คริสต์ศักราช 2018
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเจดีย์ห่าน Giant Wild ในเมืองโบราณซีอานในมณฑลส่านซีประเทศจีนเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ของรัฐขนาดใหญ่ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของกว่าสามแสนเจ็ดหมื่นชิ้น รวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพวาดเครื่องปั้นดินเผาเหรียญตลอดจนวัตถุที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ทองคำและเงิน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 1983 ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2001 และมีลักษณะของการสร้างรูปแบบสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ถัง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซีแห่งนี้มีพื้นที่หกหมื่นห้าพันตารางเมตร มีพื้นที่อาคารห้าหมื่นห้าพันหกร้อยตารางเมตร ห้องเก็บพระธาตุทางวัฒนธรรมแปดพันตารางเมตร ห้องโถงนิทรรศการของหนึ่งหมื่นหนึ่งพันตารางเมตร และคอลเลกชันสามแสนเจ็ดหมื่นวัตถุ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสถาปัตยกรรมในสไตล์ Tang โดยมี “ห้องโถงอยู่ตรงกลางอาคารที่มีชั้นในหลายมุม” มีความสง่างามและใหญ่โต โออ่าด้วยการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งแสดงถึงประเพณีพื้นบ้านและลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น มณฑลส่านซีเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโบราณของจีนถึงสิบสามราชวงศ์ นับตั้งแต่โจว,ฉิน ,ฮั่นและราชวงศ์ถัง ซึ่งเต็มไปด้วยโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม เมื่อพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ส่านซีสร้างเสร็จจึงได้รวบรวมโบราณ วัตถุล้ำค่ากว่าสามแสนเจ็ดหมื่นชิ้นซึ่งขุดพบในมณฑลส่านซีรวมทั้งเครื่องถ้วยสำริดรูปปั้นเครื่องปั้นดินเผาและภาพวาดฝาผนังในสุสานของราชวงศ์ถัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรูปปั้นเครื่องปั้นดินเผาจำนวนมากมาจากสุสานของราชวงศ์ที่อยู่รอบเมือง ภายในอาณาบริเวณของพื้นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ มีอาคารสร้างขึ้นโดยใช้ต้นแบบจากสถาปัตยกรรมในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสถานที่รองรับสำหรับศึกษาและค้นคว้าวิจัยข้อมูลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชนชาติจีน ก็อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายถูกขุดพบทุกวันตามหัวเมืองและมณฑลต่างๆ ที่เคยเกิดอารยธรรมโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน มีเจ้าหน้าที่นับร้อยชีวิตอยู่ภายในศูนย์วิจัยแห่งนี้รวมไปถึงนักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งนักศึกษาในคณะประวัติศาสตร์ โบราณคดี วรรณกรรมและปรัชญา ซึ่งอยู่ในช่วงชั้นปีสุดท้ายของแต่ละมหาวิทยาลัยจะถูกส่งมาฝึกงาน แยกย้ายไปตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก่อนจะมารวมอยู่ที่จุดเดียวกันคือที่ส่านซี เนื่องจากเป็นเพียงแห่งเดียวที่มีสถาบันวิจัยค้นคว้าอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับพิพิธภัณฑ์ ภายในห้องวิจัยค้นคว้าในขณะนี้ ทั้งนักศึกษาฝึกงานและนักวิจัยกำลังนั่งก้มหน้าก้มตา ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์กันอย่างคร่ำเคร่ง โบราณวัตถุมากมายที่ถูกค้นพบภายในมณฑลส่านซีถูกทยอยนำเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน และมอบหมายให้นักศึกษาฝึกงานรวมไปถึงนักวิจัยต่างพากันช่วยดูแลรับผิดชอบ “อันอัน!” เสียงเรียกของหัวหน้าทีมงานวิจัยเรียกขานดังก้องขึ้นภายในห้อง หญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงในลักษณะมวยผมเกล้าขึ้นสูงเอาไว้ตรงกลางศีรษะ สวมแว่นตาสายตาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากโบราณวัตถุตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งเหลือประมาณ “ค่ะหัวหน้า!” เธอขานรับกลับไปทันทีพลางหันกลับไปมองทางต้นเสียงที่เรียกหา ร่างระหงลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าทีมวิจัย พลางทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ “หัวหน้าเรียกอันอันมีอะไรอย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไป ท่ามกลางสายตาของสาวใหญ่กำลังมองแม่สาวน้อยตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง “หายดีแล้วอย่างนั้นเหรอ ถึงได้กลับมาทำงาน หมอให้พักรักษาตัวหนึ่งเดือน แต่นี่อะไรยังไม่ถึงสามอาทิตย์เธอก็กลับมาทำงานแล้ว ไม่เจ็บแผลถูกยิงแล้วอย่างนั้นเหรอ” จางเพ่ยอัน สาวน้อยวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปีเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งมาหมาดๆ ส่งยิ้มหวานกลับไปเมื่อหัวหน้างานของเธอถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บเพราะถูกกลุ่มอันธพาลไล่ยิงกันเองเรื่องขัดผลประโยชน์ แล้วเธอบังเอิญถูกลูกหลงในที่เกิดเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นมีคนได้รับบาดเจ็บหลายรายและเสียชีวิตหนึ่งราย “ดีขึ้นมากแล้วค่ะหัวหน้า ไม่เจ็บและปวดแผลแล้ว ขี้เกียจนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ สู้มาทำงานไม่ได้ คิดถึงงานที่ทำค้างเอาไว้รีบกลับมาทำดีกว่าค่ะ” จางเพ่ยอันตอบกลับไป “ไม่เป็นไรแล้วก็ดีจะได้สบายใจ ดีที่พวกอันธพาลถูกทางการจับยกแก๊งกันหมด เห็นข่าวออกทางทีวีกันอย่างครึกโครม คนเจ็บตายในวันนั้นไม่รู้ตั้งกี่คน พวกนี้สมควรต้องจำคุกตลอดชีวิตไม่ต้องออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นได้อีก” แม่หัวหน้างานบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมเลื่อนถาดที่วางอยู่ตรงหน้าเธอให้ลูกน้องสาว “งานใหม่ของเธอ” จางเพ่ยอันมองถาดใบขนาดย่อมที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าเธออยู่ในขณะนี้ “วัตถุโบราณล็อตใหม่เพิ่งขุดพบจากเมืองซีอานส่งมาให้ตรวจสอบ ฉันขอมอบให้เธอค้นคว้าหาข้อมูลว่ารูปแบบลักษณะและลวดลายที่ปรากฏเป็นของชนชั้นใด ประเมินอายุมาด้วยนะว่าก่อนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้หรือยุคจักรพรรดิ” หัวหน้าทีมงานวิจัยซึ่งเป็นสตรีสาวรุ่นใหญ่วัยสี่สิบตอนต้นกล่าวพร้อมมองถาดตรงหน้าซึ่งภายในนั้นมีห่อผ้าวางเอาไว้ “รับทราบค่ะ!” หญิงสาวขานรับอย่างแข็งขันพร้อมเอื้อมมือรับถาดตรงหน้ามาถือเอาไว้ “เออ... วัตถุโบราณชิ้นนี้เร่งค้นคว้าไหมคะ พอดีอันอันยังมีงานค้างเก่าอยู่อีกยังทำไม่เสร็จเลยค่ะหัวหน้า” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “พักงานเก่าเอาไว้ก่อน ชุดเกราะในยุคจิ๋นซีถูกขุดพบมากมายเต็มสุสาน ข้อมูลที่ได้รับมาก็ไม่แตกต่างจากที่มีอยู่ แต่งานที่เพิ่งมอบให้เธอรับผิดชอบ ทีมงานขุดค้นเพิ่งพบสุสานใหม่ สันนิษฐานว่าอาจเป็นของราชวงศ์ก็ได้เพราะข้าวของที่พบแตกต่างจากสุสานขุนนางหรือชนชั้นคหบดี ซึ่งยังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับจิ๋นซีฮ่องเต้หรือเปล่า ค้นคว้าหาข้อมูลชิ้นล่าสุดมาให้ฉันก่อนนะอันอัน” หัวหน้าทีมงานตอบกำชับกลับมา “โอเคค่ะ อันอันเข้าใจแล้ว” หญิงสาวตอบกลับไปพร้อมฉีกยิ้มกว้างส่งให้หัวหน้างานของเธอ ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยบางอย่างกลับมา “มีอีกเรื่องที่ฉันลืมบอกเธอไป” หัวหน้างานกล่าวพร้อมทอดสายตามองลูกน้องในสายงาน “อะไรเหรอคะหัวหน้า” หญิงสาวถามกลับไปทันทีด้วยความสงสัย “ผลงานการค้นคว้าและวิจัยของเธอเท่าที่ผ่านมาถือว่าแม่นยำและถูกต้องมากที่สุดเลย ฉันพอใจในการทำงานและความทุ่มเทของเธอมากเลยนะอันอัน เดี๋ยวช่วงบ่ายไปรายงานตัวที่ห้องพัฒนาบุคลากร ฉันเซ็นคำสั่งบรรจุให้เธอเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์วิจัยค้นคว้าของที่นี่ให้แล้ว” ใบหน้าหวานของสาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปี มีอาการชะงักงันเมื่อได้รับข่าวดีจากปากหัวหน้างานของเธอ หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์วิจัยภายในเวลาเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น “จะ... จริงเหรอคะหัวหน้า!” หญิงสาวถามย้ำกลับไปเพื่อความแน่ใจ ใบหน้าของผู้สูงวัยกว่าพยักหน้าติดต่อกัน พร้อมคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดูส่งกลับมา “ฉันจะไปหลอกเธอทำไมอันอัน ตรงกันข้ามมันเป็นเรื่องจริง คนมีความสามารถและมีพรสวรรค์แบบนี้ ดูงานชิ้นไหนไม่เคยพลาดเลยว่าเป็นของจริงหรือของปลอม คนอื่นยังต้องใช้เวลาค้นคว้าอยู่เป็นนาน ตรงกันข้ามถ้าวัตถุโบราณชิ้นไหนอยู่ในความรับผิดชอบ ไม่เคยประเมินอายุผิดพลาดมิหนำซ้ำยังล่วงรู้ว่ามาจากยุคสมัยใดอีกด้วย” และนั่นทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างสุดขีด ที่เธอได้งานมั่นคงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นหลักประกันของชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดีพอจะเชิดหน้าชูตาตระกูลจางได้ขึ้นมาบ้าง ไม่ต้องดิ้นรนไปหางานพิเศษทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองอีกต่อไป แต่ถ้าจะทิ้งงานพิเศษดังกล่าวก็ทำไม่ได้เพราะงานดังกล่าวทำให้จางเพ่ยอันมีรายได้นำมาจับจ่ายจิปาถะได้อย่างสบายโดยไม่เดือดร้อนแม้แต่น้อย ด้วยเพราะหญิงสาวเป็นเด็กกำพร้าเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็ก และอยู่เผชิญโลกใบนี้เพียงตามลำพัง ไร้ญาติขาดมิตรนับตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้ “อันอันดีใจจังเลยค่ะหัวหน้า! ที่ได้บรรจุเข้าทำงานที่นี่! หนู... หนู... ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย” หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยายในขณะที่หัวหน้างานรุ่นใหญ่นั่งอมยิ้มด้วยความดีใจแทนเด็กสาวไม่แพ้กัน
“ฉันภูมิใจในตัวเธอจริงๆ นะอันอัน นี่คือผลของความตั้งใจและมานะพยายาม คนมีพรสวรรค์และเก่งๆ แบบนี้ต่อไปก็จะก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและเติบโตแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ต้องน้อยใจในโชคชะตาที่ผ่านมา นับตั้งแต่นี้ต่อไปจงกำหนดโชคชะตาของเราเองนะจางเพ่ยอัน” หัวหน้างานสาวใหญ่เอ่ยชื่อแซ่ของหญิงสาวเน้นหนัก หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันครั้นได้ยินเช่นนั้น “อันอันจะจดจำคำสั่งสอนของหัวหน้าเอาไว้อย่างขึ้นใจเลยค่ะ ขอบพระคุณหัวหน้ามากค่ะ” เธอกล่าวพร้อมก้มศีรษะคำนับผู้อาวุโสกว่าด้วยความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปิติยินดีอย่างเห็นได้ชัดร่างระหงของหญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะล่าถอยออกจากห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน โดยมีสายตาของผู้สูงวัยกว่ามองตามหลังด้วยความเอ็นดูนาง ครั้นถึงโต๊ะทำงานส่วนตัว จางเพ่ยอันวางถาดที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาคู่สวยหันกลับไปมองภาพถ่ายของพ่อและแม่ที่จากไปเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำตั้งแต่หญิงสาวมีอายุเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น พ่อและแม่ของเธอต่างเป็นลูกโทนด้วยกันทั้งคู่ ญาติมิตรล้วนล้มหายตายจากไปหมด ที่มีอยู่ก็เพียงแค่ญาติห่างไกลลิบลิ่ว ไม่มีความสามารถที่จะอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยมีฐานะยากจนและอยู่ในชนบท หญิงสาวจึงถูกเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด บ่อยครั้งที่มีผู้อุปการะนำไปเลี้ยง ทว่าแต่ละรายเลี้ยงจางเพ่ยอันได้ไม่ถึงปี ถ้าไม่ตายยกครัวก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องนำกลับมาคืนสถานรับเลี้ยงเด็กตามเดิม ซึ่งต่างพากันพูดปากต่อปากว่า วันเดือนปีเกิดของสาวน้อยคนงามเป็นดวงพิฆาตหากแม้นอยู่ร่วมกับผู้ใด คนใกล้ตัวจะต้องมีอันเป็นไปและเป็นเช่นนี้ทุกครอบครัว และนี่เป็นสาเหตุทำให้หญิงสาวเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด จนกระทั่งอายุสิบแปดปี พ้นวัยเยาวชนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตามกฎหมาย จางเพ่ย
“อันอันเข้ามาในห้องหน่อย!” เสียงหัวหน้างานดังขึ้นอยู่ห้องทำงานส่วนตัว ร่างบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพหันกลับมามองหัวหน้างานของหญิงสาวเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอดั่งเดิม พรึบ! ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันใด มือน้อยๆ ยกขึ้นจับหน้าอกของตัวเองพร้อมตบลงเบาๆ เป็นการเรียกขวัญของเธอให้กลับคืนมาโดยพลันพลางกลืนน้ำลายลงคอ “มาให้เห็นกลางวันแสกๆ เลยหรือนี่ ผีหวงของชัดๆ” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าหวานสวยของเธอพลางสูดลมหายใจเข้าปอด “มาแล้วค่ะหัวหน้า” หญิงสาวรีบขานรับตอบกลับไป ร่างระหงรีบลุกจากเก้าอี้ทำงานหากแต่ก่อนไปก็ไม่วายที่จะหันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพิศวงอย่างยิ่งยวด เมื่อเพิ่งได้พานพบกับเจ้าของปิ่นหยกดังกล่าวอย่างไม่คาดฝัน ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเตรียมตัวออกพื้นที่ไปร่วมตรวจสอบกับทีมงานที่เพิ่งขุดค้นสุสานใหม่ด้วยนะอันอัน ข้อมูลของวัตถุโบราณที่เพิ่งให้ไปนำส่งก่อนจะออกเดินทางด้วยนะ” หัวหน้าสาวรุ่นใหญ่บอกกับเธอก่อนจะหยุดชะงักเม
หมอหลวงและผู้ช่วยยังไม่ตายอย่างนั้นหรอกรึ!” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยเป็นยิ่งนัก ก่อนจะทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทที่ยังคงนั่งมองพระองค์ตาไม่กะพริบด้วยความแปลกใจมิรู้วาย “จริงสิ! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าข้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะตายทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของข้า” และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องครักษ์คนดังกล่าวถึงกับเงยหน้ามององค์ชายของตนทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดจึงทรงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ” เสียงนั้นกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดก่อนจะเค้นเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ทรงได้รับนับตั้งแต่แรกประสูติออกจากพระครรภ์มารดา “เมื่อแรกประสูติ ทุกคนที่อยู่ในห้องพระประสูติกาลจบชีวิตลงอย่างมิรู้สาเหตุ ทันทีที่เห็นหน้าข้า ส่วนคนที่มิได้เห็นล้วนแล้วแต่รอดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงมิให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้พานพบข้าเลยสักครา ด้วยเกรงว่าทั้งสองพระองค์จะทรงมีอันเป็นไป แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ของข้าก็ไม่ทรงเชื่อคำเล่าลือเช่นนั้น” รับสั่งพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทอีกครา “พร
เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์ โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ย
บัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปั
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากั
เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะ
ตีห้าของเช้าวันใหม่ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแท
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต