อากาศคิมหันต์ฤดูร้อนอบอ้าวจนน่าหงุดหงิด สตรีแสนงดงามปรายตามองบ่าวไพร่อย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อหลายวันก่อนนางถูกพระมารดาต่อว่า และลงโทษในเรื่องที่ไร้เหตุผล คนผู้นั้นอยากลงมือกระทำการเช่นใดกับนางก็ย่อมได้ แม้แต่เสด็จพ่อก็มิอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จนบางครั้งหลี่จื้อฉิงมีความคิดว่า นางนั้นใช่บุตรสาวที่แท้จริงหรือไม่
“ท่านหญิงเพคะ” หญิงรับใช้เคาะประตูห้องเอ่ยเรียกสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ด้านในเพียงแผ่วเบา
คนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเนื้อผ้าบางเบาเตรียมตัวจะเจ้าเข้านอน ส่งสัญญาณให้นางกำนัลในห้องเปิดประตู ทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก กาน้ำชาร้อน ๆ ถูกเขวี้ยงใส่หน้าของหญิงรับใช้ที่มารบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของนางในยามดึก
“ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ในการมารบกวนข้า ข้าจะลงโทษเจ้า” คนตัวเล็กแผดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ปะเป็น...องค์หญิงใหญ่ องค์หญิงทรงมีประสงค์จะพบท่านหญิงเพคะ” นางกำนัลผู้นั้นรีบคุกเข่าลงกับพื้น
เมื่อได้ยินว่าเป็นความต้องการของพระมารดา หลี่จื้อฉิงย่อมต้องปฏิบัติตาม เรื่องที่นางถูกเรียกให้ไปพบนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใดมิอาจนึกออก เป็นเพราะเสด็จแม่ของนางล้วนแล้วแต่ทำเรื่องที่มิอาจคาดเดา
“เข้าใจแล้ว” หลี่จื้อฉิงตั้งท่าจะเข้าไปแต่งตัว หากไปในชุดเช่นนี้คงมิวายถูกตำหนิ
“ทะ...ท่านหญิง” นางกำนัลคนเดิมร้องเรียก
“อะไร”
“องค์หญิงใหญ่บอกให้ท่านหญิงไปพบเดี๋ยวนี้เลยเพคะ ไม่จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใด ๆ ทั้งสิ้น”
โทสะของหลี่จื้อฉิงล้นปรี่ แต่กระนั้นนางก็มิอาจขัดคำสั่งของอีกฝ่ายได้ เมื่อจัดการคลุมเสื้อให้เรียบร้อย จึงเร่งรีบเดินทางไปยังตำหนักบูรพาอันเป็นที่พำนักของนางในทันที
ใช้เวลาเพียงไม่นานรถม้าของหลี่จื้อฉิงก็มาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าตำหนักบูรพา ราชองครักษ์ที่นางไม่ชอบหน้า คล้ายกับจะรอนางอยู่แล้ว ทันทีที่ได้พบหน้า ชายผู้นั้นก็เอ่ยทักทาย
“ท่านหญิง”
“เสด็จแม่ล่ะ”
“องค์หญิงอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ” สตรีผู้นี้ยโสโอหังเสียเหลือเกินแม้แต่รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยนางก็ไม่เคยมีให้กับเขา
คนตัวเล็กพยักหน้าแบบขอไปที แผ่นหลังเหยียดตรงแสดงท่าทางเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์ ทุกครั้งที่ย่างกรายเข้ามาที่นี่ หัวใจของหลี่จื้อฉิงมักจะเต้นโครมครามอยู่เสมอ เพราะมักจะมีเรื่องที่มิอาจคาดเดาและทำให้นางประหลาดใจอยู่ทุกครั้ง
ร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าโปร่งบางเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า ภายในตำหนักจุดตะเกียงเพียงไม่กี่ดวง ทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่ เมื่อมองไปยังเก้าอี้ประธานพบว่าพระมารดานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ถวายพระพรเสด็จแม่” นางยอบกายทำความเคารพ
“ลูกสาวของข้า” หลี่หย่าถิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“นางกำนัลบอกว่า เสด็จแม่มีเรื่องสำคัญ” ผู้เป็นบุตรสาวมิอยากอยู่ที่นี่นานนัก จึงเข้าเรื่องในทันที
รอยยิ้มของหลี่หย่าถิงปรากฏอยู่บนใบหน้า ยามเมื่อแสดงไฟในตะเกียงกระทบใบหน้างดงามหยาดฟ้า ดูแล้วคล้ายกับจอมปีศาจ ทั้งดุดันและน่าเกรงขาม แม้จะเป็นพระมารดาของนาง แต่ทว่าหลี่จื้อฉิงมิอาจชินชากับความน่ากลัวเช่นนั้นได้
“เด็กดี ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร” หลี่หย่าถิงไม่เคยจำว่าบุตรสาวของตนอายุเท่าไร
“สิบเจ็ดปีแล้วเพคะ” นางตอบ
“สิบเจ็ดแล้วเหตุใดจึงยังไม่แต่งงาน” ผู้เป็นพระมารดาลุกขึ้นเดินเข้าประชิดตัวบุตรสาว “เป็นถึงบุตรสาวของข้าองค์หญิงหย่าถิง คนพวกนั้นมีตาหามีแววไม่” หลี่หย่าถิงเชยใบหน้าของบุตรสาวขึ้นมาพิจารณา “กลิ่นกายหอมประดุจดอกกุ้ยฮวา ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้างดงามประดุจเทพธิดาเช่นนี้ มันผิดพลาดที่ตรงไหนกันนะ”
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเพราะด้วยเหตุผลใด แต่หลี่หย่าถิงก็ยังเอ่ยไม่หยุด
คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกว่าลำคอของตนนั้นแห้งผาก สตรีเช่นนาง ชายใดจะกล้ามาสู่ขอ เรื่องนั้นนางรู้ตัวดี จึงมิได้ผูกสมัครรักใคร่กับบุรุษใดในแผ่นดิน และต่อให้นางสนใจผู้ใดก็ตามสตรีที่เป็นพระมารดาของนางคงกีดกันและกำจัดเขาให้พ้นทาง
“เป็นเพราะหม่อมฉันอยากอยู่รับใช้เสด็จแม่ไปจนวันตายเพคะ หม่อมฉันอยากอยู่รับใช้ปรนนิบัติพระองค์” นางมิรู้จะเอ่ยสิ่งใด จึงพูดจาป้อยอ
“โธ่ ลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูของข้า”
หลี่หย่าถิงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ราชองครักษ์ที่รออยู่แล้ว จึงเดินเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ คนพวกนั้นเดินเข้าพร้อมกับก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่นางมองไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี รูปร่างผอมบางแต่ก็ตัวสูงกว่าราชองครักษ์ มือทั้งสองข้างถูกใส่ตรวน ผมเผ้ารุงรังติดเป็นสังกะตัง เนื้อตัวเหม็นราวกับซากสัตว์
“ก้อนเหม็น ๆ นั่นคืออะไรหรือเพคะ” หลี่จื้อฉิงย่นจมูก กลิ่นมิต่างไปจากซากหนูตาย ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกอยากจะอาเจียน
ผู้เป็นพระมารดาจับข้อมือเรียวของบุตรสาวขึ้นมาพร้อมกับสวมกำไลเงินประดับอัญมณีสีแดงเม็ดเล็ก ๆ ทันทีที่มันถูกสวมใส่บนข้อมือของนาง มันก็หดรัดจนขนาดพอดีกับวงแขนเรียวเล็กมิอาจถอดหรือทำลายทิ้งได้อีก หลี่จื้อฉิงมิอาจคาดเดาได้ว่า มันคือสิ่งใด มือเรียวเล็กใช้มือสัมผัสวนเวียน และกดไปที่มณีสีแดงอย่างไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นเองเจ้าก้อนเนื้อตัวผอมบางก็ล้มลงดิ้นรนอย่างทรมาน
“อ๊าก!!!!” เขาหวีดร้องเสียงดังลั่น ดวงตาเป็นสีแดงก่ำมองมาที่หลี่จื้อฉิงและพระมารดา
“เสด็จแม่” คนตัวเล็กตื่นตระหนก
หลี่หย่าถิงเดินอ้อมหลังไปที่ชายหนุ่มตัวผอม ที่เวลานี้ไร้หนทางสู้ นางกระชากเส้นผมของชายผู้นั้นให้เขาเงยหน้าขึ้น ที่คอของก้อนเนื้อตัวเหม็น มีโลหะประดับอัญมณีสีแดงที่มีลักษณะคล้ายกันกับกำไลของนางสวมเอาไว้
“เด็กดี เจ้าลองกดแรง ๆ ที่มณีแดงดูสิ” หลี่จื้อฉิงมิอาจขัดใจได้นางกระทำตาม และทันทีที่มือกดลงไป เจ้าก้อนเนื้อเหม็นเน่าก็กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานอีกครั้งหนึ่ง
“อ๊าก!!!! นางปีศาจ” สายตาของเจ้าก้อนเนื้อ
เมื่อรู้ถึงผลลัพธ์ของกำไลประดับมณีแดงชิ้นนี้ หลี่จื้อฉิงจึงคลายมือออกจากตำแหน่งนั้น และเก็บความตื่นตระหนกเอาไว้ไม่เปิดเผยออกไป
“เห็นถึงผลของมันหรือยังเด็กดี” หลี่หย่าถิงเอ่ย
“เพคะ หม่อมฉันเห็นแล้ว” คนตัวเล็กยิ้มเหยียดมองไปที่ก้อนเนื้อเหม็นเน่าที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น “ว่าแต่เสด็จแม่...” สตรีผู้นี้มีอาจคาดเดาได้ว่า นางต้องการสิ่งใดหลี่จื้อฉิงจึงแสร้งโง่คิดไม่ออกว่านางกำลังต้องการสิ่งใดกันแน่
“ตายแล้ว ลูกสาวที่น่ารักของแม่ ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญไปสินะ”
“เพคะ”
“บัดนี้ข้าขอมอบมันเป็นสามีให้กับเจ้า”
สิ้นประโยคใบหน้าที่ยิ้มพรายแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกมิอาจกักเก็บความรู้สึกได้อีกต่อไป“เสด็จแม่หมายความว่ายังไงนะเพคะ” ร่างเล็กยืนตัวสั่น ผินหน้าสลับไปมาระหว่างก้อนเนื้อกลิ่นเหม็นเน่า และพระมารดาของนาง“เด็กดี” รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องปฏิเสธ หลี่หย่าถิงชื่นชอบสีหน้าเช่นนั้นของบุตรสาวเสียจริง สิ้นหวัง เคียดแค้น และเจ็บปวด “ลูกสาว...ที่ล้ำค่าของข้า เมื่อครู่เจ้าเป็นคนพูดเองว่า อายุสิบเจ็ดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่มีชายใดมาสู่ขอ ข้าเองก็ปฏิบัติตนเป็นมารดาที่ดี มอบบุรุษให้เจ้าหนึ่งคน”“เสด็จแม่ ละ...ลูกไม่ต้องการ” นางกำลังคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่จะช่วยพูดให้นางได้คือเสด็จพ่อ เวลานี้มีเพียงเสด็จพ่อเท่านั้นคล้ายกับรู้อยู่แล้วว่า บุตรสาวที่แสนน่ารักของตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่“ราชบุตรเขยไม่อยู่น่ะ ได้ยินว่า เสด็จพ่อของเจ้าออกไปบำเพ็ญพรตที่ภูเขาเซียน แต่อย่าเป็นห่วงไปเลยเด็กดี” นางจับเส้นผมของหลี่จื้อฉิงมาม้วนเล่น จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นการใช้กรงเล็บ ไล่จิกไปที่หนังศีรษะของบุตรสาว “หรือเจ้าไม่ชอบของขวัญที่แม่มอบให้” น้ำเสียงของหลี่หย่าถิงที่กล่าวกับบุตรสาวนั้นเยือกเย็นจับใจ“เสด็จ
ภาพที่นางใช้มีดเล่มเล็กเฉือนเอวของตนเองอยู่ภายใต้สายตาของไช่เสิ่งเจี๋ย เขาคิดไม่ถึงว่าสตรีที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนางจะกล้าทำร้ายตนเองดีกว่าขอร้องเขา ชายหนุ่มมองเหยียดร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เดินเข้าไปใช้เท้าของตนเองสะกิดเบา ๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่านางหมดลมหายใจไปแล้วหรือยัง“ข้ายังไม่ตาย” ผู้ที่นอนอยู่เอ่ย “เอาเท้าสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้” แม้จะทรมานทั้งจากกำยานและบาดแผลที่เอว แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเย่อหยิ่ง“ท่านหญิงจื้อฉิงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือนี่” ไช่เสิ่งเจี๋ยคุกเข่าลง“เจ้าตัวเหม็นเน่าถอยออกไปให้ห่าง ๆ” ยิ่งเขาเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเท่าใด กลิ่นเหม็นก็ยิ่งตีขึ้นจมูกจนนางอยากจะอาเจียน“จะตายอยู่แล้วท่านยังกล้าปากดี” เขาต่อปากต่อคำ จับร่างเล็กพลิกกลับดี ๆ จากนั้นอุ้มขึ้นเตียง“ข้าจะอ้วก” ถึงแม้จะไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเท่าใดนัก แต่นางก็ไม่เคยต้องพบกับสิ่งโสมมเช่นนี้ คนตัวเล็กดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของก้อนเนื้อเหม็นเน่า ความจริงนางมีสิ่งที่จะทำให้เขาเชื่อฟัง แต่นางไม่อยากทำ เพราะดูจากเสียงหวีดร้องในตำหนักบูรพาเมื่อก่อนหน้านั้นเขาดูทรมานไช่เสิ่งเจี๋ยไม่ได้ตอบสิ่งใด นางไม่มีแรงดิ้น
เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาภายในเรือนไข่มุกของนาง หลี่จื้อฉิงที่นอนในถังน้ำตลอดทั้งคืนจึงลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กลุกขึ้นจากถังน้ำ บาดแผลที่อยู่บริเวณเอวดูท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ศีรษะรู้สึกปวดและวิงเวียนจนแทบเดินไม่ไหวเสียงน้ำทำให้ไช่เสิ่งเจี๋ยที่นอนคุดคู้อยู่ไม่ห่างตื่นนอนพร้อมกับนาง ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้“ตัวเจ้าเหม็นมาก” นางยังคงพูดถึงกลิ่นตัวเหม็น ๆ ของเขาไม่หยุด“ขออภัยนายหญิง ที่ข้าน้อยมีกลิ่นเช่นนี้” ท่าทีของเขาเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือหญิงสาวลุกกลับไปที่เตียงนอนถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก โดยไม่ได้สนใจว่า ไช่เสิ่งเจี๋ยจะอยู่หรือตาย ทำทุกอย่างราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เรือนร่างขาวเนียน สัดส่วนสวยงามราวกับรูปสลัก ผู้ที่อายดันกลายเป็นไช่เสิ่งเจี๋ยที่ต้องเบือนหน้าหนีเสื้อผ้าชุ่มน้ำถูกนางยัดไปที่ใต้เตียงอย่างมิดชิด เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กสั่นกระดิ่งอยู่สองสามครั้งผ่านไปไม่นานนางกำนัลประจำเรือนไข่มุกก็กระวีกระวาดเข้ามาภายในห้อง“ท่านหญิงตื่นบรรทมแล้ว” พวกนางไม่ได้ถามว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กลับทำจมูกฟุดฟิดราวกับเหม็นอะไรบางอย่างผู้เป็นนายของเรือนรู้ดีว่าพวกนาง
“นายหญิง” ไช่เสิ่งเจี๋ยก้าวขาเข้ามาในห้องเขาไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าอีกต่อไปแล้ว ร่างกายก็สะอาดสะอ้าน นางอยากรู้ว่า เขาใช่ชายในคำทำนายของท่านพ่อหรือเปล่า ถ้าใช่นางจะต้องช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นไปจากที่นี่“เจ้าก้อนเนื้อเหม็นเน่า เจ้าคือใครกันแน่” หลี่จื้อฉิงผุดลุกขึ้นมานั่งหย่อนขาที่ข้างเตียง ใบหน้างดงามได้รูปเวลานี้ซีดเซียวไร้สีเลือด นางต้องการพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดว่า เขาใช่องค์ชายตัวประกันจากเฉียนซีหรือไม่ หลี่จื้อฉิงจึงเลือกจะโยนเนื้อก้อนหนึ่งให้เขากระโดดงับ“ข้าคือสัตว์เลี้ยงของท่าน” เขาตอบอย่างนอบน้อมมีมารยาท ไช่เสิ่งเจี๋ยมีแผนการในใจอยู่แล้วเจ้าของใบหน้าสวยงามยิ้มเหยียด“ข้าถามว่าเจ้าคือใครกันแน่”“นายหญิง ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ยังคงเป็นคำตอบเดิม“องค์ชายท่านต้องการไปจากที่นี่หรือไม่” ในเมื่อเขาไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นใคร หลี่จื้อฉิงจึงเปิดเผยโฉมหน้าของเขาด้วยตนเอง“นายหญิง ในเวลานี้ข้าน้อยคือสัตว์เลี้ยงของท่าน เป็นทาสรับใช้ของท่าน” สถานะของเขามีใครบ้างไม่รู้ ชายหนุ่มหรี่ตามองร่างเล็กที่นั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงนอน “ข้าจะเป็นใครในอดีต ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ช
อาศัยตราหยกของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถเดินเข้าออกได้ทุกพื้นที่ของตำหนัก แม้กระทั่งเดินจนรอบรั้ววังหลวงแห่งฉางหมิง ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเมื่อเขายกป้ายขึ้น เป็นแค่เพียงธิดาขององค์หญิงใหญ่ หากนับความเข้มข้นของสายเลือดราชวงศ์นางแทบจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในราชบัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ ตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณกาล สตรีแต่งงานแล้วต้องออกเรือน แต่องค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงแต่งงานกับองค์ชายจากแคว้นที่ล่มสลาย อาศัยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมีต่อนาง ทำให้หลี่หย่าถิงยังสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นฉางหมิงได้ไม่รู้ว่าเพราะความฉลาดเฉลียว ความงดงาม หรือเล่ห์กลอันใด จากที่เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางกำนัลระดับล่าง ได้กลายมาเป็นสตรีทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งฉางหมิง ความฉลาดและงดงามนั้นมาคู่พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตพี่น้องร่วมราชบัลลังก์ที่ขวางหูขวางตาถูกหลี่หย่าถิงกำจัดทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่อ่อนแอไร้กำลังไว้ทำหน้าที่สวมมาลาสีเหลืองทองแทนนางก็เท่านั้นและเป็นเพราะอำนาจของมารดาทำให้ท่านหญิงที่เป็นเชื้อสายปลายแถวต่ำต้อยสามารถขึ้นมานั่งเทียบเท่ากับราชนิกุลที่กำเนิดจากสายเลือดของฮ่องเต้ได้
เมื่อออกมาจากประตูวัง ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินตามหาเส้นทางไปยังร้านขายพรตเมฆา แต่เป็นเพราะนางมิได้บอกเอาไว้ว่า ร้านขายยาตั้งอยู่บนถนนเส้นไหน เขาที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่กักขังทาสงุนงงไปหมด กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเดินตลาดของเหมืองหลวงแห่งฉางหมิง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย หากเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอร้านขายตามที่นางบอก หากกลับไปช้า ไม่แน่ว่านางจะหาเรื่องเอาผิดกับเขาในขณะที่กำลังคิดหาวิธี ชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยก็ถูกดึงจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปเป็นสตรีตัวเล็กสวมชุดสีฟ้าสดใส เส้นผมสีดำสนิทถูกเกล้าเก็บขึ้นเป็นทรงอย่างดี ร่างเล็กผอมบางดวงตากระจ่างใสงดงาม ยืนส่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านหลังเขา“ขอรับคุณหนู”“เจ้าหลงทางหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระจ่างใสราวกับสายน้ำเหลียนซูเยว่นั่งจิบน้ำชากินขนมอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารชาดแดง นางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวาง เข้าออกซอยนั้นทีซอยนี้ที วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิม คนตัวเล็กเห็นแล้วอดที่จะเข้าช่วยเหลือไม่ได้ แม้ใบหน้าจะงดงามโดดเด่น แต่กระนั้นก็อยู่ในชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ ที่ฉางหมิงแบ่งชนชั้นกันชัดเจน ถึงจะหน้าตาดีแต่หากเป็นเพียงชนชั้นต่
ร้านขายยาที่สภาพภายนอกโดยทั่วไปไม่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ไช่เสิ่งเจี๋ยมิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเป็นที่นี่เท่านั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้าน มีลูกค้าและหลงจู๊ทำการค้าขายกันตามปกติ มิมีสิ่งใดพิเศษหรือผิดแผกไปจากร้านอื่น ๆผนังด้านหนึ่งของร้านมีลิ้นชักไม้ตั้งเรียงราย แต่ละชั้นมีตัวอักษรสลักเป็นชื่อของตัวยาชนิดต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเพื่อความสะดวกในการจัดเทียบยาชนิดต่าง ๆ ตรงลิ้นชักเหล่านั้นมีโต๊ะไม้ยาวเท่ากับผนังลิ้นชัก พนักงานในร้านล้วนแล้วแต่กุลีกุจอทำหน้าที่ของตนเอง กลิ่นหอมของสมุนไพรอบอวลไปทั่วทั้งร้านบรรยากาศเรียบง่าย มีแสงส่องเข้ามาภายใน อากาศถ่ายเทเหมาะกับการเป็นร้านขายยา“คุณชายต้องการสิ่งใด” เด็กในร้านเห็นเขายืนเก้กังอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปถามไถ่เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ“สตรีร้ายกาจเอาแต่ใจ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคเด็กหนุ่มที่มาต้อนรับเขาในคราแรกผายมือให้ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินไปยังจุดที่เถ้าแก่ชรานั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือในสุด ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดเทียบยา“นายท่าน สตรีตัวร้ายมีเรื่องแล้ว” เด็กหนุ่มกระซิบกับเถ้าแก่ชรา ไช่เสิ่งเจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยายาที่ชั่งตวงอยู่เมื่อครู่ถูกวางล
“ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปเสียแล้วองค์ชาย”เมื่อกลืนยาลงท้องไปแล้วนางถึงได้พูดกับเขาไช่เสิ่งเจี๋ยลอบมองสตรีตัวร้ายที่นั่งเอนหลังพิงกายอยู่บนเตียงนอน“ข้าจะหนีไปได้อย่างไรนายหญิง ข้าน่ะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวอย่างเอาอกเอาใจหญิงสาวรู้ดีว่ารอยยิ้มที่เขามอบให้แก่นางมันสุดแสนจะเสแสร้ง“รอยยิ้มของท่านช่างดูจริงใจเสียจริง”“ข้าย่อมจริงใจต่อนายหญิงอยู่แล้ว” เขาบอก ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “นายหญิง อาการป่วยของท่านเป็นอย่างไร แผลที่เอวของท่านล่ะยังเจ็บอยู่หรือไม่”ใบหน้างดงามซีดเซียว ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร“ข้าจะนอนแล้วเจ้าออกไปได้แล้ว” กินยาแล้วง่วง นางจึงเอ่ยปากไล่เขาออกไปให้พ้นหน้า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วนอนไม่หลับ” นางบ่นแต่ถึงนางจะไล่ให้เขาออกไป แต่ไช่เสิ่งเจี๋ยก็มิคิดจะเดินออกไป นางไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาเกรงว่านางจะหิวตายก่อนที่เขาจะได้ออกไปจากที่นี่“นายหญิง ท่านยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”“ข้าไม่หิว”“ไม่ได้ขอรับ เกิดท่านหิวจนตายขึ้นมา ที่สัญญาเอาไว้ว่าฤดูร้อนปีหน้าข้าจะได้กลับไปเฉียนซีก็ล้มเหลวหมดสิ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุดแสนจะอ่อนโยน หากใ
ที่ลำคอของไช่เสิ่งเจี๋ยรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟลวก มีความรู้สึกวิตกกังวลพร้อมกับลางสังหรณ์แปลกประหลาด ผ่านไปครู่หนึ่งปลอกคอที่เขาสวมใส่ก็เย็นเฉียบคล้ายกับถูกแช่อยู่ในน้ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดดลใจ ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินออกมาจากเรือนไข่มุก มุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันออก อันเป็นเส้นทางเดินไปยังสระบัวที่อยู่ระหว่างทางไปตำหนักบูรพาของหลี่หย่าถิงตูม!! คล้ายกับเสียงของสิ่งของหนัก ๆ ตกลงไปในน้ำตอนที่เขาเดินไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ปั๋วจวินเดินสวนเขาออกมา เดินผ่านเขาไปด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรนจนน่าประหลาดใจ ไช่เสิ่งเจี๋ยมมิอยากให้อีกฝ่ายจดจำได้ว่า เขาคือใครจึงก้มหน้าก้มตา ทำความเคารพโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด ปั๋วจวินหันหลังกลับไปมองยังจุดที่เดินออกมาอยู่หลายครา เมื่อเขาจากไปแล้วไช่เสิ่งเจี๋ยจึงรีบไปยังจุดที่เขาเพิ่งจะออกมาผิวน้ำกระเพื่อมไหว รองเท้าปักลายดอกมู่ตานถูกถอดเอาไว้ริมตลิ่ง เขาจำได้ว่าเป็นของใคร ทุกอย่างถูกคาดเดาได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไช่เสิ่งเจี๋ยรีบกระโดดลงไปในน้ำหลี่จื
ไช่เสิ่งเจี๋ยยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวนาง ทหารยามที่ทำร้ายเขาถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่ไม่มีเหตุผลก็คือเขาทำร้ายคนของนาง หลี่จื้อฉิงถามเขาแล้วว่า ต้องการให้นางลงโทษด้วยวิธีการใด เขาตอบแค่เพียงว่าให้ขังเอาไว้ในคุกหลวงตลอดชีวิตมิได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไปนางมิรู้ว่าเขามีแผนการใด เขาสามารถร้องขอให้นางลงโทษทหารยามผู้นั้นให้หนักและรุนแรงกว่านี้ได้แต่เขาก็ไม่ทำเวลาผ่านพ้นไปจนถึงกลางฤดูร้อน ช่วงนี้เสด็จแม่ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับนางสักเท่าไร ส่งผลให้หลี่จื้อฉิงไม่ต้องนั่งปั้นหน้าทำตัวร้ายกาจตามความต้องการของนาง ราชบุตรเขยเสด็จพ่อของนางไปบำเพ็ญพรตนานกว่าที่คิด ไม่มีกำหนดกลับมาวังหลวงเสียที ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นนางยิ่งรู้สึกหดหู่ฤดูกาลนี้หมู่มวลดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวล ช่วงเวลาแสนสงบของนางจบลงที่การถูกเรียกตัวเข้าไปพบพระมารดา ข้างกายของเสด็จแม่ในยามนี้เคียงข้างด้วยปั๋วจวินดังเช่นทุกครั้ง เป็นภาพที่นางเห็นจนชินตา มิได
เมื่อหลายปีก่อน…นางเคยสงสัยว่าเหตุใดมารดาจึงไม่เคยแสดงออกว่ารักนางเลยสักครั้ง เด็กหญิงนั่งหย่อนขาลงในสระบัว เป็นจุดที่เงียบสงบที่หลี่จื้อฉิงมักจะมานั่งทอดอารมณ์ หลีกลี้หนีจากผู้คน เด็กหญิงนั่งหลบอยู่ตรงโขดหิน บดบังด้วยไม้ดอกพุ่มเล็ก ๆ เนื่องด้วยส่วนสูงของเด็กหญิง หากไม่สังเกตก็จะไม่เห็นว่านางมานั่งหลบอยู่ตรงนี้“ถิงเอ๋อร์ เจ้าไม่กลัวว่าองค์ชายนั่นจะมาพบเราเหรอ”“ไม่กลัวหรอก ปั๋วจวิน ท่านก็รู้ดีว่าเพราะอะไร” สตรีตัวเล็กเรือนร่างอวบอิ่มนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม วงแขนเรียวเล็กกอดคอเขาเอาไว้ “ที่ข้าแต่งงานกับเขาเพราะอะไรไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านก็รู้ว่าข้าน่ะรักท่านเพียงผู้เดียว” หลี่หย่าถิงซบลงกับอกแกร่ง“น่าเสียดายที่ในเวลานั้นเราสองคนยังไม่มีอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเราคงจะตบแต่งเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องกันไปแล้ว” น้ำเสียงของปั๋วจวินเศร้าหมอง“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป” หลี่หย่าถิงไม่อยากเอ่ยถึงในเวลานั้นทั้งนางและเขาต่างก็ไร้อำนาจอยู่ในมือ ปั๋วจวินเป็นเพียงองครักษ์ระดับล่าง ส่วนนางแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่เป็นเพราะมารดามีชาติกำเนิดต่ำต้อยทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น นางถูกห
“ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปเสียแล้วองค์ชาย”เมื่อกลืนยาลงท้องไปแล้วนางถึงได้พูดกับเขาไช่เสิ่งเจี๋ยลอบมองสตรีตัวร้ายที่นั่งเอนหลังพิงกายอยู่บนเตียงนอน“ข้าจะหนีไปได้อย่างไรนายหญิง ข้าน่ะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวอย่างเอาอกเอาใจหญิงสาวรู้ดีว่ารอยยิ้มที่เขามอบให้แก่นางมันสุดแสนจะเสแสร้ง“รอยยิ้มของท่านช่างดูจริงใจเสียจริง”“ข้าย่อมจริงใจต่อนายหญิงอยู่แล้ว” เขาบอก ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “นายหญิง อาการป่วยของท่านเป็นอย่างไร แผลที่เอวของท่านล่ะยังเจ็บอยู่หรือไม่”ใบหน้างดงามซีดเซียว ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร“ข้าจะนอนแล้วเจ้าออกไปได้แล้ว” กินยาแล้วง่วง นางจึงเอ่ยปากไล่เขาออกไปให้พ้นหน้า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วนอนไม่หลับ” นางบ่นแต่ถึงนางจะไล่ให้เขาออกไป แต่ไช่เสิ่งเจี๋ยก็มิคิดจะเดินออกไป นางไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาเกรงว่านางจะหิวตายก่อนที่เขาจะได้ออกไปจากที่นี่“นายหญิง ท่านยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”“ข้าไม่หิว”“ไม่ได้ขอรับ เกิดท่านหิวจนตายขึ้นมา ที่สัญญาเอาไว้ว่าฤดูร้อนปีหน้าข้าจะได้กลับไปเฉียนซีก็ล้มเหลวหมดสิ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุดแสนจะอ่อนโยน หากใ
ร้านขายยาที่สภาพภายนอกโดยทั่วไปไม่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ไช่เสิ่งเจี๋ยมิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเป็นที่นี่เท่านั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้าน มีลูกค้าและหลงจู๊ทำการค้าขายกันตามปกติ มิมีสิ่งใดพิเศษหรือผิดแผกไปจากร้านอื่น ๆผนังด้านหนึ่งของร้านมีลิ้นชักไม้ตั้งเรียงราย แต่ละชั้นมีตัวอักษรสลักเป็นชื่อของตัวยาชนิดต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเพื่อความสะดวกในการจัดเทียบยาชนิดต่าง ๆ ตรงลิ้นชักเหล่านั้นมีโต๊ะไม้ยาวเท่ากับผนังลิ้นชัก พนักงานในร้านล้วนแล้วแต่กุลีกุจอทำหน้าที่ของตนเอง กลิ่นหอมของสมุนไพรอบอวลไปทั่วทั้งร้านบรรยากาศเรียบง่าย มีแสงส่องเข้ามาภายใน อากาศถ่ายเทเหมาะกับการเป็นร้านขายยา“คุณชายต้องการสิ่งใด” เด็กในร้านเห็นเขายืนเก้กังอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปถามไถ่เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ“สตรีร้ายกาจเอาแต่ใจ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคเด็กหนุ่มที่มาต้อนรับเขาในคราแรกผายมือให้ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินไปยังจุดที่เถ้าแก่ชรานั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือในสุด ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดเทียบยา“นายท่าน สตรีตัวร้ายมีเรื่องแล้ว” เด็กหนุ่มกระซิบกับเถ้าแก่ชรา ไช่เสิ่งเจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยายาที่ชั่งตวงอยู่เมื่อครู่ถูกวางล
เมื่อออกมาจากประตูวัง ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินตามหาเส้นทางไปยังร้านขายพรตเมฆา แต่เป็นเพราะนางมิได้บอกเอาไว้ว่า ร้านขายยาตั้งอยู่บนถนนเส้นไหน เขาที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่กักขังทาสงุนงงไปหมด กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเดินตลาดของเหมืองหลวงแห่งฉางหมิง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย หากเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอร้านขายตามที่นางบอก หากกลับไปช้า ไม่แน่ว่านางจะหาเรื่องเอาผิดกับเขาในขณะที่กำลังคิดหาวิธี ชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยก็ถูกดึงจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปเป็นสตรีตัวเล็กสวมชุดสีฟ้าสดใส เส้นผมสีดำสนิทถูกเกล้าเก็บขึ้นเป็นทรงอย่างดี ร่างเล็กผอมบางดวงตากระจ่างใสงดงาม ยืนส่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านหลังเขา“ขอรับคุณหนู”“เจ้าหลงทางหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระจ่างใสราวกับสายน้ำเหลียนซูเยว่นั่งจิบน้ำชากินขนมอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารชาดแดง นางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวาง เข้าออกซอยนั้นทีซอยนี้ที วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิม คนตัวเล็กเห็นแล้วอดที่จะเข้าช่วยเหลือไม่ได้ แม้ใบหน้าจะงดงามโดดเด่น แต่กระนั้นก็อยู่ในชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ ที่ฉางหมิงแบ่งชนชั้นกันชัดเจน ถึงจะหน้าตาดีแต่หากเป็นเพียงชนชั้นต่
อาศัยตราหยกของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถเดินเข้าออกได้ทุกพื้นที่ของตำหนัก แม้กระทั่งเดินจนรอบรั้ววังหลวงแห่งฉางหมิง ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเมื่อเขายกป้ายขึ้น เป็นแค่เพียงธิดาขององค์หญิงใหญ่ หากนับความเข้มข้นของสายเลือดราชวงศ์นางแทบจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในราชบัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ ตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณกาล สตรีแต่งงานแล้วต้องออกเรือน แต่องค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงแต่งงานกับองค์ชายจากแคว้นที่ล่มสลาย อาศัยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมีต่อนาง ทำให้หลี่หย่าถิงยังสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นฉางหมิงได้ไม่รู้ว่าเพราะความฉลาดเฉลียว ความงดงาม หรือเล่ห์กลอันใด จากที่เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางกำนัลระดับล่าง ได้กลายมาเป็นสตรีทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งฉางหมิง ความฉลาดและงดงามนั้นมาคู่พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตพี่น้องร่วมราชบัลลังก์ที่ขวางหูขวางตาถูกหลี่หย่าถิงกำจัดทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่อ่อนแอไร้กำลังไว้ทำหน้าที่สวมมาลาสีเหลืองทองแทนนางก็เท่านั้นและเป็นเพราะอำนาจของมารดาทำให้ท่านหญิงที่เป็นเชื้อสายปลายแถวต่ำต้อยสามารถขึ้นมานั่งเทียบเท่ากับราชนิกุลที่กำเนิดจากสายเลือดของฮ่องเต้ได้
“นายหญิง” ไช่เสิ่งเจี๋ยก้าวขาเข้ามาในห้องเขาไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าอีกต่อไปแล้ว ร่างกายก็สะอาดสะอ้าน นางอยากรู้ว่า เขาใช่ชายในคำทำนายของท่านพ่อหรือเปล่า ถ้าใช่นางจะต้องช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นไปจากที่นี่“เจ้าก้อนเนื้อเหม็นเน่า เจ้าคือใครกันแน่” หลี่จื้อฉิงผุดลุกขึ้นมานั่งหย่อนขาที่ข้างเตียง ใบหน้างดงามได้รูปเวลานี้ซีดเซียวไร้สีเลือด นางต้องการพิสูจน์ให้รู้แน่ชัดว่า เขาใช่องค์ชายตัวประกันจากเฉียนซีหรือไม่ หลี่จื้อฉิงจึงเลือกจะโยนเนื้อก้อนหนึ่งให้เขากระโดดงับ“ข้าคือสัตว์เลี้ยงของท่าน” เขาตอบอย่างนอบน้อมมีมารยาท ไช่เสิ่งเจี๋ยมีแผนการในใจอยู่แล้วเจ้าของใบหน้าสวยงามยิ้มเหยียด“ข้าถามว่าเจ้าคือใครกันแน่”“นายหญิง ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ยังคงเป็นคำตอบเดิม“องค์ชายท่านต้องการไปจากที่นี่หรือไม่” ในเมื่อเขาไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นใคร หลี่จื้อฉิงจึงเปิดเผยโฉมหน้าของเขาด้วยตนเอง“นายหญิง ในเวลานี้ข้าน้อยคือสัตว์เลี้ยงของท่าน เป็นทาสรับใช้ของท่าน” สถานะของเขามีใครบ้างไม่รู้ ชายหนุ่มหรี่ตามองร่างเล็กที่นั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงนอน “ข้าจะเป็นใครในอดีต ไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลานี้ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน” ช
เมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาภายในเรือนไข่มุกของนาง หลี่จื้อฉิงที่นอนในถังน้ำตลอดทั้งคืนจึงลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กลุกขึ้นจากถังน้ำ บาดแผลที่อยู่บริเวณเอวดูท่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ศีรษะรู้สึกปวดและวิงเวียนจนแทบเดินไม่ไหวเสียงน้ำทำให้ไช่เสิ่งเจี๋ยที่นอนคุดคู้อยู่ไม่ห่างตื่นนอนพร้อมกับนาง ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้“ตัวเจ้าเหม็นมาก” นางยังคงพูดถึงกลิ่นตัวเหม็น ๆ ของเขาไม่หยุด“ขออภัยนายหญิง ที่ข้าน้อยมีกลิ่นเช่นนี้” ท่าทีของเขาเปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือหญิงสาวลุกกลับไปที่เตียงนอนถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก โดยไม่ได้สนใจว่า ไช่เสิ่งเจี๋ยจะอยู่หรือตาย ทำทุกอย่างราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ เรือนร่างขาวเนียน สัดส่วนสวยงามราวกับรูปสลัก ผู้ที่อายดันกลายเป็นไช่เสิ่งเจี๋ยที่ต้องเบือนหน้าหนีเสื้อผ้าชุ่มน้ำถูกนางยัดไปที่ใต้เตียงอย่างมิดชิด เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กสั่นกระดิ่งอยู่สองสามครั้งผ่านไปไม่นานนางกำนัลประจำเรือนไข่มุกก็กระวีกระวาดเข้ามาภายในห้อง“ท่านหญิงตื่นบรรทมแล้ว” พวกนางไม่ได้ถามว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่กลับทำจมูกฟุดฟิดราวกับเหม็นอะไรบางอย่างผู้เป็นนายของเรือนรู้ดีว่าพวกนาง