ในขณะเดียวกัน
ช่วงเวลานี้ราชวงศ์โจวซึ่งเคยปกครองแคว้นต่างๆ มากมายเริ่มเสื่อมถอย ไร้สิ้นอำนาจปกครองแคว้นน้อยใหญ่ในเวลานี้ได้แต่อย่างใด หลังจากกษัตริย์โจวผิงหวางย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วอี้ (ลั่วหยาง) ดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดตกเป็นของแคว้นฉิน ซึ่งได้ผนวกแคว้นหรือดินแดนชนเผ่าหรงจู่ซึ่งอยู่ชายแดนราชวงศ์โจวกลายเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก ในขณะที่ดินแดนซานซีเป็นของแคว้นจิ้น ดินแดนซานตงเป็นของแคว้นฉู่และแคว้นหลู่ ดินแดนหูเป่ยเป็นของแคว้นฉู่ ดินแดนเป่ยจิงและหูเป่ยตอนเหนือเป็นของแคว้นเยี้ยน ต่อมาดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง (แม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นของแคว้นอู๋และแคว้นเย่วและแคว้นอื่นๆ หลังจากแคว้นใหญ่ๆ ทั้งหมดผนวกเอาแคว้นเล็กๆ ในราชวงศ์โจวมาเป็นดินแดนของตน ทำให้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นใหญ่ และเริ่มต้นเปิดฉากที่มาของสงครามแห่งการแย่งชิง เต็มไปด้วยความโหดร้ายของการแก่งแย่งอำนาจกันของแคว้นใหญ่ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งในเวลานี้แคว้นใหญ่ที่มีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วหล้ามีด้วยกันสิบแคว้น อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นจิ้น แคว้นเอี้ยน แคว้นเยี่ยน แคว้นเยว่ แคว้นเจิ้ง แคว้นอู๋ แคว้นหลู่และแคว้นฉิน ซึ่งไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าในเวลาต่อมาจากสิบแคว้นใหญ่จะเหลือเพียงเจ็ดแคว้นเท่านั้น และในกาลต่อมาแคว้นจิ้นได้ล่มสลายลงและแยกออกเป็น แคว้นจ้าว แคว้นเว่ยและแคว้นหาน ที่มีอิทธิพลและอำนาจแข็งแกร่งจนต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กลายเป็นเจ็ดแคว้นใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจและมีอิทธิพลในยุคจ้านกว๋อ ซึ่งต่อมาก็คือ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นหาน แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย แคว้นเยี่ยนและแคว้นฉิน หากแต่กาลเวลาขณะนี้แคว้นฉินยุคนี้คือหนึ่งในแคว้นใหญ่ ซึ่งช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาแผ่ขยายอาณาเขตและยึดดินแดนมาได้อย่างมากมายจนผนึกดินแดนแคว้นเล็กๆ มาอยู่ใต้การปกครองและในขณะนี้ แคว้นฉินกำลังมีพระราชพิธีสำคัญที่ถูกจัดขึ้น นอกจากพระราชพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นแล้ว กำลังจะมีพิธีสถาปนาฮองเฮาพระองค์ใหม่เคียงคู่กับฉินรุ่ยกง ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันเมืองผิงหยาง
จวนสกุลจาง จวนขนาดใหญ่ของอัครเสนาบดีจางฟง ตั้งอยู่ในเมืองผิงหยาง ซึ่งในครั้งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉินมานานเกือบสองร้อยปี ก่อนจะย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองหยง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบันของแคว้นฉินได้ประมาณร้อยปี สกุลจางเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักฉินสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน เพราะบรรพบุรุษต้นตระกูลสืบทอดมาจากเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ซาง และสืบทอดต่อๆ กันมากลายเป็นสกุลจางอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจวนสกุลจางนอกจากจะอยู่ที่เมืองผิงหยางด้วยแล้ว ยังมีอยู่ที่เมืองหยงด้วยเช่นกัน ซึ่งจางฟงและฮูหยินเจียงรวมไปถึงบุตรชายคนโตที่มีตำแหน่งขุนนางในราชสำนักฉินเช่นเดียวกันกับบิดา พำนักอยู่ที่จวนในเมืองหลวงหยง ส่วนบุตรชายคนที่สองจนถึงคนที่สี่รวมไปถึงบุตรสาวเพียงคนเดียวพำนักอยู่ที่จวนสกุลจางในเมืองผิงหยาง เนื่องจากต้องเข้าศึกษาในสำนักหยู ซึ่งบุรุษชนชั้นสูงและมีฐานะดีจะเข้ารับการศึกษาในสำนักแห่งนี้ที่มีมาแต่โบราณ และสตรีสาวที่ได้รับการคัดเลือกให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา หามีเชื้อสายราชวงศ์แต่เป็นเชื้อสายของขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนักฉินขณะนี้ จางเจี๋ยอี้ธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีของจางฟง ผู้ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮาและพิธีสถาปนาจะมีขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นพิธีฝังพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นนับไปอีกสิบวันก็จะเป็นฤกษ์มงคล ขบวนเสด็จจากราชสำนักฉินกำลังตั้งแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่อยู่บริเวณหน้าจวนสกุลจาง เพื่อนำเข้าวังหลวงเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีสถาปนาที่จะมีขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า ผู้คนมากมายต่างมายืนออกันอย่างเนืองแน่นบริเวณหน้าจวนเพื่อรอยลโฉม จางเจี๋ยอี้ ซึ่งเล่าลือกันปากต่อปากมาว่า รูปโฉมของนางล่มแคว้นบ้านเมือง แต่แล้วผู้คนกลับต้องผิดหวัง เมื่อแม่นางงามล่มเมืองปรากฏกายออกมาพร้อมผ้าปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตากลมโตเท่านั้น ร่างอรชรสวมอาภรณ์สีดำสลับแดง ซึ่งเป็นสีประจำของราชสำนักฉินและเป็นสีประจำแคว้น สีดำหมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ สีแดงคือบารมีมากล้นเหลือทั้งสองสีถือเป็นสีมงคลของแคว้นฉินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น ธิดาจากสกุลจางก้าวออกจากประตูจวนโดยมีสายตาของคนเป็นแม่ ฮูหยินเจียงซึ่งอุตส่าห์มาจากเมืองหลวงเดินตามหลังเพื่อส่งบุตรีของนางขึ้นรถม้าของทางราชสำนักฉิน เดินทางเข้าวังหลวง ด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่านางจะได้เห็นธิดาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายในจำนวนบุตรทั้งห้าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่ฮูหยินเจียงและอัครเสนาบดีจางฟง มิได้มีเพียงจางเจี๋ยอี้ เป็นธิดาเพียงคนเดียว แต่เคยมีด้วยกันสองคน ด้วยเพราะทั้งคู่มีลูกสาวฝาแฝดนั่นเอง ทว่าฝาแฝดคนน้องได้หายสาบสูญไปเพราะสาเหตุพลัดตกลงไปในแม่น้ำเมื่อตอนอายุหกขวบ และถูกกระแสน้ำพัดหายไปจนไร้ร่องรอย จากวันนั้นจนถึงวันนี้มิเคยปรากฏข่าวคราวและร่องรอยสามารถสืบเสาะค้นหาได้อย่างใดและทั้งสองต่างทำใจได้แล้วว่า ลูกสาวฝาแฝดอีกคนได้ตายไปแล้ว จึงทำให้จางเจี๋ยอี้ กลายเป็นธิดาเพียงหนึ่งเดียวของอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง “อี้เอ๋อร์!” เสียงของฮูหยินจางเรียกรั้งบุตรีเอาไว้ในขณะที่กำลังก้าวจะขึ้นรถม้า ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยผ้าผืนบางสีขาวขุ่นปักลายเป็นรูปดอกไม้เล็กๆ หันกลับมามองมารดาผู้ให้กำเนิด พลางส่งยิ้มหวานกลับไปเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของนาง “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลรักษาเนื้อรักษาตัวเองให้เป็นอย่างดี หากแม้นมีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมท่านพ่อและท่านแม่ หรือไม่ก็จะให้ทางวังหลวงนำท่านเข้าไปพบข้า” แม่นางคนงามตอบมารดากลับไป ในขณะที่คนเป็นแม่ได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ หากแต่แฝงเร้นความเศร้าครั้นได้ยินเช่นนั้น “ชีวิตในวังแตกต่างจากด้านนอกยิ่งนัก จงระวังให้จงหนัก ตำแหน่งฮองเฮาของเจ้าที่ได้รับการแต่งตั้งในครั้งนี้ หาได้เกิดจากความรักที่เจ้าผู้ครองแคว้นพึงพอใจตัวเจ้าแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นเพราะต้องการอำนาจของท่านพ่อเจ้าให้มาอยู่เป็นฐานกำลังสำคัญในราชสำนัก ชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขได้เยี่ยงไร” นางเฝ้ารำพึงรำพัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงดงามยิ้มเจื่อนๆ ด้วยนางมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากที่มารดาได้กล่าวออกมาแม้แต่น้อย แต่ถ้าปฏิเสธตำแหน่งฮองเฮาอย่างไม่ใยดี มีหรือจะทำไม่ได้ แต่นางจะต้องเห็นแก่ตระกูลเป็นใหญ่มากกว่าตนเอง เพราะอำนาจในราชสำนักที่อยู่ในกำมือของนางขณะนี้ มิได้มาง่ายๆ จะให้พังทลายลง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนอกตัญญู “ชีวิตของข้าเป็นสุขแล้วท่านแม่ที่ได้เกิดมาแทนคุณตระกูลและท่านพ่อท่านแม่ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ไป นั่นก็คือชะตาฟ้าลิขิตที่ข้าต้องเผชิญ สบายใจเถิดอย่างไรเสียข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ เท่าที่จะทำได้” เสียงหวานบอกกลับไปพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอวบของมารดาอย่างแนบแน่น ก่อนจะตัดใจก้าวขึ้นรถม้าพร้อมหญิงรับใช้คนสนิทติดตามเข้าไปวังหลวงพร้อมกัน ขบวนรถม้าจากราชสำนักค่อยๆ เคลื่อนออกจากหน้าจวนสกุลจางไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองหยงซึ่งพระราชวังหลวงแห่งแคว้นฉินอยู่ที่นั่น โดยมีทหารอารักขาคอยคุ้มกันอย่างหนาแน่นไปตลอดทาง ด้วยต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองผิงหยางจนถึงเมืองหลวงไม่ต่ำกว่าสามวันจึงจะถึงที่หมาย ทว่าขบวนถวายอารักขาที่เฝ้าถวายความปลอดภัยของว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่กันอย่างหนาแน่นในขณะนี้ หาใช่ขบวนองครักษ์จากทางวังหลวงเสียทั้งหมด ด้วยภายในขบวนดังกล่าวกลับมีองครักษ์ฝีมือดีที่ถูกองค์ชายอิ๋งเฟิ่งส่งมาปะปนเพื่อลอบสังหารธิดาจากสกุลจางให้พบกับจุดจบก่อนจะก้าวเข้าสู่พระราชวังหลวงซึ่งมีด้วยกันจำนวนหกนาย และทั้งหมดต่างส่งสัญญาณเพื่อลงมือตามแผนที่ได้วางเอาไว้ครั้นถึงสถานที่สำหรับใช้ลงมือสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาของแคว้นฉินบริเวณชายป่า ขบวนเสด็จของว่าที่ฮองเฮาบัดนี้ได้ตั้งกระโจมที่ประทับบริเวณเขตชายป่าดงดิบของเมืองผิงหยาง โดยเลือกตั้งกระโจมใกล้กับลำธารเพื่อสามารถใช้เป็นสถานที่อาบน้ำชำระล้างกายและกักเก็บน้ำสะอาดไว้ใช้ดื่มในระหว่างการเดินทาง ด้วยต้องใช้เวลาอีกสองวันก็จะถึงเมืองหยงซึ่งเป็นเมืองหลวง ด้วยอาณาเขตพื้นที่ของเมืองผิงหยางกว้างใหญ่พอๆ กับเมืองหยง จึงต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร อีกทั้งเส้นทางหลักเกิดดินถล่มทำให้ไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางอ้อมขุนเขาจึงจะเข้าสู่เขตเมืองหยง ท่ามกลางป่าดงดิบและสัตว์ป่าที่ออกมาหาอาหาร ต่างเดินมาให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ กวางตัวขนาดใหญ่ถูกล่ามาทำเป็นอาหารในค่ำคืนนี้ โดยทีมล่าคือองครักษ์ทั้งหกนายขององค์ชายสามอิ๋งเฟิ่ง เริ่มลงมือตามแผนที่วางเอาไว้เพื่อลอบสังหารจางเจี๋ยอี้ ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่ในค่ำคืนนี้ กวางเลิศรสถูกย่างจนเกรียมส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถูกตัดแบ่งแจกจ่ายให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงโดยหารู้ไม่ว่าในเนื้อกวางดังกล่าวได้วางยาทำให้หลับอย่างแรงซึ่งได้มาจากแคว้นเอี้ยนของพระชายารองซึ่งเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น และพระนางเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นพร
ในขณะเดียวกัน ยุคปัจจุบัน ร่างไร้วิญญาณของโฉมงามล่มแคว้น ถูกเชือกมัดรอบกลางลำตัวติดกับหินขนาดใหญ่เพื่อใช้ถ่วงน้ำหนัก วางทับไว้บนร่างโดยมีบุรุษชุดดำอุ้มส่วนหัวและปลายเท้า เหวี่ยงไปมาติดๆ กันอยู่เพียงครู่ก่อนจะโยนลงไปในแม่น้ำทันที ตูม!!! ร่างนั้นจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอันหนาวเย็นอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงเพรียกหาของจางเจี๋ยอี้เจ้าของร่างไร้วิญญาณดังกล่าวดังอยู่ใต้ก้นแม่น้ำนั้น “อันอัน! อันอัน!” เสียงเพรียกหาน้องสาวฝาแฝดออกมาจากดวงวิญญาณของจางเจี๋ยอี้ ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “อันอัน! ตื่นได้แล้ว!” เสียงเรียกปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งการหลับใหล เฮือกกก!!! จางเพ่ยอันสะดุ้งจนสุดตัว ดวงตาเปิดขึ้นพร้อมกะพริบตาปริบๆ มองไปรอบบริเวณ และพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนรถตู้ของศูนย์วิจัย และรถจอดนิ่งสนิทอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำหวงโหวเพื่อเดินทางกลับเข้านครซีอาน หลังจากออกสำรวจสุสานแห่งใหม่จนเสร็จสิ้นภารกิจ “ที่แท้ฉันก็ฝันไป! แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ฝันเห็นอดีตชาติของตัวเอง ชาติที่แล้วเรามีฝาแฝดด้วยอย่างนั้นเหรอ แต่ทำไมพี่สาวของฉันถึงได้ตายอย่างน่าเวทนาเช่นนั้น ทำไมต้องถูกฆ่า! แล้วทำไมถึงเพิ่งมาเห็นเหต
เมื่อจู่ๆ จางเพ่ยอันก็หมดสติไปต่อหน้าต่อตาของเพื่อนร่วมงาน ร่างของหญิงสาวถูกช่วยชีวิตเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนเพื่อทำให้เธอกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอันที่ยืนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล มาถึงทันทีที่มีการแจ้งจากทีมงาน ทีมแพทย์ฉุกเฉินรีบช่วยกันปั้มหัวใจอย่างเร่งด่วนเพื่อให้คนไข้กลับมาหายใจได้ดั่งเดิม “หัวใจหยุดเต้นไปประมาณหนึ่งนาทีเศษๆ เห็นจะได้ ตอนนี้ปั้มหัวใจกลับคืนมาได้แล้วแต่อาการยังน่าเป็นห่วง ความดันต่ำยังไม่ยอมขึ้นเลย รีบนำขึ้นรถเร็วๆ เข้า” ทีมแพทย์ฉุกเฉินเอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนจะรีบยกร่างของสาวน้อยวัยใสขึ้นเปล “นี่ฉันตายแล้วอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยออกมาทันทีเมื่อเห็นทีมแพทย์คลี่ผ้าสีขาวคลุมร่างของเธอเอาไว้อย่างมิดชิด ใบหน้าถูกสายออกซิเจนครอบเอาไว้เพื่อช่วยให้เธอได้หายใจสะดวก พร้อมยกร่างขึ้นไปไว้บนรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของเพื่อนร่วมงาน “ทำไมอันอันถึงได้เป็นแบบนี้... คุณหมอทำไมจู่ๆ ถึงได้ล้มฟาดพื้นทั้งยืนแบบนั้นคะ” หัวหน้าทีมวิจัยถามทีมแพทย์ช่วยเหลือด้วยความตื่นตระหนก “เป็นอาการหัวใจวายเฉียบพลันครับ เกิดข
ยุคอดีต ฮั่นจง เมืองชายแดนแคว้นฉิน จวนแม่ทัพ พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจอิ๋งหยาง ในฉลองพระองค์สีดำทะมึนทรงนั่งประทับภายในห้องพระบรรทม โดยมีหมอในเมืองฮั่นจง มาถวายการรักษาบาดแผลแปลกประหลาดที่อยู่บริเวณพระอุระ ผ้าพันแผลผืนใหม่ถูกนำมาพันรอบพระวรกายใหญ่ด้วยมืออันสั่นเทาของคนเป็นหมอ เมื่อต้องถวายการรับใช้องค์ชายปีศาจซึ่งเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น “เจ้ากลัวข้ามากอย่างนั้นรึ มือจึงสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ข้าคงเป็นปีศาจมากกระนั้นสิ” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยียบ สายพระเนตรจับจ้องใบหน้าหมอที่มาทำการรักษาพระองค์อยู่ในขณะนี้เขม็ง ในขณะที่คนเป็นหมอรีบทรุดกายลงพื้นก้มคำนับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองแต่อย่างใดด้วยความกลัวเกรง แม้ว่าในขณะนี้องค์ชายอิ๋งหยางจะสวมหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์เอาไว้ก็ตามที แต่มิอาจลดทอนความน่ากลัวและน่าเกรงขามของพระองค์ลดน้อยถอยลงไปได้เลย “กะ… กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะที่แสดงอาการออกมาเช่นนั้น ตะ... แต่… แต่กระหม่อมก็กลัวพระองค์จริงๆ มิขอปิดบังแต่ประการใด บรรดาหมอทั่วเมืองฮั่นจงต่างมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากกระหม่อมแม้แต่น้อย” “เช่นนั้นรึ!”รับสั่งออกมาสั้นๆ พ
แม่น้ำเฟิ่ง แม่น้ำเฟิ่งอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างเมืองผิงหยางและเมืองหยง ขวางกั้นระหว่างสองเมืองใหญ่ของแคว้นฉิน บริเวณต้นแม่น้ำมีบ้านหลังไม่ใหญ่ไม่เล็กถูกสร้างขึ้นอยู่ริมลำธารฝั่งเขตเมืองหยง ภายในบริเวณกว้างขวางมีรั้วรอบขอบชิด จัดแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน มีเรือนนอนแยกเป็นกิจจะลักษณะ เรือนครัวและห้องโถงเล็กๆ จัดวางไว้อย่างสวยงาม ตัวบ้านทำจากไม้ไผ่เขียวยืนต้นสูง เนื้อแข็งแรงทานทน ทำให้บ้านออกมาสวยงามและน่าอยู่ ภายในห้องนอนบนเตียงไม้ไผ่ปูด้วยเสื่อกลางเก่ากลางใหม่ทาบทับด้วยฟูกนอน ปรากฏร่างระหงของหญิงสาวนางหนึ่งนอนหมดสตินานกว่าห้าวัน บริเวณหน้าอกและคอมีผ้าพันแผลราวกับว่าได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าสวยงดงามบัดนี้แลดูขาวซีดเซียว ริมฝีปากอิ่มไร้สิ้นสีเลือดเจือจางด้วยเพราะทั่วร่างถูกพิษและเพิ่งถูกขับออกไปจนหมด ร่างอวบของสตรีสูงวัยอายุประมาณห้าสิบเศษๆ นามว่าฉางอี๋นั่วกำลังเป่ายาซึ่งเคี่ยวมาอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นเวลานาน โดยมีชายสูงวัยแลดูมีอายุนั่งอยู่บนโต๊ะกลางห้องกำลังค่อยๆ จิบน้ำชาพลางมองคนเจ็บที่ถูกช่วยขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเมื่อห้าวันก่อน “ท่านพี่! แม่นางผู้นี้หมดสติเข้าวันที่ห้าแล้ว ยังไม่ยอมฟื้นขึ้น
ในขณะเดียวกัน เมืองหลวง พระราชพิธีฝังพระศพ ขบวนแห่พระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น กำลังตั้งขบวนเป็นแถวยาวออกจากตำหนักส่วนกลางเพื่อเคลื่อนขบวนไปยังสุสานหลวงของราชวงศ์ บรรดาพระโอรสที่ประสูติจากอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นรวมด้วยกันสิบห้าพระองค์ ทยอยเสด็จมาเข้าร่วมขบวนโดยมีเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบัน ฉินรุ่ยกงพระดำเนินนำหน้าพระอนุชาทั้งหมด หากจะว่ากันไปแล้วฉินรุ่ยกงกับองค์ชายอิ๋งหยางพระเชษฐาทรงพระอ่อนชันษาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น จึงทำให้กลายเป็นองค์ชายรอง ซึ่งแคว้นฉินได้จัดลำดับเชื้อพระวงศ์เอาไว้อย่างชัดเจน และต่างล่วงรู้กันดีว่าแท้จริงแล้ว เจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์จริงจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง พระเชษฐาองค์โตซึ่งประสูติจากฮองเฮาพระองค์แรก “พิธีฝังพระศพของอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น หากองค์ชายใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ผู้ที่จะต้องถือป้ายวิญญาณและพระดำเนินนำหน้าพระองค์แรกจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง ตามโบราณราชประเพณีใช่หรือไม่” “ตามโบราณราชประเพณีเป็นเช่นนั้นมิผิดแต่อย่างใด” “แต่พระองค์จวนเจียนสิ้นพระชนม์แล้วถึงอย่างไรก็มิอาจมาร่วมพิธีได้อยู่ดี” “อย่ามาเลย ขืนมาคงวุ่นวายเป็นแน่ ฝ่าบาทจะต้องอยู
ณ บ้านน้อยริมลำธาร “คุณยายเอาอีก!” เสียงหวานส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขอข้าวจากฮูหยินฉางที่กำลังตักข้าวให้หญิงสาวจนพูนชาม จางเพ่ยอันรีบเอื้อมมือรับชามข้าวด้วยความดีใจ พลางใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่คีบข้าวเข้าปากด้วยความหิว เนื้อปลาย่างจนสุกหอมน่ากินและน้ำแกงปลา เพื่อบำรุงกำลังทำให้หญิงสาวเจริญอาหารอย่างยิ่งยวด “คุณยายทำกับข้าวอร่อยจังเลยค่ะ อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆ นะ” เธอพูดชมไม่ขาดปากพร้อมพุ้ยข้าวไปด้วย สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เมื่อฟังคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันเริ่มจะรู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือไร ใยผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น “เอ่อ... หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมตากับยายถึงนั่งมองหน้าแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปพร้อมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากพลางยกน้ำแกงซดตามไปด้วย ก่อนจะได้ยินหยงอู่เอ่ยขึ้น “แม่หนู... เจ้าเป็นคนแคว้นใดรึ เป็นชาวเมืองฉินหรือเปล่า เหตุใดถ้อยเจรจราของเจ้าจึงแลดูแปลกชอบกลนัก ข้าและฮูหยินพยายามตั้งใจฟังเจ้าพูดอยู่เป็นนานแต่ก็หาเข้าใจถ้อยคำของเจ้าแต่อย่างใด” ครั้นหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นตะเกียบที่กำลังคี
พระตำหนักจินไท่ (ตำหนักที่ประทับฉินรุ่ยกง) “ปัง!” เสียงพระหัตถ์กระทบลงบนโต๊ะตรงพระพักตร์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด “บัดซบสิ้นดี! ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าอิ๋งหยางเจาะจงมาปรากฏตัวในวันนี้ ตั้งใจหักหน้าข้าชัดๆ” สุรเสียงรับสั่งเกรี้ยวกราด พระพักตร์สั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยขึ้นทอดพระเนตรพระอนุชาซึ่งนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับตรงข้ามกับพระองค์ “เป็นไงล่ะ! เจ้าแผนการมากไม่ใช่เหรอ ผลงานออกมาให้เห็นแล้ววันนี้ อิ๋งหยางไม่เป็นอะไรเลย! อาการจวนเจียนใกล้ตายหาปรากฏให้เห็น ตรงกันข้าม ข้า! รวมไปถึงพวกเจ้าทุกคนที่จะพากันตาย!” รับสั่งถามพระอนุชากลับไป ในขณะที่องค์ชายสามทรงครุ่นคิดอย่างหนักว่าเหตุใดแผนลอบสังหารจึงพังไม่เป็นท่าเช่นนี้ ครั้นทรงได้ยินพระเชษฐารับสั่งถามด้วยพระอารมณ์กราดเกรี้ยวกลับมาเช่นนั้น ความอดทนที่เก็บกดเอาไว้ภายในมาโดยตลอดเริ่มจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว “เลิกโวยวายจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะเที่ยวโทษผู้อื่นทรงมองพระองค์เองด้วยเถอะว่าสามารถต้านทานอำนาจของอิ๋งหยางได้หรือไม่ ขนาดยังไม่ได้ทำอ
พระราชวังหลวงภายในพระตำหนักบูรพา “พัง! พังหมด! วอดวายย่อยยิบมิมีชิ้นดี! หอเฟิ่งอี้ที่ข้ากับเสด็จแม่อุตส่าห์สร้างขึ้นมา ถูกอิ๋งหยางสั่งปิดอย่างถาวร เช่นนี้เงินมหาศาลที่เคยได้รับสูญสลายหายไปเพียงชั่วพริบตา!” สุรเสียงขององค์ชายอิ๋งเฟิ่งดังกึกก้องภายในพระตำหนักบูรพาของรัชทายาทแห่งแคว้นฉิน พร้อมพระดำเนินกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่องค์ชายอิ๋งเหว่ยได้แต่นั่งกุมขมับอยู่เช่นนั้น เมื่อได้ล่วงรู้ข่าวการปรากฏพระวรกายของพระเชษฐาพระองค์ใหญ่มาพร้อมกับพระบัญชาอันเฉียบขาดดั่งเช่นทุกครั้งที่ทรงลงมือทำอะไรแล้ว รวดเร็วฉับไวมิทันได้ให้ตั้งตัวแม้แต่น้อย พระบัญชาที่แฝงเร้นความโหดเหี้ยมในคราเดียวกัน ด้วยหากขัดขืนพระบัญชามีคำสั่งลากไปบั่นคอจนริบเรือนพร้อมเสียบหัวประจานกลางเมืองหลวงเลยทีเดียว เป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก ในขณะเดียวกันทรงได้รับการยกย่องและเทิดทูนในคราเดียวกัน “เจ้าจะโวยวายออกมาก็เปล่าประโยชน์อิ๋งเฟิ่ง ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าไร้ฝีมือที่จะจัดการอิ๋งหยางให้สิ้นซาก นักฆ่าแต่ละคนล้วนไร้น้ำยา
จวนสกุลไป๋ จวนขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กของพ่อค้าขายข้าวสาร ทว่า ใหญ่ที่สุดในแคว้นฉิน ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเฟิ่งที่ไหลทอดยาวไปสมทบกับแม่น้ำฮวงโหว พื้นที่ภายในมีขนาดเล็กกว่าจวนสกุลฮัวไม่มากนัก แต่ถ้าหากนับพื้นที่ซึ่งติดกับริมแม่น้ำแล้วไซร้กว้างใหญ่กว่าจวนสกุลฮัวหลายเท่าเลยทีเดียว บริเวณริมแม่น้ำปรากฏเรือขนาดใหญ่สามารถเดินทางล่องแม่น้ำ และบรรจุข้าวของหนักได้เป็นอย่างดีไม่เว้นแม้กระทั่งสัตว์ขนาดใหญ่เช่นม้าหรือวัว เรือลำดังกล่าวมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเตรียมความพร้อมอยู่ทุกเมื่อหากมีภัยมาถึงตัว ปัง!!! เสียงดังกระหึ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดได้เป็นอย่างดี พระวรกายสูงใหญ่ของรัชทายาทหนุ่มจากแคว้นต้าหลู่ ทรงยืนสูงตระหง่านอยู่กลางห้องโถงของจวนสกุลไป๋ ถูกสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ประทับแห่งที่สองซึ่งเป็นความลับสุดยอด ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกมาอีกและมีทางหนีได้หลายเส้นทางเตรียมพร้อมตลอดเวลา พระพักตร์หล่อเหลาบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ครั้นทรงได้ยินรายงานจากเหล่าองครักษ์กลับมารายงานผลการค้นหาสมบัติที่พระองค์เสียเงินซื้อมาถึงหนึ่งพันเตาปี้
ในเวลาเดียวกันในขณะที่จางเพ่ยอันกำลังยืนครุ่นคิดถึงอัครเสนาบดีใหญ่จางฟง ผู้เป็นบิดาของตนในภพชาตินี้ โดยมิทันสังเกตพี่หยางหยางของเธอ กำลังเดินตรงมาหาก่อนจะหยุดยืนลงตรงหน้าพร้อมยกมือจับศีรษะน้องน้อยพลางโยกไปมาเบาๆ“คิดอะไรอยู่เจ้าตัวเล็ก!” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้ในท่าทีที่เหม่อลอยของน้องน้อยในขณะนั้น จางเพ่ยอันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติดั่งเดิมพร้อมถามกลับไปทันที “พี่หยางจำเรื่องราวของท่านได้จนหมดสิ้นแล้วใช่ไหม จึงสามารถวางแผนการต่างๆ อะไรตั้งมากมายถึงเพียงนี้มิหนำซ้ำยังวางออกมาเป็นขั้นเป็นตอนเลยทีเดียว” พระพักตร์หล่อเหลาพยักขึ้นลงติดต่อกัน พระโอษฐ์คลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ความทรงจำของข้าที่หายไปจดจำได้จนหมดสิ้น จำได้แม้กระทั่งเจ้านั่นแหละเป็นคนทำให้ข้าหัวฟาดพื้นจนความจำเลือนหายไป” “หา!... จำได้ด้วยเหรอ” จางเพ่ยอันพึมพำเสียงอ่อยๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอจากพี่ชายแสนดี “แต่ถึงแม้ความทรงจำเดิมจะหวนกลับคืนมา ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าและความรักที่ได้รับจากท่านตาท่านยาย กับการใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหุบเขาในบ้
“หา!... ให้ข้าเป็นขันที!” เสียงน้องชายหน้าสวยโวยวายขึ้นมาโดยพลัน ครั้นได้ยินพี่หยางหยางกล่าวออกมาเช่นนั้น พระเนตรคู่สวยขององค์ชายปีศาจเหลือบไปทอดพระเนตรน้องชายหน้าสวยอยู่เพียงครู่ ครั้นทรงได้ยินเสียงโวยวายของคนเป็นน้องดังแทรกขึ้นมา “เจ้าอยู่เฉยอันอัน!” รับสั่งเพียงสั้นๆ กลับไป พลางหันกลับไปทอดพระเนตรทหารคนสนิท “ข้าจะปลอมตัวเป็นองครักษ์และอันอันจะเป็นขันทีแอบแฝงอยู่ในราชสำนักสักระยะ เพื่อสืบข่าวบางอย่างที่อยากล่วงรู้มาโดยตลอด อีกทั้งเพื่อตัดไฟตั้งแต้ต้นลมมิให้บรรดาน้องชายต่างแม่ของข้าเหล่านั้นริอ่านแข็งข้อกับข้าขึ้นมาได้อีก! มีหลายสิ่งที่คิดเอาไว้นานแล้วและอยากลงมือเสียที ในที่สุดโอกาสก็มาถึง” ตุ้บ!!! พู่กันอยู่ในมือที่กำลังจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ขององค์ชายอิ๋งหยางรวมไปถึงเหตุการณ์โดยรวมของแคว้นฉิน ซึ่งจางเพ่ยอันคอยบันทึกอยู่เป็นประจำทุกวันร่วงหล่นจากมือของตัวเองทันใดเมื่อได้ยินว่าจะต้องกลายเป็นขันที ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะรู้สึกตัว “โอ๊ย! ไม่เอานะ! ไม่เอานะ! ทำไมต้องให้ข้าไปเป็นขันทีด้วย ตำแหน่งนี้ข้าต้องโดนตอนนะ... พี่หยาง ใจคอท่านจะส่งข้าให้ไปตอนอย่างนั้นเหรอ... แ
ห้าวันผ่านไปจวนแม่ทัพ พระวรกายใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับ ทรงอ่านรายงานสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาซึ่งพระองค์หายสาบสูญไปอยู่บ้านน้อยริมลำธาร ใช้ชีวิตชาวป่ากับสองผู้เฒ่าและน้องชายหน้าหวานมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในยามนี้ความเคลือบแคลงสงสัยในตัวของน้องน้อยยังมิเสื่อมคลายลงไปแม้แต่น้อย หากแต่พระองค์เลือกที่จะแอบสังเกตการณ์เอาไว้อย่างเงียบๆ หลังจากที่ทรงหมดพระสติบรรทมไปเสียดื้อๆ ทำให้น้องชายหน้าหวานรอดพ้นจากการถูกพระองค์จับแก้ผ้าเพื่อสำรวจร่างกาย จึงทำให้ล่วงรู้ว่าทรงถูกน้องน้อยจัดการให้มีสภาพเช่นนั้น อีกทั้งองค์ชายปีศาจทอดพระเนตรน้องชายกระตือรือร้นจัดการต้มยาด้วยตัวเองอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาพิษที่อยู่ภายในพระวรกายให้หายเป็นปกติในเร็ววัน พระองค์จึงต้องแสร้งเล่นตามน้ำไปด้วยเพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขาด้วยอย่างใจเย็นกว่าครั้งที่แล้วมา ในขณะที่จางเพ่ยอันหาวิธีการที่จะทำให้พี่หยางหยางคลายความสงสัยในตัวเธอว่าแท้จริงแล้วเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่ หญิงสาวพลิกตำราสูตรยาลับพร้อมสมุนไพรสุดวิเศษที่ผู้เฒ่าหยงอู่จัดไว้ในห่อผ้าและได้อธิบายให้หลานสาวคนสวยถึงวิธี
พี่หยาง!!!” จางเพ่ยอันร้องเรียกชื่อพี่ชายปีศาจจนสุดเสียง สองมือพยามยามผลักมือหนาที่กำลังง่วนอยู่กับการแก้เชือกผูกสาบเสื้อของเธออยู่ตลอดเวลา “ทะ... ท่านไม่ต้องแก้เสื้อให้ข้าหรอก! ข้าบอกว่าไม่เป็นอะไร... พี่หยางเชื่อข้าเถอะ!” เธอพยายามอธิบายกลับไป “ข้าไม่เชื่อ! เจ้ามีพิรุธยิ่งนักโดยเฉพาะตรงหน้าอก! จะต้องถูกคนโฉดผู้นั้นทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ มาเถิดอันอันพี่หยางขอดูหน่อย… จะได้ช่วยรักษาเจ้าให้เป็นปกติดั่งเดิม... มา... มา” จู่ๆ ถ้อยรับสั่งขององค์ชายปีศาจพลันเชื่องช้าลง เปลือกพระเนตรเริ่มปรือและค่อยๆ พร่ามัวขึ้นมา พระองค์ทอดพระ เนตรใบหน้าแสนสวยของน้องชายเริ่มพร่าเลือนพร้อมพระวรกายเริ่มโงนเงน “นี่ข้าเป็นอะไรไป! อันอัน! อันอัน!” รับสั่งเพรียกหาน้องชายหน้าสวยพร้อมสะบัดพระเศียรไปมาอย่างแรงติดต่อกันเพื่อขับไล่ความมึนงงและอาการพร่าเลือนที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทันทีที่หญิงสาวเห็นอาการพี่หยางหยางแสดงออกมาเช่นนั้น เธอล่วงรู้ได้ทันทีว่าฤทธิ์ของยาสลบที่เพิ่งฉีดเข้าไปนั้นเริ่มออกฤทธิ์แล้ว และมิเสียเวลารอช้าจางเพ่ยอันสวมบทบาทตีเนียนทันใด “พี่หยางท่านเป็นอะไรอย่างนั้นรึ! เห็นไหมข้าเตือนแล้วว่าอาการข
ท่อนแขนเรียวสวยของหญิงสาวถูกพี่หยางหยางดึงรั้งให้ร่างงามหันกลับมาเผชิญหน้าตามเดิม ท่ามกลางความตกใจของอีกฝ่าย “เฮ้ย! เฮ้ย!พี่หยางจะทำอะไร!”หญิงสาวร้องโวยวายพร้อมร่างเล็กๆ ถูกจับให้หันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าคนตัวโตที่กำลังจ้องเขม็งอยู่ในขณะนี้ “เจ้าเป็นอะไรรึ! เหตุใดวันนี้แลดูชอบกลนัก แสดงท่าทีประหลาดก็หลายครา ตกใจก็ง่ายดาย แล้วนี่กระไรหน้าแดงก่ำถึงเพียงนี้เชียว... หรือว่าเจ้าเป็นไข้รึ!” รับสั่งพร้อมพยายามจะลุกจากฟูกบรรทมเพื่อสำรวจร่างกายน้องชายหน้าสวย ทั้งๆ ที่พระวรกายยังคงเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น มีเพียงผ้าห่มของหญิงสาวปิดเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ดวงตากลมโตเบิกกว้างครั้นเห็นร่างเปลือยจะหลุดพ้นจากผ้าห่มผืนน้อย มือเรียวสวยรีบตรงเข้าไปตะครุบผืนผ้าก่อนจะพันรอบพระวรกาย “ว้าย! ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ไม่ต้องยืน!!!” จางเพ่ยอันหวีดร้องออกมาด้วยความลืมตัว แปะ! หยดเลือดสีแดงก่ำไหลออกมาจากรูจมูกของเธอโดยพลัน เมื่อใบหน้าแสนสวยเกือบแนบชิดกับแผงอกกว้างที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อเรียงตัวอย่างสวยงาม “อือหือ แข็งปั้ก! แข็งไปหมด!” หญิงสาวพูดพลางยกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสตรงปลายจมูกของเธอทันใด “โอ้โฮ!ความดันขึ้นถึงขี
เวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วยาม แผลจากลูกธนูบริเวณหน้าอกและหน้าขาขององค์ชายปีศาจได้รับการรักษาเป็นที่เรียบร้อย ลูกธนูอาบยาพิษถูกนำออกมาจากพระวรกายเป็นผลสำเร็จ บาดแผลเย็บโดยใช้ไหมละลายเรียบเนียนและสวยงามเรียงตัวเป็นระเบียบ บาดแผลดังกล่าวถูกปิดทับด้วยผ้าก๊อซขนาดใหญ่ก่อนจะทาบทับด้วยแผ่นปลาสเตอร์ที่สามารถตัดแบ่งได้ด้วยกรรไกรอันคมกริบจากยุคปัจจุบันทำการปิดทับชั้นสุดท้ายเพื่อป้องกันมิให้ถูกสิ่งสกปรก และตามด้วยผ้าพันแผลที่ทำมาจากผ้าฝ้ายถูกนำมาพันโดยรอบอย่างสวยงามทั้งบริเวณหน้าอกและหน้าขาขององค์ชายปีศาจ “เสร็จเรียบร้อยแล้ว! อาการของพี่หยางไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แผลที่หน้าอกและหน้าขาของท่าน ข้าจะคอยดูแลเปลี่ยนผ้าและล้างแผลให้เอง ส่วนยาพิษที่ได้รับเข้าไปใช้ยาของท่านตาทำการล้างพิษกินติดต่อกันอีกสักสองสามวัน พิษร้ายในตัวของพี่หยางก็หมดสิ้นแล้ว” หญิงสาวกล่าวอย่างภาคภูมิใจในฝีมือทางการแพทย์ของตนเอง ในขณะที่คนจากยุคอดีตต่างพากันเงียบงันไปตามๆ กันเมื่อได้เห็นการรักษาที่มิเคยพานพบมาก่อน เครื่องมือหลายอย่างสร้างความฉงนสนเท่ห์ให้แก่ทุกสายตาที่อยู่ภายในห้องดังกล่าวเป็นยิ่งนัก แม้จะอยู่ในสนามรบมามากก็ตาม แ
ห้องนอนท่านแม่ทัพ เพียงไม่นานจางเพ่ยอันก้าวข้ามธรณีประตูมาหยุดยืนอยู่กลางห้องพระบรรทม ในขณะที่โม่โฉวและองครักษ์ติดตามกำลังสาละวนถอดฉลองพระองค์ที่เต็มไปด้วยโลหิตของผู้คนมากมาย ที่องค์ชายปีศาจสังหารผู้คนนับตั้งแต่หอเฟิ่งอี้เป็นต้นมาจนถึงจวนสกุลฮัวจนสิ้นชีพไม่ต่ำกว่าร้อยชีวิตเลยทีเดียว ร่างอรชรหยุดชะงักทันทีเมื่อเธอเห็นฉลองพระองค์ขององค์ชายหนุ่มถูกปลดออกจากพระวรกาย ตุ้บ!!! ฉลองพระองค์ถูกถอดออกจนเผยให้เห็นพระอุระกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออัดแน่น ลูกธนูอาบยาพิษเสียบเข้าไปจนลึกเหลือเพียงส่วนปลายที่ถูกหักเอาไว้เพียงน้อยนิด บริเวณบาดแผลเต็มไปด้วยเลือดสีดำในขณะที่พระวรกายท่อนล่างกำลังถูกรองแม่ทัพดึงส่วนที่เป็นกางเกงผ้าตามมาติดๆ พรึบ!!! กางเกงถูกดึงออกจากพระวรกายอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของจางเพ่ยอันที่เห็นพี่หยางหยางเปลือยกายต่อหน้าต่อตาเธออยู่ในขณะนี้ “อ๋อย!!! พะ… พะ... พี่... พี่หยาง... หูยย! เห็นหมดเลย” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ใบหน้าหวานลึกล้ำแดงก่ำขึ้นมาโดยพลันเมื่อได้เห็นพระวรกายเปลือยเปล่าขององค์ชายปีศาจปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอในขณะนี้ ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงของโม่โฉวร้องเรียก