เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์
โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ยินเป็นอะไรกันแน่ หูฝาดไปหรือเกิดขึ้นจริงๆ “รีบไปตามหมอใกล้ที่สุดมารักษาพระอาการขององค์ชายเร็วๆ เข้า” เสียงตะโกนสั่งการได้ยินเพียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบแผ่วพาดผ่านมากับสายลมก็ว่าได้ “องค์ชายอย่างนั้นเหรอ!” หญิงสาวรำพึงออกมาทันที ครั้นหูของเธอได้ยินเสียงดังกล่าวมาจากสถานที่อันไกลโพ้น เหตุใดหนอจางเพ่ยอันจึงได้ยินเสียงเหล่านั้นได้ ร่างระหงลุกขึ้นจากเตียงนอนทันใด พลางเดินตรงไปทางประตูกระจกซึ่งถูกปิดด้วยผ้าม่าน เมื่อเปิดออกจะเป็นระเบียงด้านนอกที่อยู่ในห้องพักของเธอ หญิงสาวเดินออกไปหยุดยืนอยู่ตรงระเบียงพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า มองเห็นทิวเขารำไรของเมืองซีอาน ทั่วพื้นที่ในมณฑลส่านซีล้วนเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในยุคโบราณอันยาวนานที่เคยรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกาล ภาพเหตุการณ์ในวันที่กลุ่มอันธพาลไล่ยิงคู่อริจนสนั่นเมืองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายของประเทศแต่อย่างใด ช่วงเสี้ยววินาทีที่เธอกำลังหนีตายอย่างสุดชีวิต จางเพ่ยอันเห็นบุรุษในชุดเกราะโบราณยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันขาวที่เหล่าอันธพาลโยนระเบิดควันเข้าใส่กัน และหญิงสาววิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนจะถูกลูกหลงเมื่อกระสุนปืนเจาะถูกด้านหลังจนล้มลงอยู่ในอ้อมกอดของชายคนดังกล่าว ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จางเพ่ยอันจดจำถ้อยคำที่ชายคนดังกล่าวถามเธอได้เป็นอย่างดีและไม่มีวันลืมเลือน “แม่นาง! เจ้าเป็นเช่นไร” เสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาตกใจอยู่มิใช่น้อยที่เห็นเธอเป็นเช่นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดพร้อมร่างใหญ่ทรุดลงนั่งกอดหญิงสาวเอาไว้แนบอก “ตกลงวันที่เราถูกยิงผู้ชายที่สวมชุดเกราะคือความจริงหรือความฝันกันแน่ ทำไมคล้ายวิญญาณเจ้าของปิ่นหยกที่ขุดพบในสุสานมาทวงของคืนในศูนย์วิจัยเลยนะ แถมสวมชุดเกราะและหน้ากากสีเงินเหมือนกันซะด้วย ท่าทางจะต้องเป็นผีตัวเดียวกันแน่ๆ เลย” จางเพ่ยอันยืนรำพึงรำพันพลางยกมือขึ้นกอดอก ตั้งใจฟังเสียงที่เธอเพิ่งได้ยินอีกครา ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูติดต่อกันดังแทรกขึ้นมาทันที หญิงสาวหันกลับมามองประตูห้องพักพลางหันกลับไปดูนาฬิกาที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงของโรงแรม “จะเที่ยงคืนแล้ว ดึกขนาดนี้ใครมาเคาะประตูห้องว้า” แม่สาวน้อยยืนพึมพำก่อนจะได้ยินเสียงแขกผู้มาเยือน “อันอัน! นอนหรือยัง” เสียงหัวหน้างานของเธอดังขึ้น “อ้าว! หัวหน้าหลิวอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวกล่าวออกมาทันทีด้วยความแปลกใจ ร่างระหงรีบก้าวเข้าไปภายในห้องพร้อมเปิดประตูต้อนรับอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ประตูเปิดออก กล่องไม้ขนาดกะทัดรัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสพร้อมแฟ้มเอกสารยื่นส่งให้เธอทันใด “เธอลืมของสำคัญทิ้งไว้ในรถ” หัวหน้างานสาวใหญ่บอกกลับมา ดวงตาคู่สวยมองกล่องไม้และแฟ้มเอกสารตรงหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้คือ ปิ่นหยกโบราณและผลสรุปการค้นคว้าประวัติความเป็นมาของวัตถุโบราณชิ้นล่าสุด “หัวหน้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ นี่คือวัตถุโบราณชิ้นล่าสุดที่สั่งให้อันอัน ค้นคว้าประวัติความเป็นมาและสรุปอายุว่ามาจากสมัยใด ทุกอย่างรายงานอยู่ในแฟ้มและเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว อีกอย่างงานชิ้นนี้หนูส่งให้ตรวจสอบก่อนจะเดินทางมาที่ซีอานไม่ได้หลงลืมทิ้งไว้บนรถเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามอธิบายกลับไป “เก็บเอาไว้! มันเป็นของเจ้า!” หัวหน้างานของหญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นช่างโบราณเสียนี่กระไร ดวงตาเฝ้าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของจางเพ่ยอันอยู่ตลอดเวลาก่อนจะยิ้มน้อยๆ พร้อมหันหลังกลับเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ทันใดนั้นเอง เงาวูบวาบคล้ายดวงวิญญาณหันกลับมามองจางเพ่ยอันพร้อมส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาวเมื่อพบเห็นดวงวิญญาณของผู้หญิงซ้อนทับในร่างหัวหน้างานของเธอ และที่สำคัญดวงวิญญาณนั้นมีใบหน้าที่งดงามอย่างยิ่งยวด จนสะกดหญิงสาวยืนนิ่งไม่ขยับกายแต่อย่างใด “อัยยะ!” หญิงสาวอุทานออกมาโดยพลันครั้นได้เห็นเช่นนั้น ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังกลับเข้าไปในห้องพร้อมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว ร่างระหงยืนกอดแฟ้มเอกสารและกล่องไม้บรรจุปิ่นหยกโบราณไว้แนบอก ดวงตากลอกกลิ้งไปมามองรอบๆ ห้องพักก่อนจะปิดเปลือกตาลงพลางสะบัดศีรษะติดๆ กัน “นอกจากฉันจะมีสัมผัสพิเศษเห็นอดีตและอนาคตของคนอื่นๆ ได้แล้ว ยังสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของภูตผีปีศาจได้อีกอย่างนั้นด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน เห็นผีในชุดเกราะแม่ทัพยังไม่พอ ยังเห็นดวงวิญญาณผีสาวส่งยิ้มหวานมาให้อีกด้วย ให้ตายสิจางเพ่ยอัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยก้มลงมองกล่องไม้ที่เธอกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนี้ พลางเฝ้าครุ่นคิดทบทวน ร่างระหงเดินผละออกจากประตูห้องพักก่อนจะนำแฟ้มเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง มีเพียงกล่องไม้ที่ถือติดมือเดินกลับไปเตียงนอนก่อนจะทรุดกายลงนั่งพร้อมเลื่อนฝากล่องเปิดออก หยิบปิ่นหยกโบราณออกมาพิจารณาใกล้ๆ “ท่าทางปิ่นหยกอันนี้เจ้าของต้องหวงมากแน่ๆ เขาคงต้องการให้เอากลับไปคืนที่เดิม หาไม่แล้วจะมาปรากฏดวงวิญญาณให้เราเห็นทำไม ขนาดมาเองไม่ได้ยังทำภาพหลอนให้เห็นได้ด้วย แถมยังให้ได้ยินอะไรเป็นตุเป็นตะไปทั่ว ใหญ่โตมิใช่เล่นเสียด้วยเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ เชื่ออีตาผีแม่ทัพนี่จริงๆ ว่าแต่ทำไมต้องเป็นเราด้วยว้า” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำออกมาเป็นการใหญ่ ภายในใจเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขผีแม่ทัพที่หวงปิ่นหยกของตนอยู่ตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าจะเฝ้าครุ่นคิดหาวิธีเช่นไร แต่ก็แลดูเหมือนสมองของเธอในยามนี้ช่างตีบตันเสียนี่กระไร มือเรียวสวยค่อยๆ บรรจงวางปิ่นหยกโบราณลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเมื่อเปลือกตาของเธอจู่ๆ ก็เริ่มหนักอึ้งอย่างมิรู้สาเหตุเสียขึ้นมาดื้อๆ หาวววว!!! เสียงหาวนอนดังออกมาเบาๆ “โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว… ง่วง! นอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องเข้าไปภายในบริเวณสุสานอีก เดี๋ยวค่อยคิดหาทางใหม่ก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์นะท่านแม่ทัพ ฉัน... จางเพ่ยอันขอตัวนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนแล้ว เดี๋ยวจะพยายามหาวิธีให้คุณได้ของรักของหวงกลับคืนไปจะได้ไม่ต้องมาคอยตามตอแยฉันอีก… โอเคนะ… อือ” หญิงสาวพูดเองตอบเองอยู่คนเดียวพร้อมล้มตัวลงนอนก่อนจะผล็อยหลับสนิทภายในเวลาอันรวดเร็ว ท่ามกลางความเงียบงันที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ มีเพียงแสงจันทราลอดผ่านมาทางประตูระเบียงของห้องพักมองเห็นแค่สลัวๆ ชั่วเวลาเพียงกะพริบตาประตูระเบียงห้องพักค่อยๆ เลือนหายไปกลับกลายเป็นทางเข้ากระโจมที่ประทับซึ่งใช้ผ้าดิบผืนขนาดมหึมาปิดบังทางเข้า ด้านนอกมีทหารอารักขายืนรักษาการณ์ซ้ายขวา แสงจากคบไฟพวยพุ่งส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา บนเตียงนอนขนาดใหญ่ของยุคอนาคตปรากฏเงาบางอย่างสะท้อนวูบวาบ เผยให้เห็นแท่นพระบรรทมขององค์ชายในโลกอดีตซ้อนทาบทับเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏเงาเลือนรางของบุรุษร่างสูงใหญ่นอนเหยียดยาวในท่านอนหงายเคียงคู่กับจางเพ่ยอัน จากเพียงเงาวูบวาบกลับกลายเป็นตัวคนอย่างสมบูรณ์ ลมหายใจรวยรินที่เต็มไปด้วยพิษไข้ร้อนผ่าว ทั่วกายร้อนประดุจไฟบรรลัยกัลป์แผ่ออกมาจนสามารถสัมผัสได้ ท่อนบนของร่างกายสวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีดำทะมึน สาบเสื้อแยกออกจากกัน เผยแผ่นอกกว้างใหญ่เปลือยเปล่า เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออัดแน่น หากแต่มีผ้าพันแผลสีขาวพันเอาไว้โดยรอบ และมีโลหิตไหลซึมออกจากบาดแผลอยู่ตลอดเวลา บริเวณช่วงล่างลงไปสวมกางเกงผ้าสีขาวและถุงเท้าผ้าสีขาวเช่นเดียวกันราวเครื่องแต่งกายของคนจากยุคอดีต ความร้อนจากพิษไข้เพราะบาดแผลแผ่ขยายออกมา จนร่างอรชรที่นอนอยู่เคียงคู่ซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ในขณะนั้นค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะพลิกตัวหันตะแคงข้างไปทางด้านร่างใหญ่ที่กำลังนอนหมดสติอยู่ในขณะนั้น มือเรียวสวยคว้าท่อนแขนกำยำด้วยเข้าใจว่าเป็นหมอนข้างดึงเข้ามากอดเอาไว้แนบอกทันที และทันใดที่มือสัมผัสถูกไอร้อนจากท่อนแขนใหญ่ที่กำลังกกกอดเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนั้น เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ จวบจนกระทั่งเห็นร่างใหญ่ของบุรุษนอนหายใจรวยริน ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินปิดทับอยู่ในขณะนั้น “เหวออออ!!!” หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมาทันทีด้วยความตกใจสุดขีด ร่างอรชรลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว พลางกระเถิบถอยหนีไม่เป็นกระบวน ก่อนจะรีบพลิกตัวกระโดดลงจากเตียงนอนทันใด ตุบ! ร่างแน่งน้อยนอนหลบอยู่ข้างเตียงนานกว่าห้านาที เอื๊อก! เสียงกลืนน้ำลายลงคอได้ยินอย่างชัดเจนดังออกมาจากร่างของหญิงสาว ใบหน้าค่อยๆ เงยขึ้นช้าๆ มองตรงไปที่โคมไฟบนโต๊ะข้างเตียง ฝั่งทิศทางที่เธอนอนก่อนจะรีบเอื้อมมือกดสวิตช์เพื่อเปิดไฟภายในห้องให้มีแสงสว่าง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน พรึบ! ทั่วทั้งห้องสว่างจ้าขึ้นมาทันใด “ไฟก็เปิดแล้ว ห้องก็สว่างซะขนาดนี้ ถ้าไม่เงยหน้าโผล่ออกไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอด เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าไอ้ที่เห็นเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่จางเพ่ยอัน ท่าทางคงจะคิดเรื่องอีตาผีแม่ทัพมาทวงของมากเกินไป ก็เลยเก็บเอาไปมโนเห็นภาพหลอนลวงตาไปทั่ว” หญิงสาวพูดปลอบใจตัวเองก่อนจะตัดสินใจไม่หลบซ่อนตัวอยู่ข้างเตียงอีกต่อไป เธอโผล่หน้าขึ้นมองบนเตียงนอนทันที “หา!... อุบ!” จางเพ่ยอันอุทานออกมา ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนจะรีบกระเถิบถอยหลังจนไปนั่งชิดกำแพงห้องพัก “ทะ... ทำไมยังอยู่อี๊ก!!!” หญิงสาวกล่าวออกมาเบาๆ ดวงตาจับจ้องร่างบุรุษที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเขม็งบัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปั
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากั
เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะ
ตีห้าของเช้าวันใหม่ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแท
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เมืองหลวงหยง ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต
ในขณะเดียวกันฮั่นจง เมืองหน้าด่านชายแดนแคว้นฉิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกของรองแม่ทัพ บ่งบอกสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภายในเวลานี้ กำลังทหารที่กระจายไปทั่วบริเวณค่ายทหารและกระจายออกเป็นวงกว้างจนไปถึงฮั่นจง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของชายแดนแคว้นฉิน ข่าวการหายตัวไปของแม่ทัพปีศาจผู้เลื่องลือไปทุกสารทิศ เริ่มจะปิดเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมา กำลังทหารกระจายค้นหาแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉินแทบพลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน หมุนเวียนสลับเวรผลัดเปลี่ยนกันค้นหาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของรองแม่ทัพคนสนิท จนมิยอมเอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาเลยตลอดระยะเวลาที่องค์ชายอิ๋งหยางทรงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หากทรงไม่ปรากฏพระวรกายตลอดกาล ขวัญและกำลังใจของทหารมิเหลือสิ้นเป็นแน่แท้ ท่ามกลางคบไฟที่กำลังเริ่มจุดให้แสงสว่างขึ้นมาอีกครา เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก้าวเข้าสู่เวลาแห่งรัตติกาลมาเยือน ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนเริ่มสลัว ความมืดเริ่มคืบคลานปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง “ท่านรองแม่ทัพ!” เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นพร้อมก้าวเดินนำหน้
ยุคอดีต “อันอัน!!!” สุรเสียงรับสั่งชื่อเล่นสตรีที่ช่วยชีวิตพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ยื่นออกไปราวกับว่าพยายามจะไขว่คว้านางมีอันต้องหยุดชะงักโดยพลัน ห้องพักในยุคอนาคตค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นภายในกระโจมที่ประทับเข้ามาแทนที่ พระหัตถ์ยังคงยกค้างอยู่เช่นนั้นโดยที่องค์ชายหนุ่มมิทรงขยับพระวรกายเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พระเนตรนิลกาฬจับจ้องอยู่แต่ทิศทางซึ่งตรงกับประตูห้องพักในโลกอนาคตอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกพระองค์เมื่อทรงได้ยินเสียงของเหล่าทหารดังอยู่นอกกระโจม “รีบเข้าไปในกระโจมเร็วเข้า! ได้ยินเสียงท่านรองแม่ทัพเรียกองค์ชายใหญ่เอ็ดอึงไปหมด” สิ้นเสียงพูดคุย ทหารชั้นนายกองจำนวนหลายนายเปิดผ้ากระโจมซึ่งปิดประตูทางเข้าออกอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าดีใจมากมายยิ่งนัก “องค์ชายใหญ่เสด็จกลับมาแล้ว! พระองค์ทรงหายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านายกองต่างพากันส่งเสียงเอ็ดอึงเป็นการใหญ่ ก่อนจะพากันยืนแปลกใจไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างของรองแม่ทัพยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น “ท่านรองแม่ทัพ! เหตุไฉนจึงยืนนิ่งราวกับหินเช่นนี้… หรือว่า!!!” นายกองแต่ละนายหันกลับมามองหน้ากันทันที ทุกสายตาเหลือบไปเห
ในขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ราชวงศ์โจวซึ่งเคยปกครองแคว้นต่างๆ มากมายเริ่มเสื่อมถอย ไร้สิ้นอำนาจปกครองแคว้นน้อยใหญ่ในเวลานี้ได้แต่อย่างใด หลังจากกษัตริย์โจวผิงหวางย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วอี้ (ลั่วหยาง) ดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดตกเป็นของแคว้นฉิน ซึ่งได้ผนวกแคว้นหรือดินแดนชนเผ่าหรงจู่ซึ่งอยู่ชายแดนราชวงศ์โจวกลายเป็นมหาอำนาจทางตะวันตก ในขณะที่ดินแดนซานซีเป็นของแคว้นจิ้น ดินแดนซานตงเป็นของแคว้นฉู่และแคว้นหลู่ ดินแดนหูเป่ยเป็นของแคว้นฉู่ ดินแดนเป่ยจิงและหูเป่ยตอนเหนือเป็นของแคว้นเยี้ยน ต่อมาดินแดนทางตอนใต้แม่น้ำฉางเจียง (แม่น้ำแยงซีเกียง) เป็นของแคว้นอู๋และแคว้นเย่วและแคว้นอื่นๆ หลังจากแคว้นใหญ่ๆ ทั้งหมดผนวกเอาแคว้นเล็กๆ ในราชวงศ์โจวมาเป็นดินแดนของตน ทำให้เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นใหญ่ และเริ่มต้นเปิดฉากที่มาของสงครามแห่งการแย่งชิง เต็มไปด้วยความโหดร้ายของการแก่งแย่งอำนาจกันของแคว้นใหญ่ๆ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ซึ่งในเวลานี้แคว้นใหญ่ที่มีอำนาจและแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วหล้ามีด้วยกันสิบแคว้น อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นฉี แคว้นจิ้น แคว้นเอี้ยน แคว้นเยี่ยน แคว้นเยว่ แคว้นเจิ้
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต