ณ บ้านน้อยริมลำธาร
“คุณยายเอาอีก!” เสียงหวานส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขอข้าวจากฮูหยินฉางที่กำลังตักข้าวให้หญิงสาวจนพูนชาม จางเพ่ยอันรีบเอื้อมมือรับชามข้าวด้วยความดีใจ พลางใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่คีบข้าวเข้าปากด้วยความหิว เนื้อปลาย่างจนสุกหอมน่ากินและน้ำแกงปลา เพื่อบำรุงกำลังทำให้หญิงสาวเจริญอาหารอย่างยิ่งยวด “คุณยายทำกับข้าวอร่อยจังเลยค่ะ อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆ นะ” เธอพูดชมไม่ขาดปากพร้อมพุ้ยข้าวไปด้วย สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เมื่อฟังคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันเริ่มจะรู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือไร ใยผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น “เอ่อ... หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมตากับยายถึงนั่งมองหน้าแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปพร้อมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากพลางยกน้ำแกงซดตามไปด้วย ก่อนจะได้ยินหยงอู่เอ่ยขึ้น “แม่หนู... เจ้าเป็นคนแคว้นใดรึ เป็นชาวเมืองฉินหรือเปล่า เหตุใดถ้อยเจรจราของเจ้าจึงแลดูแปลกชอบกลนัก ข้าและฮูหยินพยายามตั้งใจฟังเจ้าพูดอยู่เป็นนานแต่ก็หาเข้าใจถ้อยคำของเจ้าแต่อย่างใด” ครั้นหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นตะเกียบที่กำลังคีบเนื้อปลาเข้าปากหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบนำเข้าปากดั่งเดิมพร้อมวางตะเกียบลงบนถ้วยข้าว เมื่อล่วงรู้ว่าคำกล่าวของเธอในยุคที่จากมาผู้คนยุคนี้หาได้เข้าใจกับสิ่งที่เธอพูดไม่ “ภาษาพูดในยุคประวัติศาสตร์ก็ไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบันเสียเท่าไร อาจจะมีบางคำที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพียงแต่สำเนียงนี่สิ จะแยกออกทันทีว่าเป็นชาวเมืองแคว้นใด อดีตชาติของเราคือชาวแคว้นฉินมิใช่เหรอ แล้วพูดแบบไหนกันหว่า” หญิงสาวนั่งมองถ้วยข้าวตรงหน้าเขม็ง ด้วยกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ภายในใจท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยา “เออ... เจ้าเป็นอะไรไปแม่หนู ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบก็ไม่เป็นไรนะ สบายใจเมื่อไรค่อยเล่าสู่กันฟังก็ได้” ฮูหยินฉางเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา ดวงตากลมโตมองสองสามีภรรยาที่ช่วยชีวิตเธอพร้อมส่งยิ้มหวานกลับไปให้ “ช่างเถอะ! ช่างเถอะ! มัวคิดเรื่องวิชาการในยุคนี้ได้ยังไงช่างไม่เข้าท่า จะพูดแบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น แค่พูดให้สอดคล้องกับยุคสมัยของที่นี่้ก็พอ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมเอ่ยขึ้น “เออ... หนู... เอ้ย! ท่านตาท่านยายอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไปนะ พอดีว่าข้าจดจำอะไรไม่ได้มากเสียเท่าไร ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยพูดอะไรแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะจำได้บ้างแล้ว อย่างไรเสียที่ผ่านมาก็ขอได้โปรดอภัยให้แก่ข้าด้วยเถิด” หญิงสาวพูดพลางส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้กับสองตายาย ในขณะที่สองสามีภรรยาพากันนั่งมองหญิงสาวด้วยความเอ็นดูพร้อมเอ่ยถามกลับไป “ถ้าเช่นนั้นจดจำชื่อของเจ้าได้หรือไม่ มีชื่อเรียงเสียงใดรึ” ฮูหยินฉางเอ่ยถามกลับไป ครั้นหญิงสาวถูกถามชื่อแซ่กลับมาตรงๆ เช่นนั้น เธอมิรอช้ารีบตอบกลับไปทันทีโดยไม่ต้องคิด “อือ... ข้าจำได้แล้วท่านยาย ข้าชื่อเพ่ยอัน เรียกข้าว่าอันอันก็ได้” หญิงสาวตอบเป็นชื่อของเธอออกไปทันที “อ่อ... ชื่อนี้สมรูปโฉมของเจ้าเสียจริง รูปก็งามนามก็เพราะ" ฮูหยินฉางกล่าวออกมาพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ "แล้วมาจากสกุลใดรึ” ผู้สูงวัยไม่วายถามกลับไปด้วยความอยากรู้ จางเพ่ยอันซึ่งกำลังซดน้ำแกงอยู่ในขณะนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมา “ถ้าบอกว่าเราแซ่จาง คนทั่วไปก็จะรู้ทันทีว่ามาจากสกุลจาง ไม่เป็นผลดีกับตัวเองให้ตายสินะ ดีไม่ดีพวกคนที่ฆ่าเจี๋ยเจี๋ยจะตามแกะรอยมาถึงตัวเราได้ด้วย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจพลางวางน้ำแกงลงบนโต๊ะอาหารเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแล้วพร้อมเอ่ยตอบกลบไป “ข้าจำไม่ได้เลยท่านตาท่านยายว่ามาจากสกุลไหน พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหนด้วย จากนี้ไปจะทำอย่างไรข้าก็ยังไม่รู้เลย ท่านตาท่านยายคงจะไล่ข้าไปแล้วใช่ไหมถึงได้ถามแบบนี้ อีกอย่างข้าก็กินจุด้วยแค่วันนี้ก็ทำให้ท่านยายหุงข้าวมากกว่าทุกวันแล้ว” หญิงสาวหยั่งเชิงเอ่ยถามกลับไป ด้วยตลอดวันที่ผ่านมาเธอพบว่าสถานที่แห่งนี้สามารถซ่อนเร้นกายได้อย่างมิดชิด เหมาะที่จะเตรียมพร้อมเพื่อเตรียมแผนให้รัดกุมหากจะติดต่อกลับไปที่จวนสกุลจาง ซึ่งพ่อและแม่ในชาตินี้ของเธอรอคอยการกลับมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่สองสามีภรรยาครั้นได้ยินหญิงสาวถามกลับมาเช่นนั้น ทั้งคู่ต่างพากันส่ายหน้าไปมาติดๆ กันด้วยความเอ็นดูไม่คิดว่าเด็กสาวรูปโฉมสวยงามจะคิดว่าทั้งสองจะไล่นางไปอยู่ที่อื่น พร้อมเสียงของหยงอู่เอ่ยขึ้น “พูดอะไรออกมาแบบนั้นเด็กโง่! ตรงกันข้ามข้าและฮูหยินดีใจเสียมากกว่าที่บ้านหลังนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น อยู่กันตามลำพังสองคนตายายมานานมากแล้ว มีเจ้ามาอยู่ด้วยจะเป็นไรไป อยากอยู่นานแค่ไหนตามใจเถิด หรือจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็จะดีมากเลย” หยงอู่ตอบกลับมาท่ามกลางความดีใจของหญิงสาว ร่างระหงรีบลุกจากตั่งที่เธอนั่งมาคุกเข่าลงบนเสื่อพร้อมก้มศีรษะโค้งคำนับสองสามีภรรยาทันที “ถ้าเช่นนั้นเพ่ยอันขอฝากชีวิตกับท่านตาและท่านยาย ขอเป็นหลานสาวคอยดูแลและอยู่กับท่านทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ” หญิงสาวรู้จักใช้ถ้อยเจรจาย้อนยุคดั่งเช่นคนในยุคอดีตได้อย่างคล่องแคล่ว มือน้อยเรียวสวยรีบรินน้ำชาลงถ้วยสองใบพร้อมยื่นส่งให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองเพื่อเป็นการคาราวะและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว สองสามีภรรยาพยักหน้าขึ้นลงด้วยความดีใจพลางเอื้อมมือรับถ้วยน้ำชายกขึ้นจิบเป็นการยอมรับหญิงสาวเข้ามาเป็นหลานสาวของคนทั้งคู่ “จากนี้ไปเจ้าก็เป็นคนสกุลหยงแล้วนะ ชื่อของเจ้ารวมกับแซ่ของข้าก็จะเรียกขานว่าหยงเพ่ยอัน ช่างดีเสียจริง ในที่สุดข้าก็จะได้มีผู้สืบทอดตำราแพทย์ที่มิมีใครสานต่อนี้ได้แล้ว” หยงอู่เอ่ยออกมา จางเพ่ยอันนั่งอึ้งไปเลยทีเดียวด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “โอ้โฮ! ท่านตาเป็นหมออย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปทันที ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับ “เดิมทีข้าเป็นชาวแคว้นจงซาน มีวิชาแพทย์ติดตัวของบรรพบุรุษและมีโรงหมอเปิดรับรักษาคนป่วยในแคว้นนั้น พอแคว้นถูกทำลายลงก็เลยหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่แคว้นฉินจนได้พบกับฮูหยินของข้า วิชาแพทย์ที่อยู่ติดกายจะนำมาใช้เมื่อพานพบคนรู้จักหรือได้ช่วยเหลือระหว่างทาง ซึ่งวิชาแพทย์ของข้าจะไม่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ใดหากไม่ใช่สายเลือดของสกุล” ใบหน้าแสนสวยพยักขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น “แล้วข้าเป็นเพียงแค่หลานสาวบุญธรรมมิได้มีสายเลือดจากสกุลหยงโดยตรงเช่นนี้แล้วท่านตาสามารถถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้แก่ข้าได้ด้วยเหรอ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “ทำไมจะไม่ได้เล่าในเมื่อข้ายอมรับเจ้าเข้าตระกูลหยงในฐานะหลานสาวของข้า เช่นนี้แล้วมิได้ผิดเจตนาในการสืบทอดวิชาแพทย์ซึ่งเป็นตำราหมอเทวดาจากแคว้นจงซานแต่อย่างใด สืบทอดต่อๆ กันมาจากหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในราชวงศ์เซี่ยเลยทีเดียว” หยงอู่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “หยงเซี๊ยะอย่างนั้นเหรอ ชื่อนี้ทำไมคุ้นจังเลย” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ในใจเมื่อรู้สึกว่าจะอ่านพบในประวัติศาสตร์ ก่อนจะเบิกตากว้างครั้นเธอจดจำได้ “หยงเซี๊ยะ หมอเทวดาในสมัยราชวงศ์เซี่ยโบราณ ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าสามารถรักษาคนเจ็บหายทุกราย จนไปถึงทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ เล่าลือกันว่ายังสามารถล่วงรู้อนาคตได้อีกด้วย โอ้โฮ! สุดยอดเป็นบ้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉัน... จางเพ่ยอันจะได้มาพบกับลูกหลานของหมอเทวดาหยงเซี๊ยะในเวลานี้” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ ก่อนจะคลานเข่าเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าหยงอู่ “ท่านตา! หากท่านเชื่อว่าข้าสามารถเรียนรู้ตำราแพทย์ของสกุลหยงได้ ข้ายินดีที่จะเรียนรู้วิชาแพทย์ทั้งหมดของท่านเพื่อสืบทอดการเป็นหมอเทวดาของบรรพบุรุษต่อไป” หญิงสาวกล่าวพร้อมก้มศีรษะคำนับชายชราติดต่อกันสามครั้ง ท่ามกลางความพึงพอใจของหยงอู่ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอออกมาทันที “ท่าทางเจ้าจะเป็นหมอที่เต็มไปด้วยความปราดเปรื่องและเจ้าเล่ห์ไม่เบาเชียวนะอันอัน” หยงอู่กระเซ้าหญิงสาวกลับไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสามชีวิตที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด จางเพ่ยอันเปล่งเสียงหัวเราะของเธอออกมาอย่างเต็มที่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาในชาติปัจจุบันที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว ครั้นเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสกุลหยงทำให้เธอมีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที ครอบครัวที่เคยวาดฝันเอาไว้บัดนี้ได้มีโอกาสสัมผัสแล้ว และที่นี่คือบ้านหลังแรกของเธอนับตั้งแต่กลับมาในชาติอดีตอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเสียงหัวเราะและดวงตาเจ้าเล่ห์เปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง เมื่อเธอจะได้เรียนรู้วิชาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์พบว่าวิชาแพทย์ของชาวจีนโบราณเต็มไปด้วยความลี้ลับและมีตำรายาวิเศษมากมายเกิดขึ้นนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีน “ในที่สุด! ฉันก็ได้เรียนวิชาแพทย์โดยไม่ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์แล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่ จางเพ่ยอันชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ท่ามกลางสายตาของสองสามีภรรยาต่างพากันนั่งมองกิริยาแปลกประหลาดของหลานสาวที่เพิ่งรับเข้าสกุล ก่อนจะพากันตกใจไปตามๆ กันเมื่อจู่ๆ คนงามก็ตะโกนคำแปลกประหลาดดังลั่นออกมา “สู้โว้ย!!!”พระตำหนักจินไท่ (ตำหนักที่ประทับฉินรุ่ยกง) “ปัง!” เสียงพระหัตถ์กระทบลงบนโต๊ะตรงพระพักตร์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด “บัดซบสิ้นดี! ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าอิ๋งหยางเจาะจงมาปรากฏตัวในวันนี้ ตั้งใจหักหน้าข้าชัดๆ” สุรเสียงรับสั่งเกรี้ยวกราด พระพักตร์สั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยขึ้นทอดพระเนตรพระอนุชาซึ่งนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับตรงข้ามกับพระองค์ “เป็นไงล่ะ! เจ้าแผนการมากไม่ใช่เหรอ ผลงานออกมาให้เห็นแล้ววันนี้ อิ๋งหยางไม่เป็นอะไรเลย! อาการจวนเจียนใกล้ตายหาปรากฏให้เห็น ตรงกันข้าม ข้า! รวมไปถึงพวกเจ้าทุกคนที่จะพากันตาย!” รับสั่งถามพระอนุชากลับไป ในขณะที่องค์ชายสามทรงครุ่นคิดอย่างหนักว่าเหตุใดแผนลอบสังหารจึงพังไม่เป็นท่าเช่นนี้ ครั้นทรงได้ยินพระเชษฐารับสั่งถามด้วยพระอารมณ์กราดเกรี้ยวกลับมาเช่นนั้น ความอดทนที่เก็บกดเอาไว้ภายในมาโดยตลอดเริ่มจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว “เลิกโวยวายจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะเที่ยวโทษผู้อื่นทรงมองพระองค์เองด้วยเถอะว่าสามารถต้านทานอำนาจของอิ๋งหยางได้หรือไม่ ขนาดยังไม่ได้ทำอ
3 เดือนผ่านไป ณ บ้านหลังน้อยริมลำธาร “อันอันเอ๊ย!!!” เสียงเรียกของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอนของหลานสาวคนสวย “เสร็จแล้วท่านยาย!” เสียงหวานตอบกลับมาพร้อมประตูห้องนอนเปิดออกกว้าง จางเพ่ยอัน ยืนส่งยิ้มแก้มแทบแตกก่อนจะค่อยๆ หุบลงโดยพลันพลางก้มลงสำรวจตัวเองเมื่อฮูหยินฉางยืนมองเสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมใส่อยู่บนเรือนร่างอยู่ในขณะนี้ ด้วยเพราะเสื้อผ้าสตรีแม้จะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ด้วยรูปโฉมอันงดงามยิ่งของร่างนี้จึงทำให้โดดเด่นเป็นอันตรายต่อตัวนางอย่างยิ่งยวด ยามอยู่บ้านน้อยริมลำธาร แม้หญิงสาวจะสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นธรรมดาแต่ก็ไม่มีผู้ใดมาพบเห็นแต่อย่างใด หากแต่วันนี้เป็นวันที่เธอจะต้องเดินทางนำสมุนไพรที่หายากและของป่านำไปส่งที่ร้านยาและโรงหมอในเขตเมืองหลวงซึ่งเป็นลูกค้าประจำ ภายในหนึ่งเดือนจะเข้าเมืองหลวงเพียงหนึ่งครั้งเพื่อนำสมุนไพรที่หายากไปส่ง ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาสองสามีภรรยาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกัน แต่คราวนี้หยงอู่เกิดหกล้มก้นกบกระแทกพื้นทำให้เดินไม่ได้ หากจะทิ้งเอาไว้ที่บ้านเพียงผู้เดียวฮูหย
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต