อาศัยตราหยกของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยสามารถเดินเข้าออกได้ทุกพื้นที่ของตำหนัก แม้กระทั่งเดินจนรอบรั้ววังหลวงแห่งฉางหมิง ก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเมื่อเขายกป้ายขึ้น เป็นแค่เพียงธิดาขององค์หญิงใหญ่ หากนับความเข้มข้นของสายเลือดราชวงศ์นางแทบจะไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในราชบัลลังก์นี้ด้วยซ้ำ ตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณกาล สตรีแต่งงานแล้วต้องออกเรือน แต่องค์หญิงใหญ่หลี่หย่าถิงแต่งงานกับองค์ชายจากแคว้นที่ล่มสลาย อาศัยความโปรดปรานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมีต่อนาง ทำให้หลี่หย่าถิงยังสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงแคว้นฉางหมิงได้
ไม่รู้ว่าเพราะความฉลาดเฉลียว ความงดงาม หรือเล่ห์กลอันใด จากที่เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางกำนัลระดับล่าง ได้กลายมาเป็นสตรีทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งฉางหมิง ความฉลาดและงดงามนั้นมาคู่พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต
พี่น้องร่วมราชบัลลังก์ที่ขวางหูขวางตาถูกหลี่หย่าถิงกำจัดทิ้งทั้งหมด เหลือเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดที่อ่อนแอไร้กำลังไว้ทำหน้าที่สวมมาลาสีเหลืองทองแทนนางก็เท่านั้น
และเป็นเพราะอำนาจของมารดาทำให้ท่านหญิงที่เป็นเชื้อสายปลายแถวต่ำต้อยสามารถขึ้นมานั่งเทียบเท่ากับราชนิกุลที่กำเนิดจากสายเลือดของฮ่องเต้ได้ หลี่หย่าถิงปล่อยให้หลี่จื้อฉิงซึ่งเป็นธิดาเพียงคนเดียว ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กดขี่ข่มเหงรังแกเชื้อพระวงศ์อื่นได้อย่างไม่มีผู้ใดกล้าออกปากห้ามปราม แม้กระทั่งเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองแผ่นดินฉางหมิง
ยิ่งคิดถึงท่าทางยโสโอหังของหลี่จื้อฉิง ไช่เสิ่งเจี๋ยยิ่งเกลียดนัก ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันอะไรกัน ไร้สาระทั้งเพ สิ่งที่มารดาของนางกระทำต่อเขา และแผ่นดินเฉียนซี เขาที่เป็นรัชทายาทว่าที่ผู้ปกครองแผ่นดินในอนาคตย่อมไม่อาจให้อภัยนางได้
เดินจนมาถึงประตูสุดท้ายของวังหลวงแคว้นฉางหมิง ชายหนุ่มโล่งใจอย่างที่สุด ขอแค่เพียงเขาก้าวออกไปติดต่อกับสายลับของเฉียนซีที่หลบซ่อนทำการค้าอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นฉางหมิง เขาก็จะสามารถรอดพ้นกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้ในทันที
“นึกว่าใครที่แท้องค์ชายตัวประกันนี่เอง” ทหารยามที่เมื่อก่อนหน้านั้นเคยเป็นผู้คุมเชลยศึกยิ้มละไมเมื่อพบไช่เสิ่งเจี๋ยอยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดสะอ้าน
“...” ไช่เสิ่งเจี๋ยเองเห็นหน้าก็จดจำได้ในทันที สิ่งที่มันกระทำต่อเขาเมื่อครั้งยังอยู่ในค่ายกักขังเชลยศึก
“ข้าพูดกับเจ้าเหตุใดจึงไม่ตอบ” ทหารยามรังเกียจท่าทางยโสโอหังเช่นนั้น
ดวงตาสีนิลของไช่เสิ่งเจี๋ยแสดงออกไปอย่างไร้ความรู้สึก ล้ำลึกดำมืดราวกับท้องนภายามราตรี ก่อนจะหยกตราหยกประจำตัวของหลี่จื้อฉิงออกมาแสดง
“ท่านหญิงจื้อฉิงสั่งให้ข้าไปทำธุระให้แก่นาง หากเจ้า...ไม่อยากมีปัญหากับนางก็อย่ามาขวางทาง” ไช่เสิ่งเจี๋ยยังมิทันจะได้หยกตราหยกของหลี่จื้อฉิงขึ้นมาแสดง ก็ถูกทหารยามชั้นต่ำใช้กระบี่ที่ยังมิทันได้ชักออกจากฝักฟาดเข้าให้ที่ศีรษะ
“คนเช่นเจ้าน่ะหรือจะได้รับใช้ใกล้ชิดกับท่านหญิงจื้อฉิง” สตรีผู้นั้นจะมาสนใจอะไรทาสเช่นไช่เสิ่งเจี๋ย ทหารยามที่ไม่เชื่อจึงลงไม้ลงมือ เนื่องด้วยในอดีตความหล่อเหลาขององค์ชายตัวประกันผู้นี้กุมหัวใจของสตรีทุกชนชั้นในฉางหมิง ไม่เว้นแม้กระทั่งนางในดวงใจของเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาจึงลงไม้ลงมือกับไช่เสิ่งเจี๋ยมาโดยตลอด ตอนที่ได้ย้ายออกมาจากคุกทาสยังเสียดายไม่น้อย คิดไม่ถึงมันจะตามมาให้เขาลงไม้ลงมือถึงที่นี่
โทสะของไช่เสิ่งเจี๋ยทวีพูนเพิ่มขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ยังนิ่งเฉย โลหิตสีแดงสดไหลรินที่ขมับขวา เขารู้วิธีการเอาคืนคนผู้นี้ ที่ตั้งใจว่าจะออกจากฉางหมิง และกลับไปที่เฉียนซีเสียตั้งแต่วันนี้เขากลับต้องมาคิดใหม่ มันผู้นี้ต้องย่อยยับภายใต้เงื้อมมือของเขาเท่านั้น เกรงว่าถ้ากลับไปในตอนนี้ มันจะตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น
ชายหนุ่มหยิบตราหยกขึ้นมาแสดงให้พวกมันเห็น
“นี่เป็นตราหยกของท่านหญิงจื้อฉิง ข้าเป็นบ่าวของนาง หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปพบนางด้วยกัน”
ผู้เป็นทหารยามอ่านอักขระบนตราหยกสีม่วงชิ้นนั้นถึงกลับเข่าทรุด แข้งขาอ่อนแรง คิดไม่ถึงว่าองค์ชายตัวประกันที่เขาเคยเหยียดหยามเวลานี้จะได้กลายเป็นคนของสตรีชั่วร้ายเช่นหลี่จื้อฉิง
“จะ...เจ้าโกหก”
“ข้าบอกแล้วไงว่า ข้าเป็นใคร” ไช่เสิ่งเจี๋ยโน้มตัวเล็กน้อยกระซิบกับทหารยามผู้เป็นอริกับตนเอง “ทีนี้ปล่อยข้าไปได้หรือยัง เกรงว่า ถ้ากลับมาช้ากว่านี้และทำให้นางไม่พอใจ ต่อให้เจ้ามีสิบหัวก็ไม่พอให้นางตัด”
ฝ่ายทหารยามเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
จากที่ตั้งใจจะไปจากที่นี่ไช่เสิ่งเจี๋ยเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มที่เช็ดซับโลหิตที่ศีรษะของตนเอง เดินตามหาร้านขายยาพรตเมฆา นานมากแล้วที่เขามิเคยได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสมม
สองขาค่อย ๆ ก้าวอย่างมั่นคง บ้านเรือนร้านค้าศิลปวัฒนธรรมของเมืองหลวงฉางหมิงล้วนเฟื่องฟู แคว้นยิ่งใหญ่เช่นนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของแผ่นดินนี้ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่โดดเด่น การศึกษาของประชาชนทั่วถึง ใบหน้าของประชาชนล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สุขสบายกันถึงเพียงนี้เหตุใดจึงมุ่งหมายทำลายล้างดินแดนอื่น ๆ อีก ทั้งเฉียนซี เยวี่ยหยาง ถูกหลี่หย่าถิงและปั๋วจวินทำลายจนหมดสิ้น
ชาวเฉียนซีล้วนแล้วแต่รักในความสงบสุขสมถะ ความทรงจำสุดท้ายหลังจากที่เขาออกมาจากแผ่นดินเฉียนซี ทั่วทั้งแคว้นเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ประชาชนอยู่อย่างแร้นแค้น สงครามปล้นชิงอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ลูกเด็กเล็กแดงต่างอยู่กันอย่างทุกข์ทน
ในสมองของไช่เสิ่งเจี๋ยกำลังจินตนาการถึงวันที่เขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของดินแดนนี้ ร่างและศีรษะของหลี่หย่าถิงรวมถึงโลหิตของประชาชนฉางหมิงจะต้องถูกนำมาสังเวยให้กับประชาชนของเขา กระทำเหมือนกันกับที่ฉางหมิงทำต่อเฉียนซี
เมื่อออกมาจากประตูวัง ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินตามหาเส้นทางไปยังร้านขายพรตเมฆา แต่เป็นเพราะนางมิได้บอกเอาไว้ว่า ร้านขายยาตั้งอยู่บนถนนเส้นไหน เขาที่เพิ่งออกมาจากพื้นที่กักขังทาสงุนงงไปหมด กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเดินตลาดของเหมืองหลวงแห่งฉางหมิง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่คุ้นเคย หากเป็นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอร้านขายตามที่นางบอก หากกลับไปช้า ไม่แน่ว่านางจะหาเรื่องเอาผิดกับเขาในขณะที่กำลังคิดหาวิธี ชายเสื้อของไช่เสิ่งเจี๋ยก็ถูกดึงจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปเป็นสตรีตัวเล็กสวมชุดสีฟ้าสดใส เส้นผมสีดำสนิทถูกเกล้าเก็บขึ้นเป็นทรงอย่างดี ร่างเล็กผอมบางดวงตากระจ่างใสงดงาม ยืนส่งยิ้มตาหยีอยู่ด้านหลังเขา“ขอรับคุณหนู”“เจ้าหลงทางหรือไม่” น้ำเสียงของนางกระจ่างใสราวกับสายน้ำเหลียนซูเยว่นั่งจิบน้ำชากินขนมอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารชาดแดง นางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนหันรีหันขวาง เข้าออกซอยนั้นทีซอยนี้ที วนไปวนมาแล้วกลับมาที่เดิม คนตัวเล็กเห็นแล้วอดที่จะเข้าช่วยเหลือไม่ได้ แม้ใบหน้าจะงดงามโดดเด่น แต่กระนั้นก็อยู่ในชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ ที่ฉางหมิงแบ่งชนชั้นกันชัดเจน ถึงจะหน้าตาดีแต่หากเป็นเพียงชนชั้นต่
ร้านขายยาที่สภาพภายนอกโดยทั่วไปไม่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ไช่เสิ่งเจี๋ยมิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเป็นที่นี่เท่านั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้าน มีลูกค้าและหลงจู๊ทำการค้าขายกันตามปกติ มิมีสิ่งใดพิเศษหรือผิดแผกไปจากร้านอื่น ๆผนังด้านหนึ่งของร้านมีลิ้นชักไม้ตั้งเรียงราย แต่ละชั้นมีตัวอักษรสลักเป็นชื่อของตัวยาชนิดต่าง ๆ เดาว่าน่าจะเพื่อความสะดวกในการจัดเทียบยาชนิดต่าง ๆ ตรงลิ้นชักเหล่านั้นมีโต๊ะไม้ยาวเท่ากับผนังลิ้นชัก พนักงานในร้านล้วนแล้วแต่กุลีกุจอทำหน้าที่ของตนเอง กลิ่นหอมของสมุนไพรอบอวลไปทั่วทั้งร้านบรรยากาศเรียบง่าย มีแสงส่องเข้ามาภายใน อากาศถ่ายเทเหมาะกับการเป็นร้านขายยา“คุณชายต้องการสิ่งใด” เด็กในร้านเห็นเขายืนเก้กังอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปถามไถ่เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือ“สตรีร้ายกาจเอาแต่ใจ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคเด็กหนุ่มที่มาต้อนรับเขาในคราแรกผายมือให้ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินไปยังจุดที่เถ้าแก่ชรานั่งอยู่ทางด้านซ้ายมือในสุด ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดเทียบยา“นายท่าน สตรีตัวร้ายมีเรื่องแล้ว” เด็กหนุ่มกระซิบกับเถ้าแก่ชรา ไช่เสิ่งเจี๋ยเลิกคิ้วเล็กน้อย สังเกตปฏิกิริยายาที่ชั่งตวงอยู่เมื่อครู่ถูกวางล
“ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปเสียแล้วองค์ชาย”เมื่อกลืนยาลงท้องไปแล้วนางถึงได้พูดกับเขาไช่เสิ่งเจี๋ยลอบมองสตรีตัวร้ายที่นั่งเอนหลังพิงกายอยู่บนเตียงนอน“ข้าจะหนีไปได้อย่างไรนายหญิง ข้าน่ะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวอย่างเอาอกเอาใจหญิงสาวรู้ดีว่ารอยยิ้มที่เขามอบให้แก่นางมันสุดแสนจะเสแสร้ง“รอยยิ้มของท่านช่างดูจริงใจเสียจริง”“ข้าย่อมจริงใจต่อนายหญิงอยู่แล้ว” เขาบอก ก่อนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “นายหญิง อาการป่วยของท่านเป็นอย่างไร แผลที่เอวของท่านล่ะยังเจ็บอยู่หรือไม่”ใบหน้างดงามซีดเซียว ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าไม่เป็นไร“ข้าจะนอนแล้วเจ้าออกไปได้แล้ว” กินยาแล้วง่วง นางจึงเอ่ยปากไล่เขาออกไปให้พ้นหน้า “ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วนอนไม่หลับ” นางบ่นแต่ถึงนางจะไล่ให้เขาออกไป แต่ไช่เสิ่งเจี๋ยก็มิคิดจะเดินออกไป นางไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาเกรงว่านางจะหิวตายก่อนที่เขาจะได้ออกไปจากที่นี่“นายหญิง ท่านยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน”“ข้าไม่หิว”“ไม่ได้ขอรับ เกิดท่านหิวจนตายขึ้นมา ที่สัญญาเอาไว้ว่าฤดูร้อนปีหน้าข้าจะได้กลับไปเฉียนซีก็ล้มเหลวหมดสิ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุดแสนจะอ่อนโยน หากใ
เมื่อหลายปีก่อน…นางเคยสงสัยว่าเหตุใดมารดาจึงไม่เคยแสดงออกว่ารักนางเลยสักครั้ง เด็กหญิงนั่งหย่อนขาลงในสระบัว เป็นจุดที่เงียบสงบที่หลี่จื้อฉิงมักจะมานั่งทอดอารมณ์ หลีกลี้หนีจากผู้คน เด็กหญิงนั่งหลบอยู่ตรงโขดหิน บดบังด้วยไม้ดอกพุ่มเล็ก ๆ เนื่องด้วยส่วนสูงของเด็กหญิง หากไม่สังเกตก็จะไม่เห็นว่านางมานั่งหลบอยู่ตรงนี้“ถิงเอ๋อร์ เจ้าไม่กลัวว่าองค์ชายนั่นจะมาพบเราเหรอ”“ไม่กลัวหรอก ปั๋วจวิน ท่านก็รู้ดีว่าเพราะอะไร” สตรีตัวเล็กเรือนร่างอวบอิ่มนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม วงแขนเรียวเล็กกอดคอเขาเอาไว้ “ที่ข้าแต่งงานกับเขาเพราะอะไรไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านก็รู้ว่าข้าน่ะรักท่านเพียงผู้เดียว” หลี่หย่าถิงซบลงกับอกแกร่ง“น่าเสียดายที่ในเวลานั้นเราสองคนยังไม่มีอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเราคงจะตบแต่งเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องกันไปแล้ว” น้ำเสียงของปั๋วจวินเศร้าหมอง“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป” หลี่หย่าถิงไม่อยากเอ่ยถึงในเวลานั้นทั้งนางและเขาต่างก็ไร้อำนาจอยู่ในมือ ปั๋วจวินเป็นเพียงองครักษ์ระดับล่าง ส่วนนางแม้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่เป็นเพราะมารดามีชาติกำเนิดต่ำต้อยทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น นางถูกห
ไช่เสิ่งเจี๋ยยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวนาง ทหารยามที่ทำร้ายเขาถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในคุกหลวงเรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่ไม่มีเหตุผลก็คือเขาทำร้ายคนของนาง หลี่จื้อฉิงถามเขาแล้วว่า ต้องการให้นางลงโทษด้วยวิธีการใด เขาตอบแค่เพียงว่าให้ขังเอาไว้ในคุกหลวงตลอดชีวิตมิได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไปนางมิรู้ว่าเขามีแผนการใด เขาสามารถร้องขอให้นางลงโทษทหารยามผู้นั้นให้หนักและรุนแรงกว่านี้ได้แต่เขาก็ไม่ทำเวลาผ่านพ้นไปจนถึงกลางฤดูร้อน ช่วงนี้เสด็จแม่ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับนางสักเท่าไร ส่งผลให้หลี่จื้อฉิงไม่ต้องนั่งปั้นหน้าทำตัวร้ายกาจตามความต้องการของนาง ราชบุตรเขยเสด็จพ่อของนางไปบำเพ็ญพรตนานกว่าที่คิด ไม่มีกำหนดกลับมาวังหลวงเสียที ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นนางยิ่งรู้สึกหดหู่ฤดูกาลนี้หมู่มวลดอกไม้เบ่งบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวล ช่วงเวลาแสนสงบของนางจบลงที่การถูกเรียกตัวเข้าไปพบพระมารดา ข้างกายของเสด็จแม่ในยามนี้เคียงข้างด้วยปั๋วจวินดังเช่นทุกครั้ง เป็นภาพที่นางเห็นจนชินตา มิได
ที่ลำคอของไช่เสิ่งเจี๋ยรู้สึกร้อนราวกับถูกไฟลวก มีความรู้สึกวิตกกังวลพร้อมกับลางสังหรณ์แปลกประหลาด ผ่านไปครู่หนึ่งปลอกคอที่เขาสวมใส่ก็เย็นเฉียบคล้ายกับถูกแช่อยู่ในน้ำไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดดลใจ ไช่เสิ่งเจี๋ยเดินออกมาจากเรือนไข่มุก มุ่งหน้าไปยังทางทิศตะวันออก อันเป็นเส้นทางเดินไปยังสระบัวที่อยู่ระหว่างทางไปตำหนักบูรพาของหลี่หย่าถิงตูม!! คล้ายกับเสียงของสิ่งของหนัก ๆ ตกลงไปในน้ำตอนที่เขาเดินไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ปั๋วจวินเดินสวนเขาออกมา เดินผ่านเขาไปด้วยสีหน้าท่าทางร้อนรนจนน่าประหลาดใจ ไช่เสิ่งเจี๋ยมมิอยากให้อีกฝ่ายจดจำได้ว่า เขาคือใครจึงก้มหน้าก้มตา ทำความเคารพโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด ปั๋วจวินหันหลังกลับไปมองยังจุดที่เดินออกมาอยู่หลายครา เมื่อเขาจากไปแล้วไช่เสิ่งเจี๋ยจึงรีบไปยังจุดที่เขาเพิ่งจะออกมาผิวน้ำกระเพื่อมไหว รองเท้าปักลายดอกมู่ตานถูกถอดเอาไว้ริมตลิ่ง เขาจำได้ว่าเป็นของใคร ทุกอย่างถูกคาดเดาได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไช่เสิ่งเจี๋ยรีบกระโดดลงไปในน้ำหลี่จื
งานชมบุปผาของหลี่ซินอี้จัดที่ริมแม่น้ำ บริเวณนั้นหลี่จื้อฉิงจำได้ว่ามีทุ่งดอกโหย่วไช่ฮวา เบ่งบานสะพรั่ง ที่เลือกที่นั่นแทนที่จะจัดเลี้ยงกันในอุทยานหลวง คงเพราะเกรงว่าเสด็จแม่ของนางจะรู้ละมั้ง ลังไม้ขนาดใหญ่บรรจุของขวัญ เตรียมมอบให้กับองค์หญิง ถูกขนตามหลังรถม้าที่มีหลี่จื้อฉิงและไช่เสิ่งเจี๋ยนั่งอยู่บนนั้นเขาดื้อด้านจะไม่ยอมมาพร้อมกับนาง หลี่จื้อฉิงจึงใช้มณีแดงบีบบังคับ ไช่เสิ่งเจี๋ยมิอาจทนความเจ็บปวดได้จึงยินยอมตามมา สีหน้าของชายหนุ่มบูดบึ้ง ผิดกับนางที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลาเสื้อผ้าอาภรณ์ของหลี่จื้อฉิงหรูหรา ถูกตัดเย็บอย่างประณีตจากสำนักภูษาที่ฝีมือดีที่สุดในแคว้น ใบหน้าสวยงามของนางประโคมตบแต่งด้วยเครื่องสำอางจนหนาเตอะ ไช่เสิ่งเจี๋ยเห็นแล้วอดรู้สึกขบขันไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ที่เขาถูกมอบเป็นของขวัญให้กับนาง ที่ได้เห็นนางในภาพลักษณ์ที่เหมาะสมกับเป็นสตรีชั่วช้าเช่นนี้ ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้ไม่ลืมว่านางเป็นสตรีเช่นไร ทั้งที่ยามปกติใบหน้างดงามนั่นจะไร้ซึ่งเครื่องสำอางซีดเซียวและดูเหมือนคนป่วยใกล้ตายตลอดเวลา
ของขวัญที่องค์หญิงหย่าถิงจะมอบให้ ย่อมไม่ใช่ของดี ทุกคนต่างก็วิตกกังวลซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา คาดเดาว่ามันคือสิ่งใด หลี่จื้อฉิงเองก็ไม่รู้ว่าในลังไม้ขนาดใหญ่สองลังคือสิ่งใด ที่จริงเสด็จแม่เองก็กำชับให้นางระมัดระวังตัวให้ดี ๆ ก่อนที่จะเปิดมันออกมหาดเล็กของนางหอบลังขนาดใหญ่มาตั้งไว้กลางงานเลี้ยง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ลังไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางหลี่จื้อฉิงถอยหลังออกมาเล็กน้อย ทันทีที่นางดีดนิ้ว ลังไม้ก็ถูกเปิดออก งูที่มีพิษอ่อน ๆ หากถูกกัดก็ไม่ถึงกับตาย นับร้อยตัวถูกปล่อยออกมาจากลังไม้ทั้งสองใบ มหาดเล็กสองคนที่เป็นผู้เปิดลังไม้ใบใหญ่ ถูกงูกัดดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ทุกคนในบริเวณนั้นวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นไช่เสิ่งเจี๋ยถูกพิษมาตั้งแต่ยังเด็ก งูพวกพิษอ่อนพวกนี้จึงแทบไม่ระคายผิว ผู้ที่เขาห่วงใยคือสตรีที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างหากความวุ่นวายก่อตัวขึ้น ข้าวของกระจัดกระจาย เหลียนซูเยว่ พอจะเป็นยุทธ์ แต่สหายสนิทของนางไม่เป็นยุทธ์“พี่เจิ้ง ช่วยองค์หญิงก่อน” ปั๋วเ
เป็นเพราะทั้งซื่อหานและหงหลางต่างก็เป็นเทพและมารที่อยู่มาในยุคฟ้าปางก่อน เป็นเทพมารบรรพกาลที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่องค์ในยุคนี้ การที่ทั้งคู่คบหากันจึงไม่มีใครคัดค้านแม้กระทั่งเทียนตี้เองก็มิกล้ามีปากมีเสียง คงเพราะหวั่นเกรงกลัวว่า มหาเทพซื่อหานจะบุกมาพังตำหนักของตนไม่ก็ถูกมหาจอมมารขโมยผลไม้เซียนที่เขาปลูกเอาไว้ จึงปล่อยเลยตามเลยทำปิดหูปิดตาไม่สนใจ แม้จะกังวลเรื่องการรวมดินแดนเพียงไหนก็ตามในอดีตนางและเขาทะเลาะกันจนทำให้ดินแดนทั้งสองแยกขาดจากกัน นางแกล้งเขาด้วยการสร้างโซ่เส้นหนึ่งขังเขาเอาไว้ในตำหนัก หงหลางโกรธจัด นับตั้งแต่นั้นมา สองดินแดนจึงถูกแยกออกจากกัน ถึงเวลาที่เขาและนางจะช่วยกันรวมดินแดนผนึกแผ่นดินเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่หลันเว่ยลงมือกระทำไปทั้งหมดเป็นการช่วยส่งเสริมให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะเดิมอย่างที่สามภพเคยเป็น มารและเทพกลับมาคบหากันอย่างเปิดเผย อยู่ภายใต้ขอบเขตศีลธรรมอันดีงาม“ท่านพ่อท่านแม่อยู่ไหน” คุนอวี่ถามหาบิดาและมารดา จากเกาเจี๋ยและสือโต้ว
เพราะท่านพ่อท่านแม่กำลังอยู่ในช่วงเวลาปรับความเข้าใจกัน เด็กชายเบื่อ ๆ ไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน จึงออกไปเที่ยวเล่นดังเช่นปกติ แต่วันนี้ดันเตลิดเลยออกมาห่างจากตำหนักวิเวกของมารดาเกินไปสักนิด เดิมทีก้อนแป้งเองก็สนุกสนานกับการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีตบะกลิ่นอายเซียนและมารผสมรวมกันอยู่ ปีศาจหรือเซียนระดับล่างมิอาจทำร้ายเขาได้ และทำให้เขาสามารถเข้าออกได้ทุกหนแห่งในสามภพป่าแถบนี้ประหลาดนัก ไร้เสียงของสัตว์สวรรค์ เด็กชายเดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นดอกบัวสีทองอร่ามงดงามจับใจอยู่กลางบึงน้ำสีครามสวย“เจ้าดอกบัว” หากเก็บไปให้มารดาและบิดาเป็นของขวัญคงจะดีไม่น้อย เมื่อคิดแล้วก็ลงมือ กระบี่ที่บิดาเป็นผู้หลอมให้เป็นของขวัญถูกนำออกมา ก้อนแป้งน้อยเขวี้ยงกระบี่ออกไปหมายจะตัดดอกบัวสีทองออกมาจากบึงแต่ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ดอกบัวดอกนั้นหลบหลีกกระบี่มารของบิดาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งดอกบัวสีทองก็แปลงกายเป็นสตรีใบหน้างดงาม“คุณชาย อย่าทำร้ายข้า” นางอ้อนวอนทั้งน้ำตา&ldq
หงหลางกางข่ายอาคมของตนเองครอบคลุมสวนดอกท้อซื่อหานตกใจ ร้องเสียงหลง“เจ้าจะทำอะไร”“ข้าไม่อยากให้ใครมาแอบดูพวกเราสองคนทำอะไรกัน” เขาไม่พูดเปล่า แต่มือไม้ยังวุ่นวายกับร่างกายของนาง“หงหลางหยุดก่อน” นางผายมือขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข่ายอาคมของนางเอง“...” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ“ชะ...ใช้ของข้า คนอื่นจะได้ไม่งงว่า เกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักวิเวก” นางกล่าวอึกอักหงหลางยิ้ม “เจ้านี่น่ารักจริง ๆ น่ารักมาตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน” ท่าทางเขินอายของนางทำเอาเขาอดเอ็นดูไม่ได้เสื้อผ้าของนางถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว จนร่างกายเปลือยเปล่าส่วนตัวของเขาเองก็เช่นกัน ผู้เป็นจอมมารขบเม้มร่างกายของนางจนเป็นรอยตราสีแดงไปทั่วทั้งร่าง กลืนกินทุกสัดส่วนอย่างโหยหา กลิ่นนี้ น้ำเสียงนี้ และความรู้สึกนี้ที่เขาเฝ้าตามหามาโดยตลอด ในที่สุดนางก็กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครา“ซื่อหาน ข้าคิดถึง
ทรมานอยู่บนโลกมนุษย์อยู่หนึ่งร้อยปี ไร้รัก ไร้ทายาท ปกครองแผ่นดินเฉียนซีตามปณิธานของหลี่จื้อฉิงอย่างเคร่งครัด หงหลางจึงได้กลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง เขาจำเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ความเจ็บปวด ความรัก เขาล้วนแต่ไม่สามารถลืมได้ ไม่คิดว่าการผ่านด่านเคราะห์ของเขาในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายเช่นนี้มหาจอมมารหงหลางตามหาจิตวิญญาณของสตรีผู้นั้นอยู่นานนับร้อยปี เฝ้าค้นหาทั่วทั้งสามภพมิอาจปล่อยวางได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็มิอาจหานางจนพบ บุกขึ้นไปหาเทพซือมิ่งเพื่อสอบถามถึงสตรีที่มีนามว่าหลี่จื้อฉิง แต่บุรุษผู้นั้นเคร่งครัดในหน้าที่มิอาจเปิดเผยข้อมูลได้ในวันที่ดื่มสุราจนเมามาย เด็กชายหน้าตาน่ารักที่มีกลิ่นอายของมารและเซียนวิ่งเข้ามาในตำหนักศิลาจันทร์“ท่านพ่อ” เด็กชายยิ้มน่ารักเรียกเขาว่าพ่ออย่างไม่เคอะเขิน“เจ้าก้อนแป้งน้อย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” โดยปกติทั่วไปหากเป็นเซียนที่มีตบะน้อยนิดมิอาจย่างกรายเข้ามาในตำหนักของเขาได้ แม้แต่เหยียบบนพื้นแผ่นดินมา เซียนระดับสูงก็มิ
เสียงเด็กวิ่งเล่นวุ่นวายทำให้ซื่อหานจำใจต้องลืมตาตื่น ร่างเล็กผินหน้ามองออกไปนอกตำหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในตำหนักเซียนของนางจะมีเด็กมาอาศัยอยู่ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกไปไหน เด็กที่มีกลิ่นอายมารและเซียนผสมกันก็เปิดประตูวิ่งพรวดพราดเข้ามาหาทางที่เตียง“ท่านแม่ ท่านตื่นแล้ว” เด็กชายยิ้มตาหยี ที่ด้านหลังมีเซียนก้อนหินน้อยสือโต้วเดินตามเข้ามาซื่อหานใช้นิ้วแตะศีรษะของเด็กน้อยดันเจ้าก้อนแป้งสีขาวให้ห่างออกไปจากตัวนาง“ใครเป็นแม่ของเจ้ากัน” หญิงสาวมองก้อนแป้งสีขาวหน้าตาน่ารักอย่างงุนงง พร้อมกับมองไปยังสือโต้วที่ยืนทำหน้าตาตลกอยู่ด้านหลัง “เจ้าเป็นพ่อของเด็กคนนี้เหรอ”“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่เช่นนั้น ไว้มหาเทพตื่นให้เต็มที่เสียก่อนเดี๋ยวข้าน้อยและท่านเกาเจี๋ยจะเล่าให้ฟัง”“ท่านแม่ ท่านไม่รักข้าแล้วงั้นหรือ” เด็กชายร้องไห้“จู่ ๆ มาร้องไห้ได้ยังไงกัน” ซื่อหานเห็นเด็กชายผู้นี้ร้องไห้ หัวใจของนางพลันเจ็บปวด ตลอด
ครบกำหนดเวลาที่เขาวางเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นางจะปรากฏตัวออกมา ลานประหารที่ไช่เสิ่งเจี๋ยใช้ในการสังหารชาวบ้านในหมู่บ้านถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ณ จัตุรัสกลางเมือง ประชาชนแห่งเฉียนซีไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมาดู เพราะหวั่นเกรงว่าจะถูกลูกหลง การค้าทุกอย่างหยุดชะงักเพราะความบ้าระห่ำเลือดเย็นของผู้ปกครองแผ่นดิน ข้าราชบริพารขุนนางในราชสำนักเองก็มิมีผู้ใดกล้าขัดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ถูกปิดหน้าปิดตาถูกนำตัวขึ้นไปวางไว้บนลานประหารที่เขาสร้างเอาไว้ ส่วนตัวของไช่เสิ่งเจี๋ยเองนั่งอยู่เหนือลานประหาร สายตาและท่าทางเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ ดวงตากลายเป็นสีเทาไปนานแล้ว“จือจือ เจ้าจะไม่มาจริง ๆ หรือ เจ้าจะยอมให้เด็กน้อยที่น่าสงสารถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดงั้นหรือ” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่ามกลางบ้านเรือนที่เงียบกริบราวกับป่าช้า ไร้เสียงของผู้คน มีแค่เพียงเสียงของฝูงอีกาและลมฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ เศษใบไม้ปลิวว่อนทั่วทั้งทางบริเวณ หวีดหวิวน่าวังเวงใจ ครู่เงาร่
นางได้รับประทานขนมฝีมือของบิดาแทบทุกวัน จนรู้สึกว่าตนเองอ้วนขึ้นประกอบกับวัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเล่นหมากล้อมวาดภาพกับบิดา กิจกรรมหลักของนางจึงเป็นการออกมานั่งเล่น ซักผ้าที่ริมลำธาร วันนี้ก็เช่นกันหลี่จื้อฉิงเห็นเด็ก ๆ เล่นน้ำกันอย่างมีความสุขมือเรียวกุมหน้าท้องของตนเองอย่างลืมตัว ถ้าหาก...ถ้าหากเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ อายุก็คงรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าตัวแสบกลุ่มนั้น ลูกของนางจะหน้าตาเป็นเช่นไรกันนะ จะเหมือนเขาหรือนางมากกว่ากันเมื่อคิดถึงความสูญเสียในอดีตที่ผ่านมาดวงตางดงามก็หม่นแสงลง“นี่เจ้าได้ยินเรื่องที่ฮ่องเต้แห่งเฉียนซีประกาศหรือไม่” ระหว่างที่นั่งเล่นอยู่นั้นนางได้ยินกลุ่มหญิงสาวที่กำลังซักผ้าพูดคุยกัน ฮ่องเต้แห่งเฉียนซีงั้นเหรอ หมายถึงเสี่ยวเสิ่งงั้นเหรอ? หลี่จื้อฉิงจึงเงียบและตั้งใจฟัง“เข้ามาที่นี่ห้ามพูดคุยเรื่องข้างนอก เจ้านี่นะ แอบไปเที่ยวเล่นนอกพรตเมฆาไม่พอ ยังเอาเรื่องไร้สาระมาพูดคุย” หญิงสาวคนที่หน
ข่าวลือเรื่องความโหดเหี้ยมของไช่เสิ่งเจี๋ยขจรกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน แม้กระทั่งหยุนเหมินที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยังต้องหวั่นเกรงในความแข็งแกร่งโหดเหี้ยม ซีหยางเว่ยเจียงยังคงตามหาหลี่จื้อฉิงด้วยเช่นกัน แต่นางหายไปราวกับว่า หายไปจากโลกนี้ สายลับของเขาทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีใครรู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน ที่หมู่บ้านที่นางจากมา เขากลับเข้าไปตามหาแล้วแต่ก็ไม่พบ ทุกพื้นที่บนแผ่นดินนี้ไร้ร่องรอยของนางพระราชสาส์นจากเฉียนซีถูกส่งมาพร้อมกับของกำนัลชิ้นหนึ่ง กล่องไม้ขนาดย่อมถูกนำเข้ามากงกงหนุ่มผู้หนึ่งทำหน้าย่นในขณะที่ถือของสิ่งนั้นอยู่ กลิ่นที่โชยออกมาจากกล่องน่าสะอิดสะเอียนสุดชีวิต“สิ่งนั้นคือ”“กระหม่อมมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”ซีหยางเว่ยเจียงส่งสัญญาณให้เปิดกล่องใบนั้น ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก พบเป็นแขนมนุษย์หมักเกลือ เพื่อคงสภาพเอาไว้ ชายหนุ่มรีบก้มหน้าเปิดอ่านจดหมายฉบับนั้น“แขนของเหลียนซูเยว่ คราแรกตั้งใจเอาไว้ว่าจะส่งกลับไปบ้านเกิดของนางทั้งตัว แต่เปลี่ยนใจ เลย
Trigger Warningเนื้อหาในตอนนี้มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านคิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด องครักษ์ของเขาจะไร้ฝีมือถึงขั้นปล่อยให้นางถูกจับเป็นตัวประกันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะนางเดินออกไปให้พวกมันจับ หลี่จื้อฉิงก็คงไม่หลุดมือเขาไป ไช่เสิ่งเจี๋ยคิดถึงนาง เฝ้าตามหานางมาหลายปี ครั้นได้เจอกลับถูกเหลียนซูเยว่ใช้อุบายทำให้นางหนีหายไปไหนไม่รู้กลิ่นดอกกุ้ยฮวาจาง ๆ ยังคงอบอวลอยู่ที่ปลายจมูก น้ำเสียงของนางคล้ายกับอยู่ใกล้ตัวเขา ห้องพักของนางที่เขาสั่งให้คนเตรียมเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำให้เหมือนกับห้องนอนของนางในเรือนไข่มุก ต้นไม้ เครื่องเรือน แม้แต่ก้อนหินเขาก็สั่งให้คนตระเตรียมรอต้อนรับผ้าม่าน ที่นอน สระน้ำเล็ก ๆ กำไลที่ประดับมณีสีแดงเหมือนกับชิ้นนั้น เสื้อผ้าไหมชั้นดีที่นางชอบสวมใส่ กลิ่นกำยานหอมที่นางชอบทุกอย่างพังทลายไปต่อหน้าต่อตา อีกแค่เพ