ในขณะเดียวกัน
เมืองหลวง พระราชพิธีฝังพระศพ ขบวนแห่พระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น กำลังตั้งขบวนเป็นแถวยาวออกจากตำหนักส่วนกลางเพื่อเคลื่อนขบวนไปยังสุสานหลวงของราชวงศ์ บรรดาพระโอรสที่ประสูติจากอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นรวมด้วยกันสิบห้าพระองค์ ทยอยเสด็จมาเข้าร่วมขบวนโดยมีเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบัน ฉินรุ่ยกงพระดำเนินนำหน้าพระอนุชาทั้งหมด หากจะว่ากันไปแล้วฉินรุ่ยกงกับองค์ชายอิ๋งหยางพระเชษฐาทรงพระอ่อนชันษาเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น จึงทำให้กลายเป็นองค์ชายรอง ซึ่งแคว้นฉินได้จัดลำดับเชื้อพระวงศ์เอาไว้อย่างชัดเจน และต่างล่วงรู้กันดีว่าแท้จริงแล้ว เจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์จริงจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง พระเชษฐาองค์โตซึ่งประสูติจากฮองเฮาพระองค์แรก “พิธีฝังพระศพของอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น หากองค์ชายใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ผู้ที่จะต้องถือป้ายวิญญาณและพระดำเนินนำหน้าพระองค์แรกจะต้องเป็นองค์ชายอิ๋งหยาง ตามโบราณราชประเพณีใช่หรือไม่” “ตามโบราณราชประเพณีเป็นเช่นนั้นมิผิดแต่อย่างใด” “แต่พระองค์จวนเจียนสิ้นพระชนม์แล้วถึงอย่างไรก็มิอาจมาร่วมพิธีได้อยู่ดี” “อย่ามาเลย ขืนมาคงวุ่นวายเป็นแน่ ฝ่าบาทจะต้องอยู่ไม่เป็นสุขกว่าผู้ใด ใครๆ ก็ล่วงรู้ดีว่าพระองค์ทรงหวาดระแวงว่าพระเชษฐาจะหวนกลับมาทวงราชบัลลังก์คืน นี่ถ้าองค์ชายใหญ่สิ้นพระชนม์ลงคนที่ดีพระทัยมากกว่าใครก็คือฝ่าบาทนี่แหละ” เสียงบรรดาข้าราชบริพารต่างพากันโจษขานจนเอ็ดอึงได้ยินไปทั่วบริเวณงาน ครั้นเจ้าผู้ครองแคว้นทรงเสด็จออกจากตำหนักที่ประทับเตรียมพร้อมเริ่มเคลื่อนขบวนพระศพไปยังสุสานหลวง หากแต่ตลอดเส้นทางที่ทรงพระดำเนินไปยังขบวนแห่ ถ้อยเจรจาของขุนนางน้อยใหญ่และข้าราชบริพารในราชสำนักเล็ดลอดเข้าสู่พระกรรณทำให้พระองค์ล่วงรู้ว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักมีความคิดเช่นไร พระพักตร์คมคายถมึงทึงแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ด้วยทรงไม่พอพระทัยเมื่อได้ยินการกล่าวถึงพระเชษฐาองค์โตเล็ดลอดมาถึงพระกรรณ ในขณะที่องค์ชายสามอิ๋งเฟิ่งซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ แสยะยิ้มเหยียดด้วยความสะพระทัยเมื่อได้ทอดพระเนตรอาการของพระเชษฐามีปฏิกิริยาออกมาเช่นนั้น “ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทนฟังข้าราชบริพารและขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักเอ่ยถึงอิ๋งหยางได้สักกี่น้ำ หึหึหึหึ” เสียงพระสรวลดังเบาๆ อยู่ในพระศอก่อนจะได้ยินพระเชษฐามีรับสั่งถามกลับมา “มีอะไรน่าขันอย่างนั้นรึอิ๋งเฟิ่ง” ฉินรุ่ยกงรับสั่งถามด้วยพระอารมณ์เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “ฝ่าบาทจะสนพระทัยไปใย กระหม่อมแค่ขบขันความคิดของเหล่าขุนนาง จับความรู้สึกได้ว่าภายในราชสำนักเวลานี้มีเสียงสนับสนุนอิ๋งหยางมากกว่าที่คิดไว้อีกนะพ่ะย่ะค่ะ คงเป็นเพราะผลงานอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น แน่นอนว่าพสกนิกรย่อมที่จะปลอดภัยหากมีเจ้าผู้ครองแคว้นแข็งแกร่งเช่นนั้น แต่กระหม่อมว่ามีตาช่างหามีแววไม่เสียมากกว่า” พระพักตร์ที่ถมึงทึงอยู่ก่อนหน้านี้แล้วพลันบึ้งตึงมากยิ่งขึ้นไปอีกครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ฉินรุ่ยกงมิทรงต้องการได้ยินหรือผู้ใดเอ่ยถึงพระนามพระเชษฐาแม้แต่น้อย หากแม้นไม่ติดว่าวันนี้เป็นพิธีฝังพระศพของพระราชบิดา พระองค์จะต้องมีรับสั่งตวาดเอ็ดอึงเหล่าข้าราชบริพารเป็นแน่แท้ ทันใดนั้นเอง ยังมิทันจะถึงขบวนพระศพ พระเนตรกลับต้องเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลันครั้นทอดพระเนตรบุรุษสูงใหญ่นั่งอยู่บนหลังอาชาสีดำทะมึน ฉลองพระองค์สีขาวเพื่อไว้ทุกข์ของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หากแต่พระพักตร์กลับปิดบังด้วยหน้ากากสีเงินเอาไว้ ท่วงท่าองอาจน่าเกรงขาม ช่างสง่างามทว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งยวด แม้ว่าจะทอดพระเนตรจากจุดที่ทรงประทับอยู่ค่อนข้างไกล แต่พระองค์กลับจดจำลักษณะเด่นดังกล่าวได้อย่างแม่นยำ ทันทีที่ทอดพระเนตรหน้ากากสีเงินสุรเสียงมีรับสั่งขึ้นมาทันที “อิ๋งหยาง!” รับสั่งพระนามที่ทรงชิงชัง แต่ในขณะเดียวกันเกรงกลัวและหวาดระแวงมากที่สุดด้วยทรงสัมผัสกลิ่นอายสังหารของพระเชษฐาช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จดจำพระเชษฐาต่างพระมารดาได้เป็นอย่างดี ด้วยทรงประสูติเดือนเดียวกันแต่ห่างกันเพียงแค่ห้าวันเท่านั้น และทรงเคยทอดพระเนตรพระเชษฐาประทับอยู่อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักที่แยกออกไปไกลจากเขตพระราชฐานชั้นใน พระพักตร์สวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา อีกทั้งพระอนุชาองค์อื่นๆ มิเคยได้พานพบพระเชษฐาองค์โตเลยสักครา บางพระองค์เพิ่งประสูติ บางพระองค์ก็ยังมิทันได้ประสูติ และบางพระองค์เพิ่งจะเยาว์ชันษาดั่งเช่นองค์ชายสาม ซึ่งในขณะที่พระเชษฐาองค์โตถูกส่งไปพำนักอยู่เมืองชายแดน ทรงมีพระชนมายุเพียงแค่สองชันษาเท่านั้น ยังมิอาจจำความได้แม้แต่น้อย ทันทีที่ฉินรุ่ยกงทอดพระเนตรพระเชษฐาปรากฏพระวรกายอยู่ด้าน หน้าขบวนพระศพ พระบาทหยุดชะงักโดยพลันมิยอมก้าวพระดำเนินอีกต่อไป เป็นเหตุให้เหล่าพระอนุชาซึ่งเสด็จพระดำเนินตามหลังมาต่างต้องหยุดตามท่ามกลางความแปลกใจของทุกพระองค์ “ฝ่าบาทหยุดเสด็จทำไมพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดจึงไม่พระดำเนินต่อไป” องค์ชายอิ๋งเฟิ่งรับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัย ในขณะที่พระเชษฐายืนนิ่งไม่ไหวติง พลางทอดพระเนตรจับจ้องอยู่แต่ตรงพระพักตร์ ครั้นองค์ชายสามทอดพระเนตรเช่นนั้นพระองค์หันกลับไปทิศทางดังกล่าวทันใด ก่อนจะทอดพระเนตรหัวหน้ากองทหารรักษาวังวิ่งหน้าตาตื่นตรงมายังจุดที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ชายทั้งหมดทรงยืนอยู่ในขณะนี้ ทันทีที่มาถึงหัวหน้ารักษาวังรีบกราบทูลรายงานทันที “กราบทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่เสด็จมาร่วมพระราชพิธีฝังพระศพพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงกราบทูล “อะไรนะ! เจ้าพี่อิ๋งหยางเสด็จมาอย่างนั้นเหรอ” สุรเสียงองค์ชายสามรับสั่งออกมาโดยพลันครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น ท่ามกลางสุรเสียงเอ็ดอึงของพระอนุชาดังขึ้นตามติดมา “เจ้าพี่อิ๋งหยางเสด็จมาได้อย่างไรกัน ได้ยินข่าวว่าทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกต้าเหลียงจนสิ้นพระชนม์ไปแล้วมิใช่หรอกรึ” “ข่าวว่าจวนเจียนใกล้จะสิ้นพระชนม์น่ะ ฟังมาผิดหรือเปล่า แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ทรงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นจะหายเป็นปกติจนสามารถมาร่วมพระราชพิธีฝังพระศพได้อย่างไรกัน” “ถ้าเช่นนั้นข่าวที่ได้ยินมาก็หาใช่ความจริงน่ะสิ ตรงกันข้ามทรงไม่เป็นอะไรเลยเสียมากกว่า” สุรเสียงเอ็ดอึงของเหล่าอนุชาที่แสดงความคิดเห็นออกมาต่างๆ นานา ทำให้ฉินรุ่ยกงหันกลับไปทอดพระเนตรอนุชาที่จับมือเป็นพันธมิตรกันด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยคำถาม “นี่น่ะหรือผลงานของเจ้า! คุยเสียดิบดีว่าสามารถกำจัดอิ๋งหยางได้แน่นอน นี่ไงล่ะ...กำจัดอีท่าไหนถึงได้มาร่วมมางานฝังพระศพของเสด็จพ่อในวันนี้ได้ เจ้าเองก็ล่วงรู้ดีว่าหากอิ๋งหยางมางานวันนี้อำนาจของข้าจะถูกคนผู้นั้นสั่นคลอนเพียงใด!” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยียบ ในขณะที่พระอนุชาได้แต่ยืนก้มพระพักตร์นิ่ง หากแต่ภายในพระทัยเต็มไปด้วยแรงพิโรธที่ถูกพระเชษฐาต่อว่าพระองค์เช่นนี้ ทว่าพระเชษฐารองยังไม่ร้ายกาจเท่ากับพระเชษฐาองค์โตแม้แต่น้อย สิ่งที่ทรงต้องกังวลอย่างยิ่งยวดคือการปรากฏพระวรกายของพระเชษฐาอิ๋งหยางอยู่ในนี้ “เหตุใดคนผู้นี้ไม่ตายอย่างที่คิดเอาไว้ โผล่หัวมาในงานนี้ได้เยี่ยงไร... บัดซบสิ้นดี!” รับสั่งรำพึงอยู่ภายในพระทัย ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึงที่เริ่มแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง ต่างโจษขานกับการปรากฏพระวรกายขององค์ชายอิ๋งหยาง “หุบปาก!” พระสุรเสียงตวาดดังก้องครั้นทรงได้ยินเสียงเอ็ดอึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ ผู้คนทุกชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้นเงียบงันลงไปโดยพลัน แต่ละคนรีบก้มหน้ามองพื้นโดยมิได้นัดหมายเมื่อพระพักตร์ที่สวมหน้ากากสีเงินหันกลับมาทอดพระเนตร ความรู้สึกของชีวิตที่อยู่ภายในบริเวณนั้นต่างกลัวตายกันทั้งสิ้น หากหน้ากากสีเงินนั้นถูกปลดออกจากพระพักตร์ พระวรกายใหญ่กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พร้อมพระดำเนินย่างสามขุมตรงเข้าไปหาบรรดาพระอนุชาทั้งหลายที่พากันยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดขบวนพระศพเท่าใดนัก และท่าทีดังกล่าวทำให้ฉินรุ่ยกงก้าวพระบาทถอยหลังด้วยความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที “องครักษ์! ขวางเอาไว้อย่าให้เข้ามาหาข้า” รับสั่งเรียกหาองครักษ์จ้าละหวั่น ทันทีที่เจ้าผู้ครองแคว้นมีรับสั่งเช่นนั้น เหล่าทหารองครักษ์เตรียมชักดาบเพื่อถวายอารักขา แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหน้ากากสีเงินหันกลับมาทอดพระเนตร “พวกเจ้ากล้ารึ!” รับสั่งตวาดกลับไปสายพระเนตรเย็นยะเยียบจับจ้องเหล่าทหารองครักษ์เขม็ง เอื๊อก!!! บรรดาทหารองครักษ์ต่างกลืนน้ำลายลงคอไปตามๆ กัน แต่ละคนรีบเก็บอาวุธพร้อมก้าวถอยหลังเข้าไปประจำจุดของตนเองตามเดิม ท่ามกลางความตกพระทัยของฉินรุ่ยกง “พวกหน้าโง่! ข้าเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเหตุใดจึงไม่ทำการอารักขา ใยจึงไม่ฟังคำสั่งของข้า!!!” รับสั่งตวาดกองทหารองครักษ์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด หากแต่ยังมิทันจะมีรับสั่งสิ่งใดสุรเสียงของพระเชษฐาตวาดกร้าวกลับมา “หุบปากซะอิ๋งเหว่ย!” รับสั่งพร้อมพระดำเนินเพียงก้าวเดียวก็มาปรากฏพระวรกายอยู่ตรงหน้าพระอนุชารอง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกๆ พระองค์ หมับ!!! พระหัตถ์ยกขึ้นจับพระศอของอนุชารองทันทีที่เสด็จมาถึง ในขณะที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนแต่ก็หารอดออกจากการเกาะกุมของพระเชษฐาไปได้ และนั่นทำให้บรรดาพระอนุชาทั้งหลายต่างพากันก้าวถอยหลังให้พ้นรัศมีบริเวณนั้นทันที รวมถึงองค์ชายสามด้วยเช่นกัน ทรงก้าวถอยหลังเอาตัวรอดเป็นพระองค์แรก “ถอยตั้งหลักก่อนดีกว่า เกิดเหตุอะไรขึ้นจะได้หนีเอาตัวรอดได้ทัน ไม่คิดเลยว่าเจ้าพี่อิ๋งหยางช่างน่าสะพรึงกลัวเสียนี่กระไร... บรื้อออ!!!” รับสั่งพึมพำพลางเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรพระอนุชารองผ่านหน้ากากสีเงิน รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หากแต่มิมีผู้ใดสามารถเห็นได้ว่าช่างน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงไร “จะ... เจ้า... เจ้าพี่จะทรงทำอะไรข้า แล้วเหตุใดจึงพระดำเนินเร็วนักเล่า เพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวข้าแล้ว นี่พระองค์ทรงเป็นปีศาจดั่งคำเล่าลือจริงๆ หรือพ่ะยะค่ะ” เจ้าผู้ครองแคว้นรับสั่งถามสุรเสียงสั่น ในขณะเดียวกันก็ไม่วายพยายามให้ร้ายว่าพระเชษฐาทรงเป็นปีศาจอยู่ร่ำไปในขณะเดียวกันทรงพยายามดิ้นรนที่จะแกะพระหัตถ์ของพระเชษฐาที่ทรงประคองพระศอของพระองค์อยู่ในขณะนี้ด้วยพระหัตถ์เพียงข้างเดียว “กลัวข้ามากถึงเพียงนี้เชียวรึอิ๋งเหว่ย!” รับสั่งถามสุรเสียงเย็นยะเยือก เอื๊อก!!! ฉินรุ่ยกงกลืนน้ำลายลงคอทันทีครั้นได้ยินพระเชษฐาถามกลับมาเช่นนั้น “จะ... เจ้า...เจ้าพี่คิดว่าพระองค์ทรงไม่น่ากลัวอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางทรงได้ยินพระอนุชามีรับสั่งยอมรับออกมาเช่นนั้น พระหัตถ์ที่กำลังบีบพระศอเพียงแค่เบาๆ ทว่าตรงกันข้ามกับคนถูกบีบไม่ได้เบามือแต่ประการใด แต่กลับหนักหน่วงหายใจแทบไม่ออกเสียด้วยซ้ำ พลางโน้มพระวรกายที่มีความสูงมากกว่าพระอนุชาห่างกันหลายคืบเลยทีเดียว ทำให้อนุชารองพระวรกายแลดูเล็กลงไปครั้นเทียบกับพระเชษฐาที่สูงใหญ่ บึกบึนน่าเกรงขามสมเป็นนักรบเจนศึกสงคราม “หายใจไม่ออกรึ!” รับสั่งถามกลับไปเบาๆ “พะ... พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าผู้ครองแคว้นรับสั่งตอบกลับไปด้วยความยากเย็น พรืด!!! พระหัตถ์ใหญ่กระชากออกจากพระศอของอนุชารองทันใด ตุบ!!! พระวรกายของฉินรุ่ยกงทรุดฮวบลงกับพื้นทันทีครั้นถูกปล่อยเป็นอิสระ แค่ก แค่ก แค่ก!!! สุรเสียงไอดังขึ้นติดต่อกัน ก่อนจะหยุดลงโดยพลันเมื่อพระเชษฐาทรุดพระวรกายลงนั่งยองอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ พร้อมใช้นิ้วพระหัตถ์เชยปลายคางให้เงยขึ้นทอดพระเนตร “มองหน้าข้าอิ๋งเหว่ย!!!” สุรเสียงรับสั่งเฉียบขาด ดังจนได้ยินไปทั่วบริเวณ ฉินรุ่ยกงไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้แต่อย่างใด จำต้องเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรพระเชษฐาซึ่งมีหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์ด้วยความจำยอม “ข้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้เพียงแค่ต้องการฝังพระศพเสด็จพ่อ อย่าตื่นตระหนกหรือหวาดระแวงเกินกว่าเหตุ หาไม่แล้วข้าราชบริพารจะคิดว่าเจ้าเกรงกลัวข้าผู้เป็นพระเชษฐาพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก จงทำตนให้สมกับเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” รับสั่งกำชับสุรเสียงเย็นยะเยียบ “ขะ... เข้าใจพะย่ะค่ะ” ฉินรุ่ยกงรับสั่งตอบกลับไป พระเนตรปิดลงทันทีด้วยความหวาดกลัวพระเชษฐามิยอมลดน้อยถอยลงไปแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามการพบกันครั้งนี้ในรอบสิบเอ็ดปี ซึ่งต่างฝ่ายเจริญวัยเต็มที่แล้ว ทว่าพระองค์กับพระเชษฐาใยจึงช่างแตกต่างกันดั่งฟ้ากับเหวเช่นนี้ ก่อนจะได้ยินสุรเสียงของพระเชษฐาดังกระหึ่ม “ข้ากลับเมืองหลวงครั้งนี้! เพียงแค่ต้องการมาฝังพระศพพระบิดา อนุชาของข้าทั้งหลายจงอย่าวิตกหรือหวั่นเกรงว่าข้ากลับมาเพื่อจุดประสงค์อื่น! แต่ตามโบราณราชประเพณีของแคว้นฉิน พระโอรสองค์โตของอดีตเจ้าผู้ครองแคว้นจะต้องถือป้ายวิญญาณนำหน้าเชื้อพระวงศ์อื่นๆ และเป็นผู้นำในการทำพิธีฝังพระศพ” รับสั่งพร้อมกวาดสายพระเนตรไปทั่วบริเวณ ซึ่งเหล่าพระอนุชาและบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนข้าราชบริพารยืนฟังกันอย่างคับคั่ง “เพราะฉะนั้นพวกเจ้าทั้งหลาย! รีบไปตั้งแถว! ถึงเวลาเคลื่อนขบวนพระศพแล้ว!!!” สุรเสียงดังกึกก้องจนทำให้ทุกชีวิตที่อยู่ภายในบริเวณนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะ แต่แล้วเพียงครู่ต่างพากันรู้สึกพระองค์ บรรดาพระอนุชารีบวิ่งตรงดิ่งไปตั้งแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ท่ามกลางความพึงพอพระทัยขององค์ชายอิ๋งหยาง “กองทหารองครักษ์ถวายอารักขาขบวนพระศพอดีตเจ้าผู้ครองแคว้น!” สุรเสียงมีพระบัญชากับกองทหารองครักษ์รักษาวังออกไปทันที “พ่ะย่ะค่ะ!!!” กองทหารองครักษ์ขานรับเสียงกึกก้อง ก่อนจะพากันแยกย้ายทำหน้าที่ของตนโดยไม่ต้องมีรับสั่งย้ำเป็นอีกครั้งที่สองแต่ประการใด ท่ามกลางรอยแสยะยิ้มเหยียดขององค์ชายปีศาจซึ่งถูกหน้ากากสีเงินปิดบังพระพักตร์ “ก็แค่นั้น… มีแต่เด็กอ่อนหัดช่างผิดไปจากที่ข้าคิดเอาไว้เสียนี่กระไร” รับสั่งสุรเสียงรำพึง เมื่อการมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี หลังจากถูกพระบิดาเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดนทรงกลับมาเพื่อหยั่งเชิงกำลังและประเมินความคิดของเหล่าราชวงศ์และบรรดาขุนนางในราชสำนักว่ามีความคิดกับพระองค์เช่นไรในยามนี้ หากแต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั่นก็คือ ต้องการลบความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นต้นเหตุที่จะทำให้แคว้นล่มสลายหากได้ขึ้นครองแคว้น ซึ่งมาจากคำพูดของโหรหลวงเพียงประโยคเดียวเท่านั้น และเป็นประโยคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับพระองค์จนถึงทุกวันนี้ พระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินตรงไปประจำตำแหน่งของพระองค์ทันที ป้ายวิญญาณของพระบิดาถูกนำมามอบให้ในฐานะทรงเป็นพระโอรสองค์โต พระบาทก้าวนำหน้าพระดำเนินออกไปอย่างมั่นคง โดยมีพระอนุชาองค์อื่นๆ เสด็จตามหลังอย่างเป็นระเบียบไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันยังต้องพระดำเนินตามหลังพระเชษฐาต่างพระมารดา ด้วยความรู้สึกอดสูพระทัยอย่างยิ่งยวด พระองค์เป็นถึงเจ้าผู้ครองแคว้นองค์ปัจจุบันแต่มิอาจมีพระราชอำนาจในตัวเองอย่างล้นเหลือดั่งเช่นพระเชษฐาแม้แต่น้อย เสียงชื่นชมของเหล่าข้าราชบริพารต่างเริ่มมีกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทิศทางที่เปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้กระทั่งพระอนุชาองค์อื่นๆ ที่ยังไม่เคยพานพบพระเชษฐาพระองค์ใหญ่ บัดนี้กลับกลายเป็นว่า หันมาชื่นชมในความองอาจที่เต็มไปด้วยพระราชอำนาจสมเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นยิ่งนักณ บ้านน้อยริมลำธาร “คุณยายเอาอีก!” เสียงหวานส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขอข้าวจากฮูหยินฉางที่กำลังตักข้าวให้หญิงสาวจนพูนชาม จางเพ่ยอันรีบเอื้อมมือรับชามข้าวด้วยความดีใจ พลางใช้ตะเกียบที่ทำจากไม้ไผ่คีบข้าวเข้าปากด้วยความหิว เนื้อปลาย่างจนสุกหอมน่ากินและน้ำแกงปลา เพื่อบำรุงกำลังทำให้หญิงสาวเจริญอาหารอย่างยิ่งยวด “คุณยายทำกับข้าวอร่อยจังเลยค่ะ อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆ นะ” เธอพูดชมไม่ขาดปากพร้อมพุ้ยข้าวไปด้วย สองสามีภรรยาหันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ เมื่อฟังคำพูดของสาวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่จางเพ่ยอันเริ่มจะรู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรผิดไปหรือไร ใยผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้นั่งเงียบงันอยู่เช่นนั้น “เอ่อ... หนูพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมตากับยายถึงนั่งมองหน้าแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปพร้อมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากพลางยกน้ำแกงซดตามไปด้วย ก่อนจะได้ยินหยงอู่เอ่ยขึ้น “แม่หนู... เจ้าเป็นคนแคว้นใดรึ เป็นชาวเมืองฉินหรือเปล่า เหตุใดถ้อยเจรจราของเจ้าจึงแลดูแปลกชอบกลนัก ข้าและฮูหยินพยายามตั้งใจฟังเจ้าพูดอยู่เป็นนานแต่ก็หาเข้าใจถ้อยคำของเจ้าแต่อย่างใด” ครั้นหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นตะเกียบที่กำลังคี
พระตำหนักจินไท่ (ตำหนักที่ประทับฉินรุ่ยกง) “ปัง!” เสียงพระหัตถ์กระทบลงบนโต๊ะตรงพระพักตร์ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งยวด “บัดซบสิ้นดี! ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เจ้าอิ๋งหยางเจาะจงมาปรากฏตัวในวันนี้ ตั้งใจหักหน้าข้าชัดๆ” สุรเสียงรับสั่งเกรี้ยวกราด พระพักตร์สั่นระริกอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยขึ้นทอดพระเนตรพระอนุชาซึ่งนั่งอยู่บนตั่งที่ประทับตรงข้ามกับพระองค์ “เป็นไงล่ะ! เจ้าแผนการมากไม่ใช่เหรอ ผลงานออกมาให้เห็นแล้ววันนี้ อิ๋งหยางไม่เป็นอะไรเลย! อาการจวนเจียนใกล้ตายหาปรากฏให้เห็น ตรงกันข้าม ข้า! รวมไปถึงพวกเจ้าทุกคนที่จะพากันตาย!” รับสั่งถามพระอนุชากลับไป ในขณะที่องค์ชายสามทรงครุ่นคิดอย่างหนักว่าเหตุใดแผนลอบสังหารจึงพังไม่เป็นท่าเช่นนี้ ครั้นทรงได้ยินพระเชษฐารับสั่งถามด้วยพระอารมณ์กราดเกรี้ยวกลับมาเช่นนั้น ความอดทนที่เก็บกดเอาไว้ภายในมาโดยตลอดเริ่มจะเอาไม่อยู่เสียแล้ว “เลิกโวยวายจะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะเที่ยวโทษผู้อื่นทรงมองพระองค์เองด้วยเถอะว่าสามารถต้านทานอำนาจของอิ๋งหยางได้หรือไม่ ขนาดยังไม่ได้ทำอ
3 เดือนผ่านไป ณ บ้านหลังน้อยริมลำธาร “อันอันเอ๊ย!!!” เสียงเรียกของฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอนของหลานสาวคนสวย “เสร็จแล้วท่านยาย!” เสียงหวานตอบกลับมาพร้อมประตูห้องนอนเปิดออกกว้าง จางเพ่ยอัน ยืนส่งยิ้มแก้มแทบแตกก่อนจะค่อยๆ หุบลงโดยพลันพลางก้มลงสำรวจตัวเองเมื่อฮูหยินฉางยืนมองเสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมใส่อยู่บนเรือนร่างอยู่ในขณะนี้ ด้วยเพราะเสื้อผ้าสตรีแม้จะเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาก็ตาม แต่ด้วยรูปโฉมอันงดงามยิ่งของร่างนี้จึงทำให้โดดเด่นเป็นอันตรายต่อตัวนางอย่างยิ่งยวด ยามอยู่บ้านน้อยริมลำธาร แม้หญิงสาวจะสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นธรรมดาแต่ก็ไม่มีผู้ใดมาพบเห็นแต่อย่างใด หากแต่วันนี้เป็นวันที่เธอจะต้องเดินทางนำสมุนไพรที่หายากและของป่านำไปส่งที่ร้านยาและโรงหมอในเขตเมืองหลวงซึ่งเป็นลูกค้าประจำ ภายในหนึ่งเดือนจะเข้าเมืองหลวงเพียงหนึ่งครั้งเพื่อนำสมุนไพรที่หายากไปส่ง ซึ่งในเวลาที่ผ่านมาสองสามีภรรยาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกัน แต่คราวนี้หยงอู่เกิดหกล้มก้นกบกระแทกพื้นทำให้เดินไม่ได้ หากจะทิ้งเอาไว้ที่บ้านเพียงผู้เดียวฮูหย
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต