ตีห้าของเช้าวันใหม่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแทรกกลางเข้ามาภายในห้องพักทันใด “ดะ... ดะ... เดี๋ยว... สะ... เสี่ยว... เสี่ยวหง” หญิงสาวพูดได้เพียงแค่นั้นก็หยุดลง เมื่อเพื่อนสาวคนสนิทของเธอเดินตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างใหญ่ของบุรุษจากยุคอดีตนอนเจ็บอยู่ในขณะนี้ ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบริเวณช่วงขาท่อนล่างทั้งสอง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอัน ยืนมองด้วยความตกใจเมื่อเห็นเพื่อนกำลังนั่งทับขาของแม่ทัพใหญ่จากยุคอดีต “ธะ... เธอนั่งทับอะไรอยู่ไม่เห็นเลยเหรอ” หญิงสาวตัดสินใจถามกลับไป ในขณะที่เพื่อนสาวคนสนิทของเธอขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อถูกถามเช่นนั้น “ฉันนั่งทับอะไรเหรอ... บนเตียงนี้ไม่เห็นมีอะไรวางไว้เลย ของสำคัญของเธอก็ไม่มี เห็นแต่เตียงเปล่าโล่งๆ” กล่าวพร้อมใช้สายตาสำรวจไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดไปมาเมื่อภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ล้างแผล “เธอได้รับบาดเจ็บอะไรมาเหรออันอัน ฉันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ล้างแผลฟุ้งเต็มห้องไปหมดเลย” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินเพื่อนสนิทของเธอถามกลับมาเช่นนั้น จึงทำให้แน่ใจมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมว่ามีเพียงเธอเท่านั้นเห็นแม่ทัพใหญ่จากยุคอดีตและสามารถแตะต้องสัมผัสได้เพียงผู้เดียว นอกเหนือจากนั้นหามีใครเห็นตัวตนของเขาได้แต่อย่างใด แม้กระทั่งสายน้ำเกลือระโยงระยางพร้อมขวดยาหลายกระปุกและน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนราวผ้าอเนกประสงค์ เพื่อนของเธอก็ไม่เห็น ทั้งๆ ที่ทุกอย่างยังตั้งอยู่ข้างเตียงนอนไม่ได้หายไปไหน “อะ... เออฉันเอามาล้างทำความสะอาดพื้นห้องน่ะ เมื่อวานรู้สึกได้กลิ่นไม่สะอาด แล้วนี่เธอเอาของที่ฉันสั่งมาด้วยหรือเปล่า” หญิงสาวพูดตัดบทพร้อมเข้าประเด็นสิ่งที่ต้องการทันใด แม่เพื่อนสาวคนสนิทฉีกยิ้มกว้างออกมาโดยพลัน พร้อมยกกระเป๋าผ้าชูขึ้นให้เพื่อนของเธอได้เห็น “ของที่เธอสั่งอยู่ในนี้หมดแล้ว ยาแก้อักเสบ ฆ่าเชื้อ แก้ปวด แก้ไข้ มีทั้งแบบฉีดและแบบกินรวมไปถึงอุปกรณ์ทำแผลทุกอย่างมีใช้ตลอดทั้งเดือน ทั้งหมดนี้ราคากันเองแค่ห้าพันหยวนเท่านั้น” แม่เพื่อนรักบอกราคามาเสร็จสรรพ “อะไรนะ! ห้าพันหยวนเลยเหรอ... ทำไมถึงได้แพงแบบนี้!” หญิงสาวโวยวายขึ้นมาทันที “เอ้า! เธอบอกว่าจะต้องใช้ยาพวกนี้ประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์มิใช่เหรอ ฉันก็จัดมาให้สองอาทิตย์เลยง่ายดี เพียงพอตามระยะเวลาเหลือดีกว่าขาด ตัวยาพวกนี้ได้รับรองจากศูนย์วิจัยถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ตระกูลฉันเป็นตัวกลางในการจัดจำหน่ายตัวยาทุกชนิดรับรองปลอดภัย ราคาขนาดนี้พิเศษสุดๆ” แม่เพื่อนรักสาธยายจนเสร็จสรรพ “โอเค! โอเค! ข้อนั้นฉันเชื่อเธออยู่แล้ว ถึงได้โทรหา เอาเป็นว่าผ่อนจ่ายเดือนละห้าร้อยหยวนได้ไหม” หญิงสาวต่อรองการจ่ายทันใด “โอ๊ย! ทำการค้ากับเธอฉันโคตรขาดทุนเลย” แม่เพื่อนสาวบ่นกระปอดกระแปดออกมา “เอาแบบนี้แล้วกันค่ายาพวกนี้เธอไม่ต้องจ่าย ฉันล้อเล่นนะ แต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องไปที่บริษัทของคุณพ่อฉันเพื่อดูฮวงจุ้ย ปรับเปลี่ยนทิศทางให้ร่ำรวยมากยิ่งขึ้นไปอีกและทำนายดวงชะตาปีนี้ของท่านว่าจะเป็นยังไงต่อไป หากไม่ดีจะได้หาทางแก้ไขและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ” เพื่อนสาวยื่นข้อเสนอให้ทันที จางเพ่ยอันรีบพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันครั้นได้ยินเช่นนั้น “โอเค! ค่อยดูสมน้ำสมเนื้อหน่อย ตกลงตามนั้นเดี๋ยวฉันว่างเมื่อไรจะเข้าไปที่บริษัทคุณพ่อของเธอดูตำแหน่งฮวงจุ้ยสำหรับปีนี้ให้ไม่ต้องห่วง” หญิงสาวรับปากเพื่อนสนิท “อีกนานไหมกว่าจะเข้าไป แม่หมอคนดังอย่างเธอคิวยาวเหยียด บางคนต้องรอเป็นปีกว่าจะถึงแบบนั้นไม่เอานะ” “เอาน่ะ! เดี๋ยวลัดคิวให้แต่ต้องหลังจากที่ฉันกลับจากออกนอกพื้นที่ก่อนนะ เพราะตอนนี้มาสำรวจสุสานแห่งใหม่และจะต้องพักที่นี่ประมาณหนึ่งอาทิตย์” หญิงสาวตอบเพื่อนสนิทกลับไป แม่เพื่อนสาวยิ้มกว้างออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ก็ไม่นานนะ! เดี๋ยวฉันจะรีบโทรบอกคุณพ่อให้ท่านรู้ล่วงหน้า ว่าซินแสคนดังจางเพ่ยอัน ลัดคิวเข้าไปพบคุณพ่อที่บริษัท ท่านจะได้เตรียมการต้อนรับเธอเอาไว้ล่วงหน้า” เพื่อนสนิทบอกด้วยความดีใจท่ามกลางสายตาของหญิงสาว “ไม่เห็นต้องดีใจถึงขนาดนี้เลย ฉันก็แค่ดูหมอและจัดวางฮวงจุ้ยธรรมดาเหมือนซินแสคนอื่น อันที่จริงให้คนอื่นเข้าไปดูก็ได้ไม่จำเป็นต้องรอฉันเลย” “จะเหมือนกันที่ไหนล่ะยะ ใครๆ ก็รู้ว่าเรื่องความแม่นยำและการจัดวางฮวงจุ้ย ไม่มีใครทัดเทียมจางเพ่ยอันเพื่อนรักของฉันคนนี้ไปได้ ทั้งแม่นยำเหมือนกับตาเห็น ตระกูลของฉันทำการค้าจนพลิกสถานการณ์วิกฤตจากหน้ามือเป็นหลังมือก็เพราะได้เธอช่วย หาไม่แล้วจะลืมตาอ้าปากอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้เหรอ” “อ่อ... ก็ต้องขอบคุณพ่อของเธอด้วยเหมือนกันที่เปิดโอกาสให้กับฉันได้เข้าไปช่วยเหลือท่าน” หญิงสาวกล่าวถ่อมตนพร้อมส่งยิ้มให้เพื่อนสนิท ทันใดนั้นเอง แค่ก! แค่ก! แค่ก! เสียงไอติดต่อกันดังออกมาจากร่างของคนเจ็บในยุคอดีต จางเพ่ยอันมองหน้าเพื่อนสนิทของเธอเขม็ง เมื่อเสียงไอของผู้ชายตัวโตมหึมา ดังจนได้ยินไปทั่วทั้งห้องเสียขนาดนั้น ทว่าเพื่อนของเธอหามีอาการแสดงออกแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองร่างใหญ่ที่แม่เพื่อนสาวของเธอกำลังนั่งทับอยู่เสียด้วยซ้ำ “เอาละ... เห็นทีฉันต้องกลับก่อนนะอันอัน เดี๋ยวจะเข้างานสาย ห้องยาที่โรงพยาบาลยุ่งอยู่ตลอดเวลาเสียด้วยสิ แถมมีหัวหน้างานโคตรโหด แม่บ่นได้ตลอดเวลาและทั้งวันเลยทีเดียว” เพื่อนรักของเธอบ่นพึมพำในขณะที่อีกฝ่ายมีอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเพื่อนของเธอเตรียมตัวกลับ “กะ... กลับแล้วเหรอ... ดะ... ดี... รีบกลับไปเลย” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ ร่างเล็กๆ ของเพื่อนสนิทลุกขึ้นยืนพร้อมตรงเข้าสวมกอดหญิงสาว ทั้งสองพากันกอดจนตัวกลม ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องพักโดยมีสายตาของจางเพ่ยอันมองตามหลังจนลับสายตา ทันทีที่ประตูห้องพักปิดตัวลงตามเดิม เฮ้อ!!! เสียงถอนหายใจดังออกมาโดยพลัน หญิงสาวรีบเดินไปที่เตียงนอนซึ่งองค์ชายอิ๋งหยางประทับบรรทมอยู่ในขณะนั้น เธอยืนมองอยู่เพียงครู่ก่อนจะโน้มกายลงไปใกล้ๆ เผื่อจะได้ยินว่าทรงมีรับสั่งสิ่งใดออกมาหรือไม่ “แปลกจังเลย ขนาดเสี่ยวหงนั่งทับขาท่านแม่ทัพกลับไม่รู้สึก แถมอีกฝ่ายก็ไม่เห็นคนตัวเป็นๆ นอนอยู่บนเตียง แสดงว่าข้อสันนิษฐานของเราถูกหมดทุกอย่าง ว่าคนทางนี้ไม่มีใครเห็นคนในอดีต และคนทางนั้นก็ไม่เห็นเราเช่นกัน มีเพียงฉันเท่านั้นที่เห็นใครต่อใครอยู่คนเดียว... ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้นะ” หญิงสาวยืนรำพึงรำพัน มือเรียวหันกลับไปหยิบปรอทวัดไข้ซึ่งวางอยู่บนผ้าสะอาด นำไปสอดไว้ใต้ลิ้นขององค์ชายหนุ่มพร้อมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ก่อนจะดึงออกมาเมื่อครบระยะเวลาวัดไข้ “โอ้โฮ! ไข้ยังไม่ลดเลยแฮะ สี่สิบองศา สงสัยคงมาจากแผลกระสุนฝังในอยู่นาน แล้วเกิดอักเสบมีแต่หนองขนาดนั้นต้องใช้เวลารักษาท่านแม่ทัพนานแค่ไหนนะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมวางปรอทวัดไข้ลงบนผ้าสะอาดตามเดิม ก่อนจะหันกลับมาสาละวนรื้อข้าวของภายในถุงผ้า เพื่อหาตัวยาและน้ำเกลือรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่องค์ชายใหญ่จากยุคอดีต ในขณะที่น้ำเกลือถุงใหม่ถูกนำมาเปลี่ยนแทนถุงเดิมที่หมดไป พร้อมตัวยาฆ่าเชื้อและยาแก้อักเสบถูกนำมาเปลี่ยนแทนขวดเดิมเช่นเดียวกัน ยาลดไข้ที่บรรจุอยู่ในขวดเล็กๆ บัดนี้อยู่ในไซริงก์ มีหัวเข็มอยู่ด้านบนเพื่อฉีดให้กับคนไข้ในรายที่หมดสติไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถทานยาลดไข้ผ่านทางหลอดอาหารได้ จางเพ่ยอันแทงเข็มลงไปบริเวณข้อพับอย่างเบามือ คนเจ็บแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย ตัวยาถูกฉีดเขาร่างกายไปอย่างรวดเร็วติดตามด้วยความโล่งอกของคุณหมอจำเป็น “ถ้าฉันรักษาท่านแม่ทัพหายเป็นปกติ เห็นทีจะมีอาชีพเสริมเป็นหมอรักษาคนได้เสียแล้วเรา” หญิงสาวพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะนึกขึ้นได้ “บ้าแล้วจางเพ่ยอันเธอไม่มีใบประกอบโรคศิลป์จะรักษาคนได้ยังไง ลำพังรักษาท่านแม่ทัพอาศัยเปิดยูทูบเธอก็โคตรเทพแล้ว” หญิงสาวบ่นพึมพำให้กับตัวเองพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะรีบจัดการตัวเองเพื่อเดินทางไปสำรวจพื้นที่สุสานในเช้าวันนี้ เพียงไม่นานจางเพ่ยอันปรากฏตัวพร้อมเครื่องแต่งกายสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยีน สวมแจ็กเกตสีดำทับเรือนร่าง รองเท้าบูทหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้มสำหรับลุยเข้าเขตสำรวจพื้นที่สุสานในวันนี้ หญิงสาวดึงผ้าห่มส่วนตัวของเธอนำออกมาจากกระเป๋าเดินทางเดินตรงมาที่เตียงนอน ก่อนจะคลี่ผ้าห่มออกกว้าง กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดซึ่งนำมาอบไว้จนแห้งกับเสื้อผ้าและเครื่องนอนของเธอแทนน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีแต่สารเคมี ฟุ้งกระจายตลบอบอวลไปทั่วห้อง หญิงสาวดึงผ้าห่มของโฮมสเตย์ที่มีรอยเลือดของบุรุษจากยุคอดีตเปรอะเปื้อนออก พลางนำผ้าห่มของตัวเองมาคลุมร่างใหญ่ดังกล่าวเอาไว้อย่างมิดชิด พร้อมมือเรียวสวยหันกลับไปปรับระดับความเร็วของตัวยาให้หยดลงอย่างสม่ำเสมอ สายตาสำรวจความเรียบร้อยอย่างพึงพอใจ “หวังว่ากลับมาจะเห็นอาการกระเตื้องขึ้นกว่าเดิมนะ” หญิงสาวพูดกับตัวเองพลางหันหลังกลับเดินออกจากห้องพักเพื่อเดินทางเข้าพื้นที่สุสานพร้อมกับทีมงาน ท่ามกลางความเงียบงันที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ พระพักตร์ขององค์ชายหนุ่มจากยุคอดีตปรากฏรอยแย้มเยือนออกมาบางๆ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรผ่านม่านตาที่มีแต่ภาพพร่าเลือน ทั่วทั้งห้องมีแสงสว่างส่องรำไรมาจากประตูทางเข้าซึ่งปิดทับด้วยผ้าม่าน ในบางเวลาที่พระองค์อยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ทรงทอดพระเนตรสตรีสาวร่างบอบบางกำลังสาละวนอยู่กับการรักษา หลายครั้งเข็มเงินถูกทิ่มแทงลงบนพระวรกายอย่างเบามือ แต่ไม่ปรากฏว่าทรงรู้สึกเจ็บแต่อย่างใดตรงกันข้ามกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย และหลายครั้งทรงได้ยินเสียงคนเรียกชื่อสตรีสาวที่รักษาพระองค์ อันอัน! จางเพ่ยอัน ชื่อเล่นและชื่อแซ่ของสตรีที่คอยดูแลรักษาพระอาการบาดเจ็บขององค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉินดังก้องอยู่ในโสตประสาท พระโอษฐ์ซีดเซียวค่อยๆ ขยับช้าๆ ติดตามด้วยพระสุรเสียงทุ้มดังเล็ดลอดออกมา “จางเพ่ยอัน!” สุรเสียงรับสั่งชื่อแซ่ของหญิงสาวออกมาโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าชื่อแซ่ดังกล่าวติดตรึงอยู่ในโสตประสาทของพระองค์อยู่ทุกขณะในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เมืองหลวงหยง ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต
ในขณะเดียวกันฮั่นจง เมืองหน้าด่านชายแดนแคว้นฉิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกของรองแม่ทัพ บ่งบอกสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภายในเวลานี้ กำลังทหารที่กระจายไปทั่วบริเวณค่ายทหารและกระจายออกเป็นวงกว้างจนไปถึงฮั่นจง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของชายแดนแคว้นฉิน ข่าวการหายตัวไปของแม่ทัพปีศาจผู้เลื่องลือไปทุกสารทิศ เริ่มจะปิดเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมา กำลังทหารกระจายค้นหาแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉินแทบพลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน หมุนเวียนสลับเวรผลัดเปลี่ยนกันค้นหาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของรองแม่ทัพคนสนิท จนมิยอมเอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาเลยตลอดระยะเวลาที่องค์ชายอิ๋งหยางทรงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หากทรงไม่ปรากฏพระวรกายตลอดกาล ขวัญและกำลังใจของทหารมิเหลือสิ้นเป็นแน่แท้ ท่ามกลางคบไฟที่กำลังเริ่มจุดให้แสงสว่างขึ้นมาอีกครา เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก้าวเข้าสู่เวลาแห่งรัตติกาลมาเยือน ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนเริ่มสลัว ความมืดเริ่มคืบคลานปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง “ท่านรองแม่ทัพ!” เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นพร้อมก้าวเดินนำหน้
ยุคอดีต “อันอัน!!!” สุรเสียงรับสั่งชื่อเล่นสตรีที่ช่วยชีวิตพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ยื่นออกไปราวกับว่าพยายามจะไขว่คว้านางมีอันต้องหยุดชะงักโดยพลัน ห้องพักในยุคอนาคตค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นภายในกระโจมที่ประทับเข้ามาแทนที่ พระหัตถ์ยังคงยกค้างอยู่เช่นนั้นโดยที่องค์ชายหนุ่มมิทรงขยับพระวรกายเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พระเนตรนิลกาฬจับจ้องอยู่แต่ทิศทางซึ่งตรงกับประตูห้องพักในโลกอนาคตอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกพระองค์เมื่อทรงได้ยินเสียงของเหล่าทหารดังอยู่นอกกระโจม “รีบเข้าไปในกระโจมเร็วเข้า! ได้ยินเสียงท่านรองแม่ทัพเรียกองค์ชายใหญ่เอ็ดอึงไปหมด” สิ้นเสียงพูดคุย ทหารชั้นนายกองจำนวนหลายนายเปิดผ้ากระโจมซึ่งปิดประตูทางเข้าออกอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าดีใจมากมายยิ่งนัก “องค์ชายใหญ่เสด็จกลับมาแล้ว! พระองค์ทรงหายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านายกองต่างพากันส่งเสียงเอ็ดอึงเป็นการใหญ่ ก่อนจะพากันยืนแปลกใจไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างของรองแม่ทัพยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น “ท่านรองแม่ทัพ! เหตุไฉนจึงยืนนิ่งราวกับหินเช่นนี้… หรือว่า!!!” นายกองแต่ละนายหันกลับมามองหน้ากันทันที ทุกสายตาเหลือบไปเห
ในขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ราชวงศ์โจวซึ่งเคยปกครองแคว้นต่างๆ มากมายเริ่มเสื่อมถอย ไร้สิ้นอำนาจปกครองแคว้นน้อยใหญ่ในเวลานี้ได้แต่อย่างใด หลังจากกษัตริย์โจวผิงหวางย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วอี้ (ลั่วหยาง) ดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดตกเป็นของแคว้นฉิน ซึ่งได้ผนวกแคว้นหรือดินแดนชนเผ่าหรงจู่ซึ่งอยู่ชายแดนราชวงศ์โจวกลายเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก ในขณะที่ดินแดนซานซีเป็นของแคว้นจิ้น ดินแดนซานตงเป็นของแคว้นฉู่และแคว้นหลู่ ดินแดนหูเป่ยเป็นของแคว้นฉู่ ดินแดนเป่ยจิงและหูเป่ยตอนเหนือเป็นของแคว้นเยี้ยน ต่อมาดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง (แม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นของแคว้นอู๋และแคว้นเย่วและแคว้นอื่นๆ หลังจากแคว้นใหญ่ๆ ทั้งหมดผนวกเอาแคว้นเล็กๆ ในราชวงศ์โจวมาเป็นดินแดนของตน ทำให้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นใหญ่ และเริ่มต้นเปิดฉากที่มาของสงครามแห่งการแย่งชิง เต็มไปด้วยความโหดร้ายของการแก่งแย่งอำนาจกันของแคว้นใหญ่ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งในเวลานี้แคว้นใหญ่ที่มีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วหล้ามีด้วยกันสิบแคว้น อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นจิ้น แคว้นเอี้ยน แคว้นเยี่ยน แคว้นเยว่ แคว้นเจิ้
บริเวณชายป่า ขบวนเสด็จของว่าที่ฮองเฮาบัดนี้ได้ตั้งกระโจมที่ประทับบริเวณเขตชายป่าดงดิบของเมืองผิงหยาง โดยเลือกตั้งกระโจมใกล้กับลำธารเพื่อสามารถใช้เป็นสถานที่อาบน้ำชำระล้างกายและกักเก็บน้ำสะอาดไว้ใช้ดื่มในระหว่างการเดินทาง ด้วยต้องใช้เวลาอีกสองวันก็จะถึงเมืองหยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ด้วยอาณาเขตพื้นที่ของเมืองผิงหยางกว้างใหญ่พอๆ กับเมืองหยง จึงต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร อีกทั้งเส้นทางหลักเกิดดินถล่มทำให้ไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางอ้อมขุนเขาจึงจะเข้าสู่เขตเมืองหยง ท่ามกลางป่าดงดิบและสัตว์ป่าที่ออกมาหาอาหาร ต่างเดินมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ กวางตัวขนาดใหญ่ถูกล่ามาทำเป็นอาหารในค่ำคืนนี้ โดยทีมล่าคือองครักษ์ทั้งหกนายขององค์ชายสามอิ๋งเฟิ่ง เริ่มลงมือตามแผนที่วางเอาไว้เพื่อลอบสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ในค่ำคืนนี้ กวางเลิศรสถูกย่างจนเกรียมส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถูกตัดแบ่งแจกจ่ายให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงโดยหารู้ไม่ว่าในเนื้อกวางดังกล่าวได้วางยาทำให้หลับอย่างแรงซึ่งได้มาจากแคว้นเอี้ยนของพระชายารองซึ่งเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น และพระนางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพร
ในขณะเดียวกัน ยุคปัจจุบัน ร่างไร้วิญญาณของโฉมงามล่มแคว้น ถูกเชือกมัดรอบกลางลำตัวติดกับหินขนาดใหญ่เพื่อใช้ถ่วงน้ำหนัก วางทับไว้บนร่างโดยมีบุรุษชุดดำอุ้มส่วนหัวและปลายเท้า เหวี่ยงไปมาติดๆ กันอยู่เพียงครู่ก่อนจะโยนลงไปในแม่น้ำทันที ตูม!!! ร่างนั้นจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันหนาวเย็นอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงเพรียกหาของจางเจี๋ยอี้เจ้าของร่างไร้วิญญาณดังกล่าวดังอยู่ใต้ก้นแม่น้ำนั้น “อันอัน! อันอัน!” เสียงเพรียกหาน้องสาวฝาแฝดออกมาจากดวงวิญญาณของจางเจี๋ยอี้ ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “อันอัน! ตื่นได้แล้ว!” เสียงเรียกปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหล เฮือกกก!!! จางเพ่ยอันสะดุ้งจนสุดตัว ดวงตาเปิดขึ้นพร้อมกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบบริเวณ และพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนรถตู้ของศูนย์วิจัย และรถจอดนิ่งสนิทอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำหวงโหวเพื่อเดินทางกลับเข้านครซีอาน หลังจากออกสำรวจสุสานแห่งใหม่จนเสร็จสิ้นภารกิจ “ที่แท้ฉันก็ฝันไป! แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ฝันเห็นอดีตชาติของตัวเอง ชาติที่แล้วเรามีฝาแฝดด้วยอย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมพี่สาวของฉันถึงได้ตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้น ทำไมต้องถูกฆ่า! แล้วทำไมถึงเพิ่งมาเห็นเหต
เมื่อจู่ๆ จางเพ่ยอันก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตาของเพื่อนร่วมงาน ร่างของหญิงสาวถูกช่วยชีวิตเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนเพื่อทำให้เธอกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอันที่ยืนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล มาถึงทันทีที่มีการแจ้งจากทีมงาน ทีมแพทย์ฉุกเฉินรีบช่วยกันปั้มหัวใจอย่างเร่งด่วนเพื่อให้คนไข้กลับมาหายใจได้ดั่งเดิม “หัวใจหยุดเต้นไปประมาณหนึ่งนาทีเศษๆ เห็นจะได้ ตอนนี้ปั้มหัวใจกลับคืนมาได้แล้วแต่อาการยังน่าเป็นห่วง ความดันต่ำยังไม่ยอมขึ้นเลย รีบนำขึ้นรถเร็วๆ เข้า” ทีมแพทย์ฉุกเฉินเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนจะรีบยกร่างของสาวน้อยวัยใสขึ้นเปล “นี่ฉันตายแล้วอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยออกมาทันทีเมื่อเห็นทีมแพทย์คลี่ผ้าสีขาวคลุมร่างของเธอเอาไว้อย่างมิดชิด ใบหน้าถูกสายออกซิเจนครอบเอาไว้เพื่อช่วยให้เธอได้หายใจสะดวก พร้อมยกร่างขึ้นไปไว้บนรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของเพื่อนร่วมงาน “ทำไมอันอันถึงได้เป็นแบบนี้... คุณหมอทำไมจู่ๆ ถึงได้ล้มฟาดพื้นทั้งยืนแบบนั้นคะ” หัวหน้าทีมวิจัยถามทีมแพทย์ช่วยเหลือด้วยความตื่นตระหนก “เป็นอาการหัวใจวายเฉียบพลันครับ เกิดข
ยุคอดีต ฮั่นจง เมืองชายแดนแคว้นฉิน จวนแม่ทัพ พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจอิ๋งหยาง ในฉลองพระองค์สีดำทะมึนทรงนั่งประทับภายในห้องพระบรรทม โดยมีหมอในเมืองฮั่นจง มาถวายการรักษาบาดแผลแปลกประหลาดที่อยู่บริเวณพระอุระ ผ้าพันแผลผืนใหม่ถูกนำมาพันรอบพระวรกายใหญ่ด้วยมืออันสั่นเทาของคนเป็นหมอ เมื่อต้องถวายการรับใช้องค์ชายปีศาจซึ่งเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น “เจ้ากลัวข้ามากอย่างนั้นรึ มือจึงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ข้าคงเป็นปีศาจมากกระนั้นสิ” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยียบ สายพระเนตรจับจ้องใบหน้าหมอที่มาทำการรักษาพระองค์อยู่ในขณะนี้เขม็ง ในขณะที่คนเป็นหมอรีบทรุดกายลงพื้นก้มคำนับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองแต่อย่างใดด้วยความกลัวเกรง แม้ว่าในขณะนี้องค์ชายอิ๋งหยางจะสวมหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์เอาไว้ก็ตามที แต่มิอาจลดทอนความน่ากลัวและน่าเกรงขามของพระองค์ลดน้อยถอยลงไปได้เลย “กะ… กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะที่แสดงอาการออกมาเช่นนั้น ตะ... แต่… แต่กระหม่อมก็กลัวพระองค์จริงๆ มิขอปิดบังแต่ประการใด บรรดาหมอทั่วเมืองฮั่นจงต่างมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากกระหม่อมแม้แต่น้อย” “เช่นนั้นรึ!”รับสั่งออกมาสั้นๆ พ
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน