หมอหลวงและผู้ช่วยยังไม่ตายอย่างนั้นหรอกรึ!” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยเป็นยิ่งนัก ก่อนจะทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทที่ยังคงนั่งมองพระองค์ตาไม่กะพริบด้วยความแปลกใจมิรู้วาย
“จริงสิ! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าข้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะตายทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของข้า” และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องครักษ์คนดังกล่าวถึงกับเงยหน้ามององค์ชายของตนทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดจึงทรงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ” เสียงนั้นกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดก่อนจะเค้นเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ทรงได้รับนับตั้งแต่แรกประสูติออกจากพระครรภ์มารดา “เมื่อแรกประสูติ ทุกคนที่อยู่ในห้องพระประสูติกาลจบชีวิตลงอย่างมิรู้สาเหตุ ทันทีที่เห็นหน้าข้า ส่วนคนที่มิได้เห็นล้วนแล้วแต่รอดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงมิให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้พานพบข้าเลยสักครา ด้วยเกรงว่าทั้งสองพระองค์จะทรงมีอันเป็นไป แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ของข้าก็ไม่ทรงเชื่อคำเล่าลือเช่นนั้น” รับสั่งพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทอีกครา “พระองค์หมายความว่าอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะองค์ชายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” แทนถ้อยรับสั่งพระพักตร์พยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นการตอบรับ “แต่อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถได้พบกับเสด็จแม่เป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อตอนอายุห้าขวบ เสด็จแม่ของข้าไม่กลัวแม้กระทั่งความตายเพียงเพื่อต้องการพบหน้าข้าสักครั้งและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็น เพราะในที่สุดเสด็จแม่ก็พบจุดจบเหมือนกับทุกคน และนี่คือสาเหตุว่าเพราะอะไรข้าจึงถูกส่งตัวมาอยู่ที่ชายแดนตลอดกาล” รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหน้ากากสีเงินของพระองค์ที่ทรงสวมติดพระพักตร์มาโดยตลอด “นี่คือชะตากรรมของข้าที่สวรรค์กำหนด เพื่อปกป้องแคว้นฉินข้ายินดีที่จะอยู่ที่นี่ มิกลับเมืองหลวงตามพระบัญชาของเสด็จพ่อจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะข้าคือโอรสที่สวรรค์สาปให้มีใบหน้าพิฆาตผู้คนจนล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว!” รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ส่วนพระองค์เขม็ง “และเจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน!” รับสั่งสุรเสียงเย็นยะเยียบ “หา! อะ… องค์ชาย! ทรงมีรับสั่งเช่นนี้หมายความว่ากระหม่อมจะต้องตายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่กระหม่อมถอดหน้ากากองค์ชายออกจนถึงเวลานี้ ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย” องครักษ์หนุ่มพยายามกราบทูลอธิบาย “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สวรรค์สาปได้แม้แต่น้อย เหตุที่เจ้าอยู่ได้นานถึงตอนนี้ก็เพราะว่าข้าไม่ได้สติ แต่ในเวลานี้สติข้าหวนกลับคืนมาแล้ว เจ้าเองก็จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน” รับสั่งตอบกลับไป และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องค์รักษ์คนสนิทชะงักงันขึ้นมาทันที “บะ… บางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิเคยทอดพระเนตรพระพักตร์ว่าเป็นเยี่ยงไร ไม่ว่าจะในกระจกหรือภาพสะท้อนจากเงาน้ำ ทรงทราบหรือไม่ว่าพระพักตร์ขององค์ชายหาได้อัปลักษณ์ผิดรูปเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามทรงมากด้วยพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ” กราบทูลพลางรีบคว้าอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่กว่าครึ่งเพื่อให้องค์ชายของตนทอดพระเนตร “ไม่ต้อง!” สุรเสียงรับสั่งตวาดห้ามกลับไปทันที พระหัตถ์อันสั่นเทาเอื้อมไปหยิบหน้ากากสีเงินของพระองค์ขึ้นมาสวมปิดบังพระพักตร์อย่างรวดเร็ว พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งตอบกลับไป “ผู้อื่นเห็นใบหน้าข้ายังต้องล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว นับประสาอะไรกับตัวข้าเอง ก็เป็นแบบนั้นเช่นกันไม่แตกต่างแม้แต่น้อย ต้องตายทันทีที่ได้ยลโฉมของตนเอง และนี่คือเหตุผลที่ข้าต้องสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ไม่มีกระจกและไม่เพ่งพิศเงาในสายน้ำหลากแม้แต่ครั้งเดียว” เอื๊อก! องครักษ์หน้ามนกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อได้ยินและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ฉับพลันเสียงทหารรายงานข่าวดังขึ้นอยู่นอกกระโจม “รายงาน!!!” เสียงดังก้องอยู่หน้าประตูทางเข้า “เข้ามา!” องค์ชายหนุ่มรับสั่งอนุญาต ทันทีที่มีพระบัญชา ทหารรายงานข่าวรีบรุดเข้ามาภายในกระโจมที่ประทับทันที ร่างสันทัดทรุดกายลงนั่งคุกเข่า “กราบทูลองค์ชาย หมอหลวงพร้อมผู้ช่วยทั้งหมดบัดนี้ได้สูญสิ้นลมหายใจอย่างมิรู้สาเหตุเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บยังมีอีกเป็นจำนวนมากแต่ไร้สิ้นหมอทำการรักษา เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรดีต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกราบทูลของทหารคนดังกล่าว พระพักตร์ที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากส่ายไปมาติดๆ กัน พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรองครักษ์ที่นั่งอยู่กับพื้นข้างแท่นพระบรรทม “ฝังศพให้เรียบร้อย แล้วนำกองทหารไปตามหมอในแถบนี้มารักษาอาการบาดเจ็บของทหาร ส่งสาสน์ไปที่เมืองผิงหยางให้นำส่งหมอหลวงมาช่วยรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะยังไม่เคลื่อนทัพกลับจนกว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษา” “พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ทหารรายงานข่าวรับพระบัญชาอย่างแข็งขัน ก่อนจะสังเกตเห็นพระโลหิตไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลจนแดงฉานชุ่มโชกไปหมด “กระหม่อมได้ส่งสาสน์กลับไปทางเมืองหลวงเพื่อให้ฝ่าบาทจัดส่งหมอหลวงของราชสำนักมารักษาพระอาการขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าคงไม่เกินห้าวันก็น่าจะถึงแล้ว” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระ เนตรทหารรายงานข่าวเขม็ง “ไม่ได้รับคำสั่งจากข้า! เหตุใดจึงฝ่าฝืนส่งสาสน์ไปที่เมืองหลวงเช่นนั้น ต่อให้ข้าตายเสด็จพ่อก็ไม่ส่งหมอหลวงมารักษาข้าแม้แต่น้อย เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์!” รับสั่งตวาดก่อนจะหายใจหอบโยนด้วยทรงเจ็บปวดบาดแผลอย่างรุนแรง ท่ามกลางสายตาของทหารผู้ใกล้ชิด “พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นยิ่งนัก หมอหลวงที่ทำการรักษาก็เป็นผู้บอกเองว่าไม่สามารถทำให้ทุเลาลงได้ ต้องขอให้ทางราชสำนักส่งหมอหลวงฝีมือดีมารักษาพระอาการ ทรงเป็นถึงองค์ชายใหญ่เหตุใดฝ่าบาทจะทรงไม่เหลียวแล ทุกวันนี้แคว้นฉินแผ่ขยายอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้ ล้วนมาจากพระองค์ทรงเป็นผู้นำทัพทั้งสิ้น” องครักษ์คนสนิทอดไม่ได้ที่จะกราบทูลกลับไปหึหึหึหึ!!! เสียงพระสรวลเค้นออกมาเบาๆ ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “องค์ชายใหญ่แล้วอย่างไรเล่า! ก็แค่ฐานันดรติดตัว ความเป็นจริงก็คือข้าคือโอรสที่ถูกเนรเทศให้มาอยู่ชายแดนตลอดกาล ไม่มีวันได้หวนคืนกลับสู่เมืองหลวงแต่อย่างใด” รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์สะบัดไปมาเพื่อไล่เหล่าทหารออกไปจากกระโจมที่ประทับ เมื่อทรงรู้สึกว่าอาการปวดแปลบบาดแผลเริ่มทวีรุนแรงมากยิ่งไปกว่าเดิม “พวกเจ้าออกไป! ข้าอยากพักแล้ว” รับสั่งพร้อมค่อยๆ เอนพระวรกายลงประทับบรรทม โดยมีองครักษ์คนสนิทรีบตรงปรี่เข้ามาประคองพระวรกายให้บรรทมลงบนฟูก ก่อนจะทรงมีรับสั่งถามกลับไป “เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียเถิด อย่าอยู่ใกล้ข้า มิเห็นหรือไรว่าจุดจบของบรรดาหมอหลวงเป็นเช่นไร แทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกหลายวันกว่านี้” องครักษ์คนดังกล่าวทำได้แต่เพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น “จะตายช้าหรือเร็วก็ต้องตายเช่นกัน กระหม่อมจะขอถวายการรับใช้องค์ชายอยู่ใกล้ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากแม้นต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะก่อนตายมีโอกาสคอยดูแลพระองค์จนถึงวาระสุดท้ายของกระหม่อม” องครักษ์คนสนิทกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตน องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรองครักษ์คู่พระทัย ผ่านหน้ากากสีเงินที่ปิดบังพระพักตร์ ครั้นทรงได้ยินคำตอบกลับมาเช่นนั้น มิมีผู้ใดได้เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ในเวลานี้เลยว่าทรงเป็นเช่นไร ทั้งสีพระพักตร์และสายพระเนตรแฝงเร้นความเศร้าหมอง ด้วยพระองค์ทำให้ผู้คนรอบข้างต้องพบจุดจบก่อนวัยอันควร คนที่สมควรตายกลับไม่ตายแต่คนที่ไม่ควรตายกลับจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน เหตุใดสวรรค์จึงลิขิตให้ต้องได้รับความทรมานเช่นนี้หนอ นับตั้งแต่จำความได้ พระองค์เจริญชันษาท่ามกลางความโดดเดี่ยว อ้างว้าง คนใกล้ตัวล้วนจากไปเพราะพานพบพระพักตร์ ไออุ่นจากพระบิดาและพระมารดามิเคยทรงได้รับ ซ้ำร้ายยังทรงเป็นที่น่ารังเกียจของราชวงศ์ ราชสำนักต่างกล่าวขานว่าพระองค์คือองค์ชายปีศาจของราชวงศ์ฉินที่จะนำหายนะมาสู่แว่นแคว้น หากขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นตามกฎมณเฑียรบาลที่สืบทอดต่อๆ กันมา แคว้นฉินจะต้องถึงคราวล่มสลายหากเจ้าผู้ครองแคว้นคือพระองค์ “ชีวิตของข้าในชาตินี้ถูกกำหนดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้รัก สิ้นเสน่หาและวาสนากับผู้ใด เพราะคนใกล้ตัวล้วนล้มตายไปจนหมดสิ้น หากแม้นเจ้าตั้งใจเช่นนั้นและไม่อาลัยชีวิตข้าก็มิขัด” รับสั่งกับองครักษ์คนสนิท “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์กราบทูลกลับไป ก่อนจะได้ยินองค์ชายของตนมีรับสั่งขึ้นมาอีกครา “ช่วงที่ข้าหมดสติได้ฝันแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นความฝันที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อน ราวกับว่าข้าได้ไปสถานที่ดังกล่าวนั้นจริงๆ ผู้คนมากมายอีกทั้งบ้านเมืองในแคว้นนั้นข้ามิเคยพานพบจากที่ใดในทั่วหล้านับตั้งแต่ยกทัพยึดดินแดนในผืนแผ่นดินนี้” รับสั่งด้วยความคลางแคลงพระทัยมิรู้วาย ถ้อยรับสั่งขององค์ชายหนุ่มทำให้องครักษ์คนสนิทที่กำลังนั่งฟังอยู่เงียบๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “อาจเป็นเพราะทรงมีไข้สูงจึงทำให้เกิดนิมิตแปลกประหลาดก็เป็นไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ ดูเอาเถิดแม้ในยามนี้ไข้ของพระองค์เหตุใดจึงมิบรรเทาเบาบางลงไปแต่อย่างใด” องครักษ์คนสนิทบ่นพึมพำ ในขณะที่องค์ชายอิ๋งหยางหาได้อาลัยแก่พระชนม์ชีพของพระองค์แต่อย่างใด ทรงปล่อยวางได้หากแม้นต้องเผชิญกับความตายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ “วาระสุดท้ายของข้าคงใกล้มาถึงแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป ข้าอยากทำอะไรบางอย่างเจ้าให้ทหารไปตามช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีมาพบข้า” องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “องค์ชายประสงค์จะทำเครื่องประดับให้กับผู้ใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” มิวายทูลถามกลับไปด้วยความสงสัย “ทำให้ข้า!” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหยุดไปชั่วขณะเมื่อบาดแผลจากลูกกระสุนในยุคอนาคตทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นยิ่งนัก “ข้าต้องการปิ่นหยก! ในฝันนั้นบอกว่าข้าคือเจ้าของปิ่นหยกที่อยู่ในความครอบครองของนาง” รับสั่งพึมพำสุรเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินในขณะที่องครักษ์คนสนิทพยายามจะฟังว่าองค์ชายของตนทรงมีรับสั่งเช่นไรแต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินไม่ชัดเจน
“จะ... เจ้าจงฟังข้าให้ดี หากข้าหลับไปและมิตื่นขึ้นมาอีกเลย จงให้ช่างเครื่องประดับทำปิ่นหยกและฝังไปพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของข้าเข้าใจที่บอกหรือไม่” รับสั่งกำชับพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ของพระองค์เขม็ง “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มขานรับพระบัญชาอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เข้าใจในถ้อยรับสั่งก็ตามแต่ก็มิอาจขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้ พระหัตถ์ค่อยๆ ยกขึ้นสัมผัสพระอุระที่ถูกปิดทับด้วยผ้าพันแผล แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรับรู้ถึงไอร้อนผ่าวจากพิษของบาดแผลที่กำลังระบมอย่างเห็นได้ชัด “แผลนี้ช่างทรมานข้าเสียนี่กระไร ใยจึงสร้างความเจ็บปวดถึงเพียงนี้นักเล่า เป็นอาวุธเช่นไรหนอจึงทำให้ทนทุกข์อย่างแสนสาหัสถึงเพียงนี้” รับสั่งพึมพำแผ่วเบา องครักษ์หนุ่มรีบนำผ้าที่อยู่ในอ่างน้ำบิดหมาดๆ พลางนำมาเช็ดพระวรกายเพื่อบรรเทาความร้อนจากพิษไข้ให้ทุเลาลงไปไม่มากก็น้อย “บาดแผลของพระองค์อักเสบรุนแรงยิ่งนัก หมอหลวงก็มิอาจตอบได้ว่าองค์ชายทรงถูกอาวุธชนิดใดทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ ภายในบริเวณนั้นหามีทหารต้าเหลียงหลงเหลืออยู่แม้แต่เพียงผู้เดียว มีเพียงพระองค์เท่านั้นอยู่เพียงลำพัง แต่เหตุใดจึงมีบาดแผลเช่นนี้บังเกิดขึ้นมาได้ช่างน่าแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางทรงได้ยินเช่นนั้น ภาพของสตรีสาวร่างระหง กำลังวิ่งตรงมาหาพระองค์ด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พร้อมเสียงดังกึกก้องไล่หลังตามมาติดๆ ปรากฏขึ้นในความทรงจำของพระองค์ขึ้นมาทันที “แผลนี้เกิดจากนาง... เกิดจากนางแน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเรื่องจริง!” สุรเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะหมดพระสติประทับบรรทมนิ่ง ท่ามกลางเสียงร้องเรียกขององครักษ์คนสนิท “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!”เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์ โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ย
บัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปั
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากั
เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะ
ตีห้าของเช้าวันใหม่ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแท
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เมืองหลวงหยง ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต
ในขณะเดียวกันฮั่นจง เมืองหน้าด่านชายแดนแคว้นฉิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกของรองแม่ทัพ บ่งบอกสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภายในเวลานี้ กำลังทหารที่กระจายไปทั่วบริเวณค่ายทหารและกระจายออกเป็นวงกว้างจนไปถึงฮั่นจง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของชายแดนแคว้นฉิน ข่าวการหายตัวไปของแม่ทัพปีศาจผู้เลื่องลือไปทุกสารทิศ เริ่มจะปิดเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมา กำลังทหารกระจายค้นหาแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉินแทบพลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน หมุนเวียนสลับเวรผลัดเปลี่ยนกันค้นหาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของรองแม่ทัพคนสนิท จนมิยอมเอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาเลยตลอดระยะเวลาที่องค์ชายอิ๋งหยางทรงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หากทรงไม่ปรากฏพระวรกายตลอดกาล ขวัญและกำลังใจของทหารมิเหลือสิ้นเป็นแน่แท้ ท่ามกลางคบไฟที่กำลังเริ่มจุดให้แสงสว่างขึ้นมาอีกครา เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก้าวเข้าสู่เวลาแห่งรัตติกาลมาเยือน ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนเริ่มสลัว ความมืดเริ่มคืบคลานปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง “ท่านรองแม่ทัพ!” เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นพร้อมก้าวเดินนำหน้
ยุคอดีต “อันอัน!!!” สุรเสียงรับสั่งชื่อเล่นสตรีที่ช่วยชีวิตพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ยื่นออกไปราวกับว่าพยายามจะไขว่คว้านางมีอันต้องหยุดชะงักโดยพลัน ห้องพักในยุคอนาคตค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นภายในกระโจมที่ประทับเข้ามาแทนที่ พระหัตถ์ยังคงยกค้างอยู่เช่นนั้นโดยที่องค์ชายหนุ่มมิทรงขยับพระวรกายเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พระเนตรนิลกาฬจับจ้องอยู่แต่ทิศทางซึ่งตรงกับประตูห้องพักในโลกอนาคตอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกพระองค์เมื่อทรงได้ยินเสียงของเหล่าทหารดังอยู่นอกกระโจม “รีบเข้าไปในกระโจมเร็วเข้า! ได้ยินเสียงท่านรองแม่ทัพเรียกองค์ชายใหญ่เอ็ดอึงไปหมด” สิ้นเสียงพูดคุย ทหารชั้นนายกองจำนวนหลายนายเปิดผ้ากระโจมซึ่งปิดประตูทางเข้าออกอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าดีใจมากมายยิ่งนัก “องค์ชายใหญ่เสด็จกลับมาแล้ว! พระองค์ทรงหายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านายกองต่างพากันส่งเสียงเอ็ดอึงเป็นการใหญ่ ก่อนจะพากันยืนแปลกใจไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างของรองแม่ทัพยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น “ท่านรองแม่ทัพ! เหตุไฉนจึงยืนนิ่งราวกับหินเช่นนี้… หรือว่า!!!” นายกองแต่ละนายหันกลับมามองหน้ากันทันที ทุกสายตาเหลือบไปเห
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน