“ที่มือไม่ได้ ที่แขนและขาก็ไม่ได้” หลี่จื้อฉิงพึมพำ หญิงสาวหลับตาลง ชายเสื้อตัวบางที่นางสวมใส่ถูกถลกขึ้นเล็กน้อย
ภายใต้การเฝ้ามองของก้อนเนื้อเหม็นเน่า เขาเองก็อยากรู้ว่านางจะจัดการทุกอย่างเช่นไร ก่อนที่นางจะตัดสินใจใช้มีดเล่มเล็กเล่มนั้นเฉือนไปที่เอวของตนเอง ผ้าแพรสีขาวบนที่นอนถูกหลี่จื้อฉิงใช้เช็ดซับโลหิตสีแดงฉาน ก่อนที่สุดท้ายนางจะทนความทรมานไม่ไหวสลบไป
ภาพที่นางใช้มีดเล่มเล็กเฉือนเอวของตนเองอยู่ภายใต้สายตาของไช่เสิ่งเจี๋ย เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนางจะกล้าทำร้ายตนเองดีกว่าขอร้องเขา ชายหนุ่มมองเหยียดร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เดินเข้าไปใช้เท้าของตนเองสะกิดเบา ๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่านางหมดลมหายใจไปแล้วหรือยัง“ข้ายังไม่ตาย” ผู้ที่นอนอยู่เอ่ย “เอาเท้าสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้” แม้จะทรมานทั้งจากกำยานและบาดแผลที่เอว แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเย่อหยิ่ง“ท่านหญิงจื้อฉิงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือนี่” ไช่เสิ่งเจี๋ยคุกเข่าลง“เจ้าตัวเหม็นเน่าถอยออกไปให้ห่าง ๆ” ยิ่งเขาเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเท่าใด กลิ่นเหม็นก็ยิ่งตีขึ้นจมูกจนนางอยากจะอาเจียน“จะตายอยู่แล้วท่านยังกล้าปากดี” เขาต่อปากต่อคำ จับร่างเล็กพลิกกลับดี ๆ จากนั้นอุ้มขึ้นเตียง“ข้าจะอ้วก” ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเท่าใดนัก แต่นางก็ไม่เคยต้องพบกับสิ่งโสมมเช่นนี้ คนตัวเล็กดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของก้อนเนื้อเหม็นเน่า ความจริงนางมีสิ่งที่จะทำให้เขาเชื่อฟัง แต่นางไม่อยากทำ เพราะดูจากเสียงหวีดร้องในตำหนักบูรพาเมื่อก่อนหน้านั้นเขาดูทรมานไช่เสิ่งเจี๋ยไม่ได้ตอบสิ่งใด นางไม่มีแรงดิ้น
เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาภายในเรือนไข่มุกของนาง หลี่จื้อฉิงที่นอนในถังน้ำตลอดทั้งคืนจึงลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กลุกขึ้นจากถังน้ำ บาดแผลที่อยู่บริเวณเอวดูท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ศีรษะรู้สึกปวดและวิงเวียนจนแทบเดินไม่ไหวเสียงน้ำทำให้ไช่เสิ่งเจี๋ยที่นอนคุดคู้อยู่ไม่ห่างตื่นนอนพร้อมกับนาง ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้“ตัวเจ้าเหม็นมาก” นางยังคงพูดถึงกลิ่นตัวเหม็น ๆ ของเขาไม่หยุด“ขออภัยนายหญิง ที่ข้าน้อยมีกลิ่นเช่นนี้” ท่าทีของเขาเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือหญิงสาวลุกกลับไปที่เตียงนอนถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก โดยไม่ได้สนใจว่า ไช่เสิ่งเจี๋ยจะอยู่หรือตาย ทำทุกอย่างราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เรือนร่างขาวเนียน สัดส่วนสวยงามราวกับรูปสลัก ผู้ที่อายดันกลายเป็นไช่เสิ่งเจี๋ยที่ต้องเบือนหน้าหนีเสื้อผ้าชุ่มน้ำถูกนางยัดไปที่ใต้เตียงอย่างมิดชิด เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กสั่นกระดิ่งอยู่สองสามครั้งผ่านไปไม่นานนางกำนัลประจำเรือนไข่มุกก็กระวีกระวาดเข้ามาภายในห้อง“ท่านหญิงตื่นบรรทมแล้ว” พวกนางไม่ได้ถามว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กลับทำจมูกฟุดฟิดราวกับเหม็นอะไรบางอย่างผู้เป็นนายของเรือนรู้ดีว่าพวกนาง
“นายหญิง” ไช่เสิ่งเจี๋ยก้าวขาเข้ามาในห้องเขาไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าอีกต่อไปแล้ว ร่างกายก็สะอาดสะอ้าน นางอยากรู้ว่า เขาใช่ชายในคำทำนายของท่านพ่อหรือเปล่า ถ้าใช่นางจะต้องช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นไปจากที่นี่“เจ้าก้อนเนื้อเหม็นเน่า เจ้าคือใครกันแน่” หลี่จื้อฉิงผุดลุกขึ้นมานั่งหย่อนขาที่ข้างเตียง ใบหน้างดงามได้รูปเวลานี้ซีดเซียวไร้สีเลือด นางต้องการพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดว่า เขาใช่องค์ชายตัวประกันจากเฉียนซีหรือไม่ หลี่จื้อฉิงจึงเลือกจะโยนเนื้อก้อนหนึ่งให้เขากระโดดงับ“ข้าคือสัตว์เลี้ยงของท่าน” เขาตอบอย่างนอบน้อมมีมารยาท ไช่เสิ่งเจี๋ยมีแผนการในใจอยู่แล้วเจ้าของใบหน้าสวยงามยิ้มเหยียด“ข้าถามว่าเจ้าคือใครกันแน่”“นายหญิง ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ยังคงเป็นคำตอบเดิม“องค์ชายท่านต้องการไปจากที่นี่หรือไม่” ในเมื่อเขาไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นใคร หลี่จื้อฉิงจึงเปิดเผยโฉมหน้าของเขาด้วยตนเอง“นายหญิง ในเวลานี้ข้าน้อยคือสัตว์เลี้ยงของท่าน เป็นทาสรับใช้ของท่าน” สถานะของเขามีใครบ้างไม่รู้ ชายหนุ่มหรี่ตามองร่างเล็กที่นั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงนอน “ข้าจะเป็นใครในอดีต ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ช
อาศัยตราหยกของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถเดินเข้าออกได้ทุกพื้นที่ของตำหนัก แม้กระทั่งเดินจนรอบรั้ววังหลวงแห่งฉางหมิง ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเมื่อเขายกป้ายขึ้น เป็นแค่เพียงธิดาขององค์หญิงใหญ่ หากนับความเข้มข้นของสายเลือดราชวงศ์นางแทบจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในราชบัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ ตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณกาล สตรีแต่งงานแล้วต้องออกเรือน แต่องค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงแต่งงานกับองค์ชายจากแคว้นที่ล่มสลาย อาศัยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมีต่อนาง ทำให้หลี่หย่าถิงยังสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นฉางหมิงได้ไม่รู้ว่าเพราะความฉลาดเฉลียว ความงดงาม หรือเล่ห์กลอันใด จากที่เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางกำนัลระดับล่าง ได้กลายมาเป็นสตรีทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งฉางหมิง ความฉลาดและงดงามนั้นมาคู่พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตพี่น้องร่วมราชบัลลังก์ที่ขวางหูขวางตาถูกหลี่หย่าถิงกำจัดทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่อ่อนแอไร้กำลังไว้ทำหน้าที่สวมมาลาสีเหลืองทองแทนนางก็เท่านั้นและเป็นเพราะอำนาจของมารดาทำให้ท่านหญิงที่เป็นเชื้อสายปลายแถวต่ำต้อยสามารถขึ้นมานั่งเทียบเท่ากับราชนิกุลที่กำเนิดจากสายเลือดของฮ่องเต้ได้
เมื่อออกมาจากประตูวัง ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินตามหาเส้นทางไปยังร้านขายพรตเมฆา แต่เป็นเพราะนางมิได้บอกเอาไว้ว่า ร้านขายยาตั้งอยู่บนถนนเส้นไหน เขาที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่กักขังทาสงุนงงไปหมด กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเดินตลาดของเหมืองหลวงแห่งฉางหมิง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย หากเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอร้านขายตามที่นางบอก หากกลับไปช้า ไม่แน่ว่านางจะหาเรื่องเอาผิดกับเขาในขณะที่กำลังคิดหาวิธี ชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยก็ถูกดึงจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปเป็นสตรีตัวเล็กสวมชุดสีฟ้าสดใส เส้นผมสีดำสนิทถูกเกล้าเก็บขึ้นเป็นทรงอย่างดี ร่างเล็กผอมบางดวงตากระจ่างใสงดงาม ยืนส่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านหลังเขา“ขอรับคุณหนู”“เจ้าหลงทางหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระจ่างใสราวกับสายน้ำเหลียนซูเยว่นั่งจิบน้ำชากินขนมอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารชาดแดง นางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวาง เข้าออกซอยนั้นทีซอยนี้ที วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิม คนตัวเล็กเห็นแล้วอดที่จะเข้าช่วยเหลือไม่ได้ แม้ใบหน้าจะงดงามโดดเด่น แต่กระนั้นก็อยู่ในชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ ที่ฉางหมิงแบ่งชนชั้นกันชัดเจน ถึงจะหน้าตาดีแต่หากเป็นเพียงชนชั้นต่
ร้านขายยาที่สภาพภายนอกโดยทั่วไปไม่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ไช่เสิ่งเจี๋ยมิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเป็นที่นี่เท่านั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้าน มีลูกค้าและหลงจู๊ทำการค้าขายกันตามปกติ มิมีสิ่งใดพิเศษหรือผิดแผกไปจากร้านอื่น ๆผนังด้านหนึ่งของร้านมีลิ้นชักไม้ตั้งเรียงราย แต่ละชั้นมีตัวอักษรสลักเป็นชื่อของตัวยาชนิดต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเพื่อความสะดวกในการจัดเทียบยาชนิดต่าง ๆ ตรงลิ้นชักเหล่านั้นมีโต๊ะไม้ยาวเท่ากับผนังลิ้นชัก พนักงานในร้านล้วนแล้วแต่กุลีกุจอทำหน้าที่ของตนเอง กลิ่นหอมของสมุนไพรอบอวลไปทั่วทั้งร้านบรรยากาศเรียบง่าย มีแสงส่องเข้ามาภายใน อากาศถ่ายเทเหมาะกับการเป็นร้านขายยา“คุณชายต้องการสิ่งใด” เด็กในร้านเห็นเขายืนเก้กังอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปถามไถ่เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ“สตรีร้ายกาจเอาแต่ใจ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคเด็กหนุ่มที่มาต้อนรับเขาในคราแรกผายมือให้ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินไปยังจุดที่เถ้าแก่ชรานั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือในสุด ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดเทียบยา“นายท่าน สตรีตัวร้ายมีเรื่องแล้ว” เด็กหนุ่มกระซิบกับเถ้าแก่ชรา ไช่เสิ่งเจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยายาที่ชั่งตวงอยู่เมื่อครู่ถูกวางล
“ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปเสียแล้วองค์ชาย”เมื่อกลืนยาลงท้องไปแล้วนางถึงได้พูดกับเขาไช่เสิ่งเจี๋ยลอบมองสตรีตัวร้ายที่นั่งเอนหลังพิงกายอยู่บนเตียงนอน“ข้าจะหนีไปได้อย่างไรนายหญิง ข้าน่ะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวอย่างเอาอกเอาใจหญิงสาวรู้ดีว่ารอยยิ้มที่เขามอบให้แก่นางมันสุดแสนจะเสแสร้ง“รอยยิ้มของท่านช่างดูจริงใจเสียจริง”“ข้าย่อมจริงใจต่อนายหญิงอยู่แล้ว” เขาบอก ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “นายหญิง อาการป่วยของท่านเป็นอย่างไร แผลที่เอวของท่านล่ะยังเจ็บอยู่หรือไม่”ใบหน้างดงามซีดเซียว ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร“ข้าจะนอนแล้วเจ้าออกไปได้แล้ว” กินยาแล้วง่วง นางจึงเอ่ยปากไล่เขาออกไปให้พ้นหน้า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วนอนไม่หลับ” นางบ่นแต่ถึงนางจะไล่ให้เขาออกไป แต่ไช่เสิ่งเจี๋ยก็มิคิดจะเดินออกไป นางไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาเกรงว่านางจะหิวตายก่อนที่เขาจะได้ออกไปจากที่นี่“นายหญิง ท่านยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”“ข้าไม่หิว”“ไม่ได้ขอรับ เกิดท่านหิวจนตายขึ้นมา ที่สัญญาเอาไว้ว่าฤดูร้อนปีหน้าข้าจะได้กลับไปเฉียนซีก็ล้มเหลวหมดสิ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุดแสนจะอ่อนโยน หากใ
เมื่อหลายปีก่อน…นางเคยสงสัยว่าเหตุใดมารดาจึงไม่เคยแสดงออกว่ารักนางเลยสักครั้ง เด็กหญิงนั่งหย่อนขาลงในสระบัว เป็นจุดที่เงียบสงบที่หลี่จื้อฉิงมักจะมานั่งทอดอารมณ์ หลีกลี้หนีจากผู้คน เด็กหญิงนั่งหลบอยู่ตรงโขดหิน บดบังด้วยไม้ดอกพุ่มเล็ก ๆ เนื่องด้วยส่วนสูงของเด็กหญิง หากไม่สังเกตก็จะไม่เห็นว่านางมานั่งหลบอยู่ตรงนี้“ถิงเอ๋อร์ เจ้าไม่กลัวว่าองค์ชายนั่นจะมาพบเราเหรอ”“ไม่กลัวหรอก ปั๋วจวิน ท่านก็รู้ดีว่าเพราะอะไร” สตรีตัวเล็กเรือนร่างอวบอิ่มนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม วงแขนเรียวเล็กกอดคอเขาเอาไว้ “ที่ข้าแต่งงานกับเขาเพราะอะไรไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านก็รู้ว่าข้าน่ะรักท่านเพียงผู้เดียว” หลี่หย่าถิงซบลงกับอกแกร่ง“น่าเสียดายที่ในเวลานั้นเราสองคนยังไม่มีอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเราคงจะตบแต่งเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องกันไปแล้ว” น้ำเสียงของปั๋วจวินเศร้าหมอง“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป” หลี่หย่าถิงไม่อยากเอ่ยถึงในเวลานั้นทั้งนางและเขาต่างก็ไร้อำนาจอยู่ในมือ ปั๋วจวินเป็นเพียงองครักษ์ระดับล่าง ส่วนนางแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่เป็นเพราะมารดามีชาติกำเนิดต่ำต้อยทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น นางถูกห
หลี่จื้อฉิงฟื้นบนรถม้าที่บุนวมเป็นอย่างดี หัวเล็ก ๆ ของนางหนุนอยู่บนตักของไช่เสิ่งเจี๋ยถ้านางเดาไม่ผิด แม้ว่านางจะร้องขอให้เขาปล่อยนางทิ้งเอาไว้ที่ตำบลนั้น แต่เขาไม่ยอมปล่อย พาตัวนางกลับเฉียนซีแทบจะทันทีที่ทุกอย่างพร้อมแล้วนางขอไปนั่งแยกรถม้าคนละคันกับเขา แต่บุรุษผู้นี้เอาแต่ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินยอมให้นางกระทำตามอำเภอใจ ส่วนเหลียนซูเยว่ตั้งแต่ปะทะคารมกันในวันนั้น นางก็ไม่ได้ยุ่มย่ามอะไรกันอีก หลี่จื้อฉิงขอร้องให้เสี่ยวซีอย่าได้ไปบอกเรื่องนี้กับไช่เสิ่งเจี๋ย คราแรกนางเองก็ไม่ยอม แต่เป็นเพราะหลี่จื้อฉิงคุกเข่า เสี่ยวซีจึงจำใจยอมสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุดในเวลานี้ คือหนึ่งในอดีตนางร้ายกาจเพียงไหน สองนางทำร้ายอะไรเขาไปบ้าง สามเขาสังหารมารดาของนางและขับไล่บิดาของนางให้ไปร่อนเร่ตกระกำลำบากจริงไหม แล้วที่เขาช่วงชิงนำตัวนางมาจากซีหยางเว่ยเจียงเป็นเพราะเหตุผลใดมือเล็กกระตุกชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยเบา ๆ“หิวหรือ”“ไม่ใช่ ท่านเห็นข้าเป็นหมูหรือไง” นางแหวใส่&ldq
ตื่นเช้ามา นางแทบจะนอนทับอยู่บนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ย หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ กระดึ๊บตัวเองออกมาจากอ้อมอกของเขา โดยพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อย นางรู้สึกว่าเขาตื่นแล้วแต่ยังคงแกล้งหลับอยู่เช่นนั้น“ถ้าตื่นแล้วก็ปล่อยข้าเถอะ” นางดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมา“อีกสักพักเถอะ” อยากหยุดเวลานี้เอาไว้เสียจริง ๆ“มันเช้าแล้ว ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องไปทำ” นั่นสิ หน้าที่? ว่าแต่นางต้องทำอะไร ปกติเมื่อตื่นเช้านางจะลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ที่สำนักศึกษาประจำหมู่บ้าน พอซีหยางเว่ยเจียงพานางออกมา วันทั้งวันนางก็ได้แต่นั่งอยู่บนรถม้าถ้าไม่อ่านหนังสือก็เดินหมาก กิจวัตรประจำวันของนางเปลี่ยนไปมากเมื่อกลับไปยังวังหลวงแห่งเฉียนซีเขาก็มีวิธีการเอาคืนนาง แน่นอนว่าตอนที่เขาอยู่ฉางหมิงถูกปฏิบัติเช่นไร นางก็จะได้รับบทเรียนเช่นเดียวกันกับเขามื้อเช้าก่อนออกเดินทาง มีเหลียนซูเยว่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย คิดเอาไว้แล้วไม่มีผิดเป็นหลี่จื้อฉิงจริ
ไช่เสิ่งเจี๋ยตั้งใจพาตัวนางกลับ แต่กลับถูกซีหยางเว่ยเจียงรั้งเอาไว้ และพูดคุยกันครู่หนึ่ง หากไม่ใช่ว่าเพราะที่หนีรอดปลอดภัยออกมาจากฉางหมิงได้เป็นเพราะฮ่องเต้หยุนเหมินละก็ เขาคงจะสังหารมันเสียตั้งแต่ตอนนี้“นางลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไช่เสิ่งเจี๋ย หากอยากให้นางมีความสุข เจ้าอย่าได้รื้อฟื้นความทรงจำของนางให้กลับคืนมาอีก ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น ความทุกข์ในอดีตที่นางเคยได้รับก็ลืมไปหมดแล้วเช่นกัน” ซีหยางเว่ยเจียงทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะปล่อยให้เขาพาตัวของหลี่จื้อฉิงกลับมาพร้อมกัน ใบหน้าของนางซีดเซียว ไช่เสิ่งเจี๋ยถลกกระโปรงนางขาข้างขวาของนางที่เคยเรียวสวยไร้ริ้วรอย บัดนี้มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ มองผิวเผินภายนอกดูปกติดี แต่เห็นนางเดินกะโผลกกะเผลก นางกลายเป็นสตรีพิการไปแล้วหรือลืมความทุกข์ความเจ็บปวดไปหมดแล้วงั้นหรือ และเป็นเขาที่จำได้อยู่เพียงผู้เดียวฮ่าฮ่า!!เขาได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นประตูห้องพักภายในโรงเต
ไม้เท้าของนางที่พิงอยู่กับกำแพงถูกใครสักคนเตะจนหล่นลงไปอยู่ที่พื้น หลี่จื้อฉิงค่อย ๆ ย่อกายลงเอื้อมมือไปเก็บไม้เท้าของตนเอง แต่มันกลับถูกผู้คนที่มาร่วมงานเทศกาล เหยียบย่ำ และเตะให้ออกห่างจากนางไปเรื่อย ๆ หลี่จื้อฉิงถอดใจ ไม่ตามไปเก็บทั้งที่ไม้เท้าอันนั้นเป็นของที่ท่านตาทำให้กับนาง เพราะกลัวว่าตนจะพลัดหลงกับซีหยางเว่ยเจียงตอนที่นางถอดใจไป และกลับไปยืนพิงกับกำแพงเฝ้ารอให้ซีหยางเว่ยเจียงกลับมา ไม้เท้าอันนั้นกลับถูกใครบางคนนำมาส่งคืนให้กับนาง“ในที่สุดก็หาท่านเจอเสียที” รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มที่เพิ่งจะปรากฏตัวหลี่จื้อฉิงกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความประหลาดใจ“จือจือ ในที่สุดข้าก็หาเจ้าเจอเสียที”คนตัวเล็กเม้มปากของตนเอง สัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับบุรุษที่มีท่าทีคุกคามนาง แต่กลับหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด“จะไปไหน” ไช่เสิ่งเจี๋ยคว้ามือข้างที่นางใช้จับไม้เท้า
หิมะตกหนักจึงทำให้การเดินทางยากลำบาก องครักษ์ของซีหยางเว่ยเจียงรายงานว่า ที่หมู่บ้านข้างหน้ามีงานเทศกาล ระหว่างรอให้หิมะละลาย ทั้งสองพระองค์สามารถเที่ยวเล่นที่นั่นได้ก่อนเมื่อพร้อมค่อยออกเดินทางอีกครั้งซีหยางเว่ยเจียงจึงจำใจพานางไปเที่ยวเล่นในเมือง ความสัมพันธ์ของเขาและนางในเวลานี้แน่นแฟ้นขึ้นเป็นเท่าตัว อยากหยุดเวลาเช่นนี้เอาไว้เหลือเกินเนื่องด้วยขาของนางเป็นอุปสรรคต่อการเดิน ทั้งสองคนจึงไม่ได้เร่งรีบนัก“คืนนี้เราพักที่โรงเตี๊ยมดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลับไปที่ค่ายพักแรม” ซีหยางเว่ยเจียงเสนอซึ่งนางเองก็เห็นด้วยกับเขา ถ้ามืดค่ำกว่านี้เดินทางออกไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับค่ายพักแรมที่คนของพวกเขาตั้งเอาไว้คงไม่สะดวกเท่าไร ประกอบกับขาของนางเดินนาน ๆ ไม่ได้ จะให้เขาแบกไปจนถึงค่ายก็กลัวหลังเขาจะหักเสียก่อน“ก็ดีเหมือนกัน เราสองคนจะได้อยู่ฉลองงานเทศกาลในเมือง” นางกระชับมือของซีหยางเว่ยเจียง ยิ้มให้เขารอยยิ้มนั้น เขาอยากให้นางยิ้มให้เขาเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ และตลอดไป แต่ลางสังหรณ์กำ
ไม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยเลยสักอย่าง แม้แต่กระทั่งตัวของซีหยางเว่ยเจียงเอง นางก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคย หลี่จื้อฉิงมองทัศนียภาพของแคว้นหยุนเหมินมาตลอดการเดินทาง บ้านเรือนประชาชน เป็นภาพที่นางไม่คุ้นตา และแทบไม่มีความรู้สึกผูกพันกับที่นี่เลยสักนิด หญิงสาวพยายามนึกอยู่หลายครั้งว่าที่นี่คือที่ไหน ตรงนั้นคืออะไร แม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานอย่างขนบธรรมเนียมบางอย่างของหยุนเหมินนางก็จำไม่ได้มันเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะในขณะที่นางจำเนื้อหาในตำราซานสือจิ้งได้ แต่กลับจำเรื่องกฎระเบียบของที่นี่ไม่ได้เลย“ฝ่าบาท” นางสะกิดเรื่องบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับนาง“ว่าอย่างไร” สิ่งเดียวที่เขากลัวนั่นก็คือ กลัวว่าสักวันนางจะจำเรื่องราวในอดีตได้ ทุกครั้งที่นางเรียกเขา และทำสีหน้าเช่นนั้น ซีหยางเว่ยเจียงจึงรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้ม ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการครอบครองนางเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว เขาก็คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้“ก่อนหน้าที่ฝ่าบาทจะครองราชย์ หม่อมฉันเคยเรียกพระองค์ว่าอย่างไรเหรอเพคะ” มีช
เกาเจี๋ยและสือโต้วถอยร่นออกมาอยู่ด้านนอก ปล่อยให้ครรลองทุกอย่างมันดำเนินต่อไป โดยที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปกีดขวางได้ทั้งสองคนแปลงกายกลับมาอยู่ในร่างเดิม เฝ้ามองคนสองคนสนทนากัน“เจ้าหมอนั่นโกหกท่านอา” สือโต้วบ่น“ก็ทุกอย่างมันถูกลิขิตมาให้เป็นเช่นนี้ พวกเราจะไปทำอะไรได้ล่ะ” เกาเจี๋ยโบกพัดขนนกยูงของตนเองไปมา “อย่างไรเราก็ต้องส่งนางกลับเข้าสู่ห้วงวัฏสงสารเดิมแบบที่ควรจะเป็น เรายื่นมือเข้ามาสอดก็นับว่าวุ่นวายเกินพอแล้ว หากท่านซือมิ่งรู้ มีหวังพวกเราได้ถูกบ่นจนหูชา”“ว่าแต่แล้วไข่ใบนั้นท่านเอาเขาไปเก็บไว้ที่ไหน”ในวันที่หลี่จื้อฉิงตกลงมาจากผาตัดใจ ในครรภ์ของนางมีหนึ่งชีวิต พวกเขาทั้งสองคนจึงอาสานำเด็กคนนั้นไปใส่ไว้ในไข่ ใช้พลังเซียนบำรุงดูแลอยู่ในตำหนักเซียนของมหาเทพ แล้วจึงลงมาช่วยเหลือนางบนโลกมนุษย์ พวกเขาเองมิอาจปล่อยให้ความพยายามของมหาเทพสูญเปล่าได้ จึงไม่สนว่าเมื่อกลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบนแล้ว และนางรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จะลงโทษเขาหรือไม่
ได้รับข่าวจากนายอำเภอในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของแคว้น ส่งรายงานมาว่า พบสตรีที่อาจจะเป็นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ ซีหยางเว่ยเจียงก็รีบขี่ม้าเร็วออกมาจากจากเมืองหลวงในทันที ใช้เวลาราวหนึ่งสัปดาห์เขาจึงมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง“นางอยู่ไหน” เขาถามเข้าเรื่องในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยเรื่องอื่นจ้าวตู้รู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้แห่งหยุนเหมินจะเสด็จประพาสมายังหมู่บ้านเล็ก ๆ ของตน จึงให้ชาวบ้านออกมาเตรียมต้อนรับ แต่อีกฝ่ายดูท่าจะอยากพบคนมากกว่า จึงรีบตอบคำถามของนายเหนือหัว“อยู่ที่บ้านของผู้เฒ่าเกาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“นำทางไป” ซีหยางเว่ยเจียงขึ้นม้าและให้จ้าวตู้วิ่งนำทางบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้า ซีหยางเว่ยเจียงไม่อยากให้นางตื่นตระหนกตกใจ เพราะจากคำรายงานของนายอำเภอกล่าวว่านางความจำเสื่อมและได้รับบาดเจ็บ ได้พบหน้ากันในเวลานี้ไม่แน่ว่านางอาจจะจำเขาไม่ได้“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ไม่ต้องตามมา”
เขาตามหาหลี่จื้อฉิงมาตลอดสามปี เวลานี้ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถรวบรวมแผ่นดินเฉียนซีให้เป็นปึกแผ่นได้แล้ว และขึ้นครองราชย์สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดินเฉียนซี ฉางหมิงที่เคยรุ่งเรืองทรงอำนาจ ถูกเขาเผาทำลายทิ้งจนราบคาบ หลี่หย่าถิงถูกเขาจับตรึงเอาไว้กับโซ่ตรวนขนาดใหญ่ ไม่ยอมให้นางเห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป บัญชีหนี้แค้นที่ติดค้างเขาเอาไว้ถูกเอาคืนทบต้นทบดอกฉางหมิงกลายเป็นประเทศราชของเฉียนซีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไช่เสิ่งเจี๋ยปลดปล่อยเชื้อพระวงศ์ที่ถูกจับมาเป็นตัวประกันกลับคืนสู่ดินแดนบ้านเกิดของตน รวมถึงบิดาของหลี่จื้อฉิงกับคนรักของเขา เหล่าทหารและคนของที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับเขาถูกตัดหัวประหารทั้งสิ้น ปั๋วจวินถูกเขาจับและตัดศีรษะเสียบประจานเอาไว้ที่กำแพงเมือง ครอบครัวของเขาถูกยึดทรัพย์ และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก คุณหนูปั๋วจำใจต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของขุนนางในเฉียนซี ส่วนปั๋วเจิ้งเวลานี้กลายเป็นเพียงนายกองธรรมดาไช่เสิ่งเจี๋ยทำทุกอย่างเพื่อสนองให้กับสิ่งที่ตนเองและประชาชนเฉียนซีสูญเสียไป มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาติดค้างในใจ นั่นก็คือการหายตัวไปของนา