พระตำหนักจินไท่ (ตำหนักที่ประทับฉินรุ่ยกง)
“ปัง!” เสียงพระหัตถ์กระทบลงบนโต๊ะตรงพระพักตร์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด “บัดซบสิ้นดี! ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าอิ๋งหยางเจาะจงมาปรากฏตัวในวันนี้ ตั้งใจหักหน้าข้าชัดๆ” สุรเสียงรับสั่งเกรี้ยวกราด พระพักตร์สั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยขึ้นทอดพระเนตรพระอนุชาซึ่งนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับตรงข้ามกับพระองค์ “เป็นไงล่ะ! เจ้าแผนการมากไม่ใช่เหรอ ผลงานออกมาให้เห็นแล้ววันนี้ อิ๋งหยางไม่เป็นอะไรเลย! อาการจวนเจียนใกล้ตายหาปรากฏให้เห็น ตรงกันข้าม ข้า! รวมไปถึงพวกเจ้าทุกคนที่จะพากันตาย!” รับสั่งถามพระอนุชากลับไป ในขณะที่องค์ชายสามทรงครุ่นคิดอย่างหนักว่าเหตุใดแผนลอบสังหารจึงพังไม่เป็นท่าเช่นนี้ ครั้นทรงได้ยินพระเชษฐารับสั่งถามด้วยพระอารมณ์กราดเกรี้ยวกลับมาเช่นนั้น ความอดทนที่เก็บกดเอาไว้ภายในมาโดยตลอดเริ่มจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว “เลิกโวยวายจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะเที่ยวโทษผู้อื่นทรงมองพระองค์เองด้วยเถอะว่าสามารถต้านทานอำนาจของอิ๋งหยางได้หรือไม่ ขนาดยังไม่ได้ทำอะไรยังแสดงออกชัดเจนว่าเกรงกลัวมากขนาดไหน แต่จะว่าไปกระหม่อมเองก็คาดการณ์ผิดเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าอิ๋งหยางจะน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้!” องค์ชายสามต่อว่ากลับไปอย่างไม่ลดละเล่นเอาพระเชษฐาพิโรธมากยิ่งขึ้นไปอีก “เจ้าสาม! นี่กล้าเอ่ยถ้อยเจรจากับข้าเช่นนี้เลยเชียวรึ!” รับสั่งตวาดพระอนุชา ทันใดนั้นเอง หึหึหึหึหึ!!! เสียงหัวเราะในลำคอจากบริเวณหน้าประตูตำหนักดังแทรกขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดกัน! กล้าดียังไงมายืนหัวเราะเช่นนี้! ออกมา!” ฉินรุ่ยกงตวาดถามกลับไปสุรเสียงกระหึ่มพร้อมทอดพระเนตรตรงไปยังทางเข้าของพระตำหนัก ปัง! บานประตูพระตำหนักถูกผลักออกจนเปิดกว้างเผยให้เห็นว่าผู้ใดมาเยือนถึงในพระตำหนักส่วนพระองค์ “พวกเจ้ากำลังเอ่ยถึงข้าอยู่มิใช่รึน้องรัก!” สุรเสียงรับสั่งถามเต็มไปด้วยความยียวน พร้อมเสด็จก้าวเข้าไปในพระตำหนัก พระหัตถ์ไพล่เอาไว้ด้านหลังพลางทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณ ในขณะที่พระอนุชาทั้งสองถึงกับเบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาทันที ครั้นผู้ที่มาเยือนถึงในตำหนักที่ประทับกลับกลายเป็นพระเชษฐาที่ทรงกล่าวถึงเมื่อครู่ที่ผ่านมา ทั้งสองพระองค์รีบลุกขึ้นยืนจากตั่งเมื่อพระเชษฐาเริ่มพระดำเนินเข้ามาใกล้ ท่วงท่าที่ทรงแสดงออกในเวลานี้ราวกับว่ากำลังสำรวจตรวจตราอย่างละเอียด “นี่น่ะเหรอตำหนักจินไท่ของเจ้าผู้ครองแคว้น งดงามยิ่งใหญ่สมคำเล่าลือจริงๆ แต่ทว่า...” รับสั่งเพียงเท่านั้นพระพักตร์ที่ครอบด้วยหน้ากากสีเงินหันกลับไปทอดพระเนตรพระอนุชาตรงพระพักตร์เขม็ง “ทรงทอดพระเนตรเช่นนี้หมายความเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ” ฉินรุ่ยกงรับสั่งถามกลับไปทันที พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรอนุชาตรงพระพักตร์ตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาทก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรอีกครา “หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะรึ!... ก็หมายความว่าเจ้า!... ไม่คู่ควรที่จะได้ครอบครองตำหนักนี้!” รับสั่งตอบกลับไปชัดถ้อยชัดคำ ศึกระหว่างพระองค์กับพระอนุชาได้เริ่มขึ้นแล้วและครานี้ทรงเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ระวัง ท่ามกลางพระอาการตกตะลึงของอนุชาทั้งสองพระองค์ครั้นได้ยินพระเชษฐามีรับสั่งเช่นนั้นออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงพระสรวลเต็มไปด้วยความขบขันขององค์ชายสาม “พี่ใหญ่ทรงเลอะเลือนไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าตอนนี้พี่รองเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นนี้... หาใช่!” ยังมิทันที่องค์ชายสามจะมีรับสั่งจนจบถ้อยประโยค ฉาด!!! หลังพระหัตถ์ของพระเชษฐาปีศาจกระหน่ำลงบนพระพักตร์ของพระอนุชาอิ๋งเฟิ่งจนถึงกับผงะถอยหลังไปทันทีไปอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าเข้ามาสอด! อย่าได้ริอ่านแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าข้าขึ้นมาอีก หากมีครั้งต่อไปอย่าหวังว่าจะมีลมหายใจได้อีก เจ้าจะต้องตายต่อหน้าข้าทันทีที่ถอดหน้ากาก!” รับสั่งสุรเสียงเย็นยะเยียบ องค์ชายอิ๋งเฟิ่งได้แต่ยกพระหัตถ์กุมพระโอษฐ์ของพระองค์เอาไว้ นี่เพียงแค่หลังพระหัตถ์ของพระเชษฐายังไม่ได้โดนเต็มๆ ส่งผลให้พระโลหิตกบพระโอษฐ์เลยทีเดียว ก่อนจะคายบางอย่างออกมาทันทีเมื่อทรงรู้สึกว่ามีสิ่งเล็ดลอดกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ภายในพระโอษฐ์ ถุย!!! พระทนต์ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์พร้อมพระโลหิต และนั่นทำให้องค์ชายสามพระเนตรลุกวาวขึ้นมาทันใด “ฟันของข้าหักแล้ว!” รับสั่งโวยวายออกมาทันที แต่แล้วต้องหยุดชะงักสงบปากสงบคำเมื่อพระเชษฐาปีศาจทอดพระเนตรมาทางพระองค์เขม็ง รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หล่อเหลาและงดงามราวอิสตรี ภายใต้หน้ากากสีเงินปิดบังครั้นทอดพระเนตรผลงานของพระองค์ “นั่นเพียงแค่การเตือน อย่าให้ต้องลงมือรุนแรงมากไปกว่านี้ อาการทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าเช่นนี้ช่างผิดไปจากนิสัยทะเยอทะยานและมักลอบกัดข้างหลังผู้อื่นอยู่เสมอ ช่างร้ายกาจเสียจริงนะอิ๋งเฟิ่ง” องค์ชายสามถึงกับยืนนิ่งงันไปเลยทีเดียวครั้นทรงได้ยินพระเชษฐามีรับสั่งเช่นนั้นราวกับว่าล่วงรู้ความเป็นไปและเรื่องราวของพระองค์จนหมดสิ้น พร้อมตัดสินพระทัยหันพระวรกายกลับเสด็จออกจากตำหนัก “หยุดอยู่ตรงนั้นเจ้าสาม! หากข้าไม่อนุญาตผู้ใดก็ออกไปจากตำหนักนี้ไม่ได้! หันกลับมา!” พระเชษฐาปีศาจรับสั่งสุรเสียงกระหึ่ม องค์ชายอิ๋งเฟิ่งจำต้องค่อยๆ หันพระวรกายกลับมาตามรับสั่ง พลางหันกลับไปทอดพระเนตรพระเชษฐารองเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์ แต่ดูเหมือนหามีผู้ใดที่จะสามารถเข้ามาช่วยในขณะนี้ได้แม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงพระสรวลของพระเชษฐาปีศาจ “ดูเจ้าทั้งสองทำหน้าเข้า มิดีใจหรือไรที่เห็นข้ายี่สิบปีแล้วที่เชษฐาของเจ้าผู้นี้มิได้พานพบอนุชาที่มีสายเลือดพระบิดาเดียวกัน แทนที่เห็นข้าแล้วจะดีใจกลับตื่นตระหนกราวปีศาจปรากฏตัวก็มิปาน” รับสั่งถามพระอนุชาทั้งสองกลับไป ในขณะที่คนฟังเมื่อได้ยินเช่นนั้นมีหรือที่จะดีพระทัยตรงกันข้ามมันคือฝันร้ายชัดๆ ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของฉินรุ่ยกงรับสั่งถามกลับไป “เจ้าพี่เสด็จมาเมืองหลวงครั้งนี้ทรงหวังสิ่งใดกันแน่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพระองค์เสด็จมาครั้งนี้จะมาเพื่อร่วมพิธีฝังพระศพเสด็จพ่อเท่านั้น” ถ้อยรับสั่งของฉินรุ่ยกงทำให้พระเชษฐาปีศาจพระสรวลอยู่ในพระศอพลางพระดำเนินไปรอบพระวรกายอนุชาทั้งสองพระองค์ ก่อนจะมาหยุดยืนในระยะประชิดพร้อมก้มลงทอดพระเนตรอนุชารอง “ก็อยากมาดูสิ่งที่เป็นของข้าน่ะสิว่ายังคงอยู่ดีหรือไม่” รับสั่งสุรเสียงเน้นหนัก “แต่พระองค์ไม่มีสิทธิ์!” ฉินรุ่ยกงรับสั่งสวนกลับไป “ข้ามีสิทธิ์!” รับสั่งตวาดกลับไปทันที พระเนตรสีนิลกาฬจ้องพระพักตร์อนุชารองอย่างน่าสะพรึงกลัว ในขณะที่ผู้เป็นอนุชามีหรือจะยอมง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพระองค์ก็จะต้องเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นนี้ต่อไป “สิทธิ์อะไรพ่ะย่ะค่ะเจ้าพี่ พระองค์ลืมไปแล้วหรือไรว่าถูกห้ามขึ้นครองแคว้น ทรงลืมคำทำนายไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉินรุ่ยกงตอบโต้ไปอย่างไม่ลดละ ทันใดนั้นเอง เสียงพระสรวลของพระเชษฐาแผดกึกก้องดังไปทั่วพระตำหนักขึ้นมาทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “แค่คำทำนายของพวกโหรหลวงแก่ๆ ก็จะมาขวางทางข้าอย่างนั้นรึ! ช่างโง่เง่าสิ้นดี! นี่มันไม่ใช่ยุคของเสด็จพ่ออีกต่อไปแล้ว! เพราะฉะนั้นคำทำนายบ้าบออะไรนั่น อย่าหวังว่าจะทำให้จิตสำนึกดีๆ ที่ข้าต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่ไม่ได้เป็นคนก่อขึ้นอีกต่อไป!” พระเชษฐาปีศาจรับสั่งอย่างเกรี้ยวกราด และถ้อยรับสั่งของพระเชษฐาทำให้สองพระอนุชาต่างหันกลับมามองพระพักตร์ทันที “นี่เจ้าพี่จะก่อกบฏอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!” รับสั่งออกมาพร้อมกัน “หุบปาก!” พระเชษฐาปีศาจตวาดกลับสุรเสียงดังกระหึ่ม เล่นเอาองค์ชายสามซึ่งยืนอยู่ด้วยในขณะนั้นเกิดอาการขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมาทันที นิ้วพระหัตถ์เอื้อมไปดึงชายเสื้อฉลองพระองค์พระเชษฐารองพร้อมกระซิบเบาๆ “อย่าทรงมีรับสั่งต่อไปอีกเลยเจ้าพี่ เดี๋ยวก็พากันตายหมดหรอก เกิดอยากฆ่าขึ้นมาถอดหน้ากากออกจบเห่กันพอดีได้ตายอย่างกะทันหันเป็นแน่แท้” “กลัวข้าจะถอดหน้ากากออกเพื่อฆ่าพวกเจ้าอย่างนั้นล่ะสิ!” พระเชษฐาปีศาจรับสั่งแทรกขึ้นมาทันที “เฮ้ย! หูทิพย์หรือไงได้ยินด้วย” องค์ชายสามรับสั่งบ่นพึมพำ “เชอะ! ข้าไม่ใช่วิธีขลาดเขลาเช่นนั้นกับพวกเจ้าหรอก เพราะข้าไม่เหมือนเจ้าสองคนที่ทำทุกอย่างเพื่อฆ่าข้าให้ตายไปจากผืนแผ่นดินนี้!” รับสั่งออกไปด้วยล่วงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี ถ้อยรับสั่งของพระเชษฐาปีศาจเล่นเอาพระอนุชาทั้งสองไปไม่เป็นเลยทีเดียวครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยหลังด้วยกันทั้งคู่เมื่อพระเชษฐา ย่างสามขุมเข้ามาหาพร้อมรับสั่งสำทับตามติดมา “แต่ข้ามาวันนี้ไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่องพวกเจ้า แค่มาหาที่นอนสำหรับพักชั่วคราวเล่นๆ สักระยะ ตำหนักนี้เข้าท่าดี! ตกลงข้าจะพักที่ตำหนักไท่จินนี้แหละ” สิ้นพระสุรเสียงพระอนุชาอิ๋งเหว่ยรับสั่งออกมาโดยพลัน “ทรงทำแบบนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักไท่จินเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้นจึงจะประทับได้... แต่..” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็ต้องทรงเงียบงันเมื่อสายพระเนตรของพระเชษฐาที่ทรงหันกลับมานั้นเล่นเอาพระองค์เสียวสันหลังขึ้นมาโดยพลัน ฮึ่ม!!! สุรเสียงคำรามลั่นอยู่ในพระศอ “ข้ามีสิทธิ์ที่จะพักที่นี่! จำเอาไว้! เด็กๆ !!!” รับสั่งพร้อมพระดำเนินตรงไปโต๊ะน้ำชา องค์ชายอิ๋งหยางทรุดพระวรกายลงนั่งบนตั่งที่ประทับ พลางรินน้ำชาใส่ถ้วยพร้อมเอนพระวรกายพิงที่วางแขนซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ยกชาขึ้นจิบอย่างสบายพระอารมณ์ ท่ามกลางสายพระเนตรของสองอนุชาทอดพระเนตรพระเชษฐาชนิดที่ว่าอยากจะฉีกออกมาเป็นชิ้นๆ เลยทีเดียว เพียงครู่รองแม่ทัพซึ่งคอยถวายงานอย่างใกล้ชิด รีบรุดเข้ามาภายในพระตำหนักทันทีที่ได้ยินพระสุรเสียง “กระหม่อมมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” รองแม่ทัพรีบรายงานตัวทันใด องค์ชายอิ๋งหยางปรายสายพระเนตรไปยังพระอนุชาทั้งสองก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดอย่างสะพระทัยเมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ทรงสัมผัสได้เป็นอย่างดีว่า หากทรงล้มแล้วละก็ดาบนับหมื่นเล่มต้องแทงพระองค์ไม่ยั้งเป็นแน่ ด้วยสายพระเนตรของพระอนุชาช่างฟ้องชัดเจนเสียนี่กระไร “นำสัมภาระของข้ามาที่ตำหนักไท่จินให้หมด ข้าเปลี่ยนใจไม่กลับแล้วจะอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะ หาความสำราญที่ขาดหายไปและรำลึกความหลังเมื่อครั้งเยาว์วัยเสียหน่อย” รับสั่งของพระบัญชาทำให้ฉินรุ่ยกงหมดความอดทนที่จะสงบปากสงบคำอีกต่อไปแล้ว “เจ้าพี่ทำเช่นนี้ทรงหมิ่นเกียรติการเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นของข้า หากพระองค์ย้ายเข้ามาประทับอยู่ที่ตำหนักไท่จินแล้วข้าจะไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ “นั่นมันเรื่องของเจ้าไม่ใช่เรื่องของข้า... อยากจะอยู่ตำหนักใดตามสบายแต่ไม่ใช่ที่นี่” รับสั่งโดยไม่สนพระทัยพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายพระอารมณ์ต่อไป “เจ้าพี่ทรงทำเช่นนี้เกินไปแล้ว!!! ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าจะประทับอยู่ที่ตำหนักนี้ได้เยี่ยงไร! ทหาร!” ฉินรุ่ยกงรับสั่งหาทหารองครักษ์ กา... กา... กา... เงียบงันไร้สิ้นทหารองครักษ์รักษาวัง มีเพียงเสียงอีกาส่งเสียงอยู่ท้ายวังก่อนจะบินผ่านเลยไป “แหม! อีการ้องขับเสียงประสานได้สบจังหวะนักเชียว ไหนละองครักษ์ของเจ้าไม่มีโผล่มาเลยสักคน” รับสั่งพร้อมทรงส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กัน “รองแม่ทัพ” รับสั่งหารองแม่ทัพที่ยังคงยืนอยู่ยังมิทันออกไปทำตามรับสั่งของพระองค์ “เจ้าบอกอนุชาของข้าทั้งสองให้ล่วงรู้หน่อยสิว่า ตอนนี้กองทหารทั้งหมดที่รักษาวังเป็นอย่างไร” รับสั่งโยนไม้ให้รองแม่ทัพรับช่วงต่อ “พ่ะย่ะค่ะ!” รองแม่ทัพขานรับทันใดพร้อมหันกลับไปกราบทูล “กองทหารรักษาวังทั้งหมดในเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นในมีความหย่อนยาน ไม่เคร่งครัดในระเบียบและการเดินตรวจตราต้องอาศัยกองทหารที่มีวินัย จึงมีคำสั่งให้โยกย้ายทหารในกองทัพจากเมืองฮั่นจงที่ติดตามเสด็จมาหนึ่งพันนายเข้าประจำการเพื่อรักษาวัง ส่วนทหารชุดเดิมถูกเกณฑ์ให้ไปฝึกฝนใหม่ที่เมืองฮั่นจงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูลของรองแม่ทัพ “อะไรนะ!” พระอนุชาทั้งสองรับสั่งออกมาพร้อมกันทันที ฉินรุ่ยกงพระพักตร์สั่นระริกด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด ทรงหันกลับไปทอดพระเนตรพระเชษฐาเขม็ง เหตุการณ์ที่ทรงกลัวมาโดยตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่เหยียบเมืองหลวงสถานการณ์กลับพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง “เจ้ามันคือปีศาจชัดๆ อิ๋งหยาง!” รับสั่งเต็มไปด้วยแรงเคียดแค้น พร้อมหันพระวรกายกลับเสด็จออกนอกพระตำหนักทันที ท่ามกลางสุรเสียงขององค์ชายสามรับสั่งดังไล่หลัง “เจ้าพี่รอด้วย! อย่าทิ้งกันไปแบบนี้!” องค์ชายอิ๋งเฟิ่งรีบเสด็จตามหลังพระเชษฐารองไปติดๆ ท่ามกลางสายพระเนตรของพระเชษฐาปีศาจทอดพระเนตรตามหลังด้วยสายพระเนตรเต็มไปด้วยความอำมหิตยิ่งนัก “พระองค์ทรงทำเช่นนี้ช่างล่อแหลมยิ่งนัก ใยมิห่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ประกาศเปิดศึกดุดันอย่างชัดเจน ทั่วราชสำนักต้องปั่นป่วนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพกราบทูลกลับไปด้วยความเป็นห่วง “นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ แผนที่ข้าวางเอาไว้เพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายขั้นที่อิ๋งเหว่ยและอิ๋งเฟิ่งจะต้องได้รับจากข้า ในเมื่อทั้งสองไม่เคยคิดว่าข้าเป็นพระเชษฐาร่วมสายเลือดพระบิดาเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นที่ข้าจะเห็นแก่สายเลือดอีกต่อไป แม้ว่าจุดจบจะลงเอยด้วยความตายของข้าและอนุชาทั้งสองแคว้นฉินก็ยังจะมีเจ้าผู้ครองแคว้นสืบต่อ” “พระองค์ไม่อาลัยแก่ชีวิตกระนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงมีถ้อยรับสั่งเช่นนั้น เจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่นี้หามีผู้ใดจะคู่ควรและเหมาะสมเฉกเช่นองค์ชายแล้ว ไม่มีแม้แต่ผู้เดียว” รองแม่ทัพกราบทูลทักท้วง “ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าคนสุดท้ายที่เหลืออยู่คือผู้ใด จริงสิ... แผนขั้นต่อไปเตรียมพร้อมไปถึงไหนแล้ว” รับสั่งเปลี่ยนเรื่องเฉไฉไปทางอื่น พร้อมถามกลับไปโดยพลัน “เตรียมการเอาไว้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่เหลือก็รอให้ถึงวันพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเท่านั้น แต่ขอกระหม่อมละลาบละล้วงทูลถามได้หรือไม่ เหตุใดจึงต้องทรงใช้พระชนม์ชีพนำเข้ามาเสี่ยงกับแผนการเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพกราบทูลถามด้วยความเป็นห่วง “เพราะเหตุใดอย่างนั้นรึ!” รับสั่งพร้อมยกถ้วยชาหมุนไปมาจนรอบ “ก็เพราะต้องการให้อนุชาของข้าได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองมีความสามารถขึ้นปกครองแคว้นนี้ได้หรือไม่ อำนาจที่อยู่ในกำมือได้มาด้วยตนเองหรืออาศัยจมูกของผู้อื่นเพื่อปูทางให้ตนไปสู่บัลลังก์ และก็...” รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็ทรงหยุดลงครั้นหวนคิดถึงแผนที่เปรียบเสมือนวางกับดักให้แก่พระองค์เอง “ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพอดรนทนไม่ได้ที่จู่ๆ ก็ทรงเงียบงันลงไปเช่นนั้น พระพักตร์ภายใต้หน้ากากสีเงินเงยขึ้นทอดพระเนตรรองแม่ทัพคนสนิท “แผนนี้จะทำให้ข้ากลับมาอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น หวนคืนบัลลังก์ของข้าอย่างยิ่งใหญ่และคำว่าตัวหายนะจะหลุดพ้นไปจากชีวิตของข้าเสียที!” สิ้นถ้อยรับสั่ง เพล้ง!!! ถ้วยชาที่อยู่ในพระหัตถ์ถูกบีบจนแตกละเอียด ท่ามกลางสายตาของรองแม่ทัพที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ “หากทรงตั้งพระทัยเช่นนั้น กระหม่อมก็คงทำได้แต่เพียงขอให้พระองค์ทรงปลอดภัยจากแผนที่วางเอาไว้ รอคอยวันที่ทรงหวนคืนราชบัลลังก์ตามสิทธิ์อันชอบธรรมตั้งแต่แรกประสูติพ่ะย่ะค่ะ” รองแม่ทัพกราบทูลกลับไป พระพักตร์ภายใต้หน้ากากสีเงินพยักขึ้นลงครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “มิต้องกังวล ยิ่งแผนพลิกผัน ยิ่งส่งผลดีต่อข้านับเท่าทวีคูณ” รับสั่งบ่งบอกถึงความสะพระทัยยิ่งนัก ยิ่งชะตากรรมเลวร้ายเกิดขึ้นกับพระองค์มากเท่าใดกลับยิ่งหฤหรรษ์มากล้น ความเจ็บปวดที่ทรงจะได้รับกลับยิ่งดีโดยมิล่วงรู้เลยว่าทรงพิสมัยความรุนแรงอย่างยิ่งยวด “ลืมไปแล้วหรือไร ว่าตราบใดยังไม่มีพิธีกรีดเลือดถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีกับเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ใหม่ ซึ่งพิธีในวันนั้นเชื้อพระวงศ์ตามลำดับของผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ตลอดจนถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่จะต้องกรีดเลือดรวมในถ้วยเดียวกันและดื่มเพื่อถวายสัตย์สัญญาว่าได้ยอมรับเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ใหม่อย่างมิต้องสงสัย หากในวันนั้นข้ามิได้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วยสาเหตุเพราะถูกหมายเอาชีวิตจากอนุชาข้าทั้งสอง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย คิดหรือว่าอิ๋งเหว่ยจะผ่านพิธีนั้นได้” พระเชษฐาปีศาจรับสั่งพร้อมแสยะยิ้มเหยียดกับแผนการที่ใช้พระองค์เป็นเหยื่อล่อเพื่อให้อีกฝ่ายติดกับดัก และนั่นทำให้รองแม่ทัพเบิกดวงตากว้างขึ้นมาทันที ด้วยหลงลืมพิธีการสำคัญนี้ไปอย่างไม่น่าให้อภัย “จริงด้วยพ่ะย่ะค่ะ! เหตุใดกระหม่อมจึงหลงลืมพิธีการสำคัญนี้ไปได้...” รองแม่ทัพบ่นพึมพำให้กับตัวเอง “เมื่อเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าพิธีสถาปนาเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ใหม่ก็ยังไม่สมบูรณ์ อิ๋งเหว่ยจะไม่สามารถขึ้นปกครองแคว้นได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีนี้ เพราะฉะนั้นอำนาจจะตกอยู่ที่ข้าในฐานะผู้บัญชาการกองทัพทั้งหมดของแคว้นฉิน แต่เมื่อข้าไร้ร่องรอย อัครเสนาบดีจางฟงจะไม่ยอมกำหนดพิธีสำคัญนี้ขึ้นมาอีกจนกว่าจะพบข้า” “ที่แท้เป็นเช่นนี้เองกระหม่อมเข้าใจแล้ว ทรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” แกร่ก!!! องค์ชายหนุ่มปล่อยเศษถ้วยชาที่ทรงกำจนแตกละเอียดลงบนพื้นโต๊ะ พระเนตรจับจ้องอยู่ที่พระหัตถ์ก่อนจะกำเข้าหาจนแน่น “ต่อไปข้าก็แค่เตรียมตัวโดนอิ๋งเหว่ยและอิ๋งเฟิ่งไล่ล่าหมายเอาชีวิต คิดแล้วคงจะครึกครื้นเสียนี่กระไร” รับสั่งพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลเบาๆ อยู่ในพระศอ พระเนตรสีนิลกาฬจับจ้องอยู่ที่พระหัตถ์ตลอดเวลาเมื่อทรงทอดพระ เนตรรอยแผลจากเข็มเจาะเพื่อให้น้ำเกลือและตัวยามากมายยังคงปรากฏอยู่หลังพระหัตถ์จางๆ3 เดือนผ่านไป ณ บ้านหลังน้อยริมลำธาร “อันอันเอ๊ย!!!” เสียงเรียกของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอนของหลานสาวคนสวย “เสร็จแล้วท่านยาย!” เสียงหวานตอบกลับมาพร้อมประตูห้องนอนเปิดออกกว้าง จางเพ่ยอัน ยืนส่งยิ้มแก้มแทบแตกก่อนจะค่อยๆ หุบลงโดยพลันพลางก้มลงสำรวจตัวเองเมื่อฮูหยินฉางยืนมองเสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมใส่อยู่บนเรือนร่างอยู่ในขณะนี้ ด้วยเพราะเสื้อผ้าสตรีแม้จะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ด้วยรูปโฉมอันงดงามยิ่งของร่างนี้จึงทำให้โดดเด่นเป็นอันตรายต่อตัวนางอย่างยิ่งยวด ยามอยู่บ้านน้อยริมลำธาร แม้หญิงสาวจะสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นธรรมดาแต่ก็ไม่มีผู้ใดมาพบเห็นแต่อย่างใด หากแต่วันนี้เป็นวันที่เธอจะต้องเดินทางนำสมุนไพรที่หายากและของป่านำไปส่งที่ร้านยาและโรงหมอในเขตเมืองหลวงซึ่งเป็นลูกค้าประจำ ภายในหนึ่งเดือนจะเข้าเมืองหลวงเพียงหนึ่งครั้งเพื่อนำสมุนไพรที่หายากไปส่ง ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาสองสามีภรรยาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกัน แต่คราวนี้หยงอู่เกิดหกล้มก้นกบกระแทกพื้นทำให้เดินไม่ได้ หากจะทิ้งเอาไว้ที่บ้านเพียงผู้เดียวฮูหย
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต