หมอหลวงและผู้ช่วยยังไม่ตายอย่างนั้นหรอกรึ!” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยเป็นยิ่งนัก ก่อนจะทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทที่ยังคงนั่งมองพระองค์ตาไม่กะพริบด้วยความแปลกใจมิรู้วาย
“จริงสิ! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าข้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะตายทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของข้า” และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องครักษ์คนดังกล่าวถึงกับเงยหน้ามององค์ชายของตนทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดจึงทรงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ” เสียงนั้นกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดก่อนจะเค้นเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ทรงได้รับนับตั้งแต่แรกประสูติออกจากพระครรภ์มารดา “เมื่อแรกประสูติ ทุกคนที่อยู่ในห้องพระประสูติกาลจบชีวิตลงอย่างมิรู้สาเหตุ ทันทีที่เห็นหน้าข้า ส่วนคนที่มิได้เห็นล้วนแล้วแต่รอดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงมิให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้พานพบข้าเลยสักครา ด้วยเกรงว่าทั้งสองพระองค์จะทรงมีอันเป็นไป แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ของข้าก็ไม่ทรงเชื่อคำเล่าลือเช่นนั้น” รับสั่งพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทอีกครา “พระองค์หมายความว่าอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะองค์ชายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” แทนถ้อยรับสั่งพระพักตร์พยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นการตอบรับ “แต่อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถได้พบกับเสด็จแม่เป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อตอนอายุห้าขวบ เสด็จแม่ของข้าไม่กลัวแม้กระทั่งความตายเพียงเพื่อต้องการพบหน้าข้าสักครั้งและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็น เพราะในที่สุดเสด็จแม่ก็พบจุดจบเหมือนกับทุกคน และนี่คือสาเหตุว่าเพราะอะไรข้าจึงถูกส่งตัวมาอยู่ที่ชายแดนตลอดกาล” รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหน้ากากสีเงินของพระองค์ที่ทรงสวมติดพระพักตร์มาโดยตลอด “นี่คือชะตากรรมของข้าที่สวรรค์กำหนด เพื่อปกป้องแคว้นฉินข้ายินดีที่จะอยู่ที่นี่ มิกลับเมืองหลวงตามพระบัญชาของเสด็จพ่อจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะข้าคือโอรสที่สวรรค์สาปให้มีใบหน้าพิฆาตผู้คนจนล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว!” รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ส่วนพระองค์เขม็ง “และเจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน!” รับสั่งสุรเสียงเย็นยะเยียบ “หา! อะ… องค์ชาย! ทรงมีรับสั่งเช่นนี้หมายความว่ากระหม่อมจะต้องตายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่กระหม่อมถอดหน้ากากองค์ชายออกจนถึงเวลานี้ ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย” องครักษ์หนุ่มพยายามกราบทูลอธิบาย “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สวรรค์สาปได้แม้แต่น้อย เหตุที่เจ้าอยู่ได้นานถึงตอนนี้ก็เพราะว่าข้าไม่ได้สติ แต่ในเวลานี้สติข้าหวนกลับคืนมาแล้ว เจ้าเองก็จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน” รับสั่งตอบกลับไป และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องค์รักษ์คนสนิทชะงักงันขึ้นมาทันที “บะ… บางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิเคยทอดพระเนตรพระพักตร์ว่าเป็นเยี่ยงไร ไม่ว่าจะในกระจกหรือภาพสะท้อนจากเงาน้ำ ทรงทราบหรือไม่ว่าพระพักตร์ขององค์ชายหาได้อัปลักษณ์ผิดรูปเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามทรงมากด้วยพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ” กราบทูลพลางรีบคว้าอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่กว่าครึ่งเพื่อให้องค์ชายของตนทอดพระเนตร “ไม่ต้อง!” สุรเสียงรับสั่งตวาดห้ามกลับไปทันที พระหัตถ์อันสั่นเทาเอื้อมไปหยิบหน้ากากสีเงินของพระองค์ขึ้นมาสวมปิดบังพระพักตร์อย่างรวดเร็ว พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งตอบกลับไป “ผู้อื่นเห็นใบหน้าข้ายังต้องล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว นับประสาอะไรกับตัวข้าเอง ก็เป็นแบบนั้นเช่นกันไม่แตกต่างแม้แต่น้อย ต้องตายทันทีที่ได้ยลโฉมของตนเอง และนี่คือเหตุผลที่ข้าต้องสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ไม่มีกระจกและไม่เพ่งพิศเงาในสายน้ำหลากแม้แต่ครั้งเดียว” เอื๊อก! องครักษ์หน้ามนกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อได้ยินและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ฉับพลันเสียงทหารรายงานข่าวดังขึ้นอยู่นอกกระโจม “รายงาน!!!” เสียงดังก้องอยู่หน้าประตูทางเข้า “เข้ามา!” องค์ชายหนุ่มรับสั่งอนุญาต ทันทีที่มีพระบัญชา ทหารรายงานข่าวรีบรุดเข้ามาภายในกระโจมที่ประทับทันที ร่างสันทัดทรุดกายลงนั่งคุกเข่า “กราบทูลองค์ชาย หมอหลวงพร้อมผู้ช่วยทั้งหมดบัดนี้ได้สูญสิ้นลมหายใจอย่างมิรู้สาเหตุเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บยังมีอีกเป็นจำนวนมากแต่ไร้สิ้นหมอทำการรักษา เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรดีต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกราบทูลของทหารคนดังกล่าว พระพักตร์ที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากส่ายไปมาติดๆ กัน พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรองครักษ์ที่นั่งอยู่กับพื้นข้างแท่นพระบรรทม “ฝังศพให้เรียบร้อย แล้วนำกองทหารไปตามหมอในแถบนี้มารักษาอาการบาดเจ็บของทหาร ส่งสาสน์ไปที่เมืองผิงหยางให้นำส่งหมอหลวงมาช่วยรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะยังไม่เคลื่อนทัพกลับจนกว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษา” “พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ทหารรายงานข่าวรับพระบัญชาอย่างแข็งขัน ก่อนจะสังเกตเห็นพระโลหิตไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลจนแดงฉานชุ่มโชกไปหมด “กระหม่อมได้ส่งสาสน์กลับไปทางเมืองหลวงเพื่อให้ฝ่าบาทจัดส่งหมอหลวงของราชสำนักมารักษาพระอาการขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าคงไม่เกินห้าวันก็น่าจะถึงแล้ว” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระ เนตรทหารรายงานข่าวเขม็ง “ไม่ได้รับคำสั่งจากข้า! เหตุใดจึงฝ่าฝืนส่งสาสน์ไปที่เมืองหลวงเช่นนั้น ต่อให้ข้าตายเสด็จพ่อก็ไม่ส่งหมอหลวงมารักษาข้าแม้แต่น้อย เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์!” รับสั่งตวาดก่อนจะหายใจหอบโยนด้วยทรงเจ็บปวดบาดแผลอย่างรุนแรง ท่ามกลางสายตาของทหารผู้ใกล้ชิด “พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นยิ่งนัก หมอหลวงที่ทำการรักษาก็เป็นผู้บอกเองว่าไม่สามารถทำให้ทุเลาลงได้ ต้องขอให้ทางราชสำนักส่งหมอหลวงฝีมือดีมารักษาพระอาการ ทรงเป็นถึงองค์ชายใหญ่เหตุใดฝ่าบาทจะทรงไม่เหลียวแล ทุกวันนี้แคว้นฉินแผ่ขยายอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้ ล้วนมาจากพระองค์ทรงเป็นผู้นำทัพทั้งสิ้น” องครักษ์คนสนิทอดไม่ได้ที่จะกราบทูลกลับไปหึหึหึหึ!!! เสียงพระสรวลเค้นออกมาเบาๆ ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น “องค์ชายใหญ่แล้วอย่างไรเล่า! ก็แค่ฐานันดรติดตัว ความเป็นจริงก็คือข้าคือโอรสที่ถูกเนรเทศให้มาอยู่ชายแดนตลอดกาล ไม่มีวันได้หวนคืนกลับสู่เมืองหลวงแต่อย่างใด” รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์สะบัดไปมาเพื่อไล่เหล่าทหารออกไปจากกระโจมที่ประทับ เมื่อทรงรู้สึกว่าอาการปวดแปลบบาดแผลเริ่มทวีรุนแรงมากยิ่งไปกว่าเดิม “พวกเจ้าออกไป! ข้าอยากพักแล้ว” รับสั่งพร้อมค่อยๆ เอนพระวรกายลงประทับบรรทม โดยมีองครักษ์คนสนิทรีบตรงปรี่เข้ามาประคองพระวรกายให้บรรทมลงบนฟูก ก่อนจะทรงมีรับสั่งถามกลับไป “เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียเถิด อย่าอยู่ใกล้ข้า มิเห็นหรือไรว่าจุดจบของบรรดาหมอหลวงเป็นเช่นไร แทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกหลายวันกว่านี้” องครักษ์คนดังกล่าวทำได้แต่เพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น “จะตายช้าหรือเร็วก็ต้องตายเช่นกัน กระหม่อมจะขอถวายการรับใช้องค์ชายอยู่ใกล้ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากแม้นต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะก่อนตายมีโอกาสคอยดูแลพระองค์จนถึงวาระสุดท้ายของกระหม่อม” องครักษ์คนสนิทกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตน องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรองครักษ์คู่พระทัย ผ่านหน้ากากสีเงินที่ปิดบังพระพักตร์ ครั้นทรงได้ยินคำตอบกลับมาเช่นนั้น มิมีผู้ใดได้เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ในเวลานี้เลยว่าทรงเป็นเช่นไร ทั้งสีพระพักตร์และสายพระเนตรแฝงเร้นความเศร้าหมอง ด้วยพระองค์ทำให้ผู้คนรอบข้างต้องพบจุดจบก่อนวัยอันควร คนที่สมควรตายกลับไม่ตายแต่คนที่ไม่ควรตายกลับจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน เหตุใดสวรรค์จึงลิขิตให้ต้องได้รับความทรมานเช่นนี้หนอ นับตั้งแต่จำความได้ พระองค์เจริญชันษาท่ามกลางความโดดเดี่ยว อ้างว้าง คนใกล้ตัวล้วนจากไปเพราะพานพบพระพักตร์ ไออุ่นจากพระบิดาและพระมารดามิเคยทรงได้รับ ซ้ำร้ายยังทรงเป็นที่น่ารังเกียจของราชวงศ์ ราชสำนักต่างกล่าวขานว่าพระองค์คือองค์ชายปีศาจของราชวงศ์ฉินที่จะนำหายนะมาสู่แว่นแคว้น หากขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นตามกฎมณเฑียรบาลที่สืบทอดต่อๆ กันมา แคว้นฉินจะต้องถึงคราวล่มสลายหากเจ้าผู้ครองแคว้นคือพระองค์ “ชีวิตของข้าในชาตินี้ถูกกำหนดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้รัก สิ้นเสน่หาและวาสนากับผู้ใด เพราะคนใกล้ตัวล้วนล้มตายไปจนหมดสิ้น หากแม้นเจ้าตั้งใจเช่นนั้นและไม่อาลัยชีวิตข้าก็มิขัด” รับสั่งกับองครักษ์คนสนิท “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์กราบทูลกลับไป ก่อนจะได้ยินองค์ชายของตนมีรับสั่งขึ้นมาอีกครา “ช่วงที่ข้าหมดสติได้ฝันแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นความฝันที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อน ราวกับว่าข้าได้ไปสถานที่ดังกล่าวนั้นจริงๆ ผู้คนมากมายอีกทั้งบ้านเมืองในแคว้นนั้นข้ามิเคยพานพบจากที่ใดในทั่วหล้านับตั้งแต่ยกทัพยึดดินแดนในผืนแผ่นดินนี้” รับสั่งด้วยความคลางแคลงพระทัยมิรู้วาย ถ้อยรับสั่งขององค์ชายหนุ่มทำให้องครักษ์คนสนิทที่กำลังนั่งฟังอยู่เงียบๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “อาจเป็นเพราะทรงมีไข้สูงจึงทำให้เกิดนิมิตแปลกประหลาดก็เป็นไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ ดูเอาเถิดแม้ในยามนี้ไข้ของพระองค์เหตุใดจึงมิบรรเทาเบาบางลงไปแต่อย่างใด” องครักษ์คนสนิทบ่นพึมพำ ในขณะที่องค์ชายอิ๋งหยางหาได้อาลัยแก่พระชนม์ชีพของพระองค์แต่อย่างใด ทรงปล่อยวางได้หากแม้นต้องเผชิญกับความตายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ “วาระสุดท้ายของข้าคงใกล้มาถึงแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป ข้าอยากทำอะไรบางอย่างเจ้าให้ทหารไปตามช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีมาพบข้า” องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “องค์ชายประสงค์จะทำเครื่องประดับให้กับผู้ใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” มิวายทูลถามกลับไปด้วยความสงสัย “ทำให้ข้า!” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหยุดไปชั่วขณะเมื่อบาดแผลจากลูกกระสุนในยุคอนาคตทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นยิ่งนัก “ข้าต้องการปิ่นหยก! ในฝันนั้นบอกว่าข้าคือเจ้าของปิ่นหยกที่อยู่ในความครอบครองของนาง” รับสั่งพึมพำสุรเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินในขณะที่องครักษ์คนสนิทพยายามจะฟังว่าองค์ชายของตนทรงมีรับสั่งเช่นไรแต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินไม่ชัดเจน
“จะ... เจ้าจงฟังข้าให้ดี หากข้าหลับไปและมิตื่นขึ้นมาอีกเลย จงให้ช่างเครื่องประดับทำปิ่นหยกและฝังไปพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของข้าเข้าใจที่บอกหรือไม่” รับสั่งกำชับพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ของพระองค์เขม็ง “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มขานรับพระบัญชาอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เข้าใจในถ้อยรับสั่งก็ตามแต่ก็มิอาจขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้ พระหัตถ์ค่อยๆ ยกขึ้นสัมผัสพระอุระที่ถูกปิดทับด้วยผ้าพันแผล แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรับรู้ถึงไอร้อนผ่าวจากพิษของบาดแผลที่กำลังระบมอย่างเห็นได้ชัด “แผลนี้ช่างทรมานข้าเสียนี่กระไร ใยจึงสร้างความเจ็บปวดถึงเพียงนี้นักเล่า เป็นอาวุธเช่นไรหนอจึงทำให้ทนทุกข์อย่างแสนสาหัสถึงเพียงนี้” รับสั่งพึมพำแผ่วเบา องครักษ์หนุ่มรีบนำผ้าที่อยู่ในอ่างน้ำบิดหมาดๆ พลางนำมาเช็ดพระวรกายเพื่อบรรเทาความร้อนจากพิษไข้ให้ทุเลาลงไปไม่มากก็น้อย “บาดแผลของพระองค์อักเสบรุนแรงยิ่งนัก หมอหลวงก็มิอาจตอบได้ว่าองค์ชายทรงถูกอาวุธชนิดใดทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ ภายในบริเวณนั้นหามีทหารต้าเหลียงหลงเหลืออยู่แม้แต่เพียงผู้เดียว มีเพียงพระองค์เท่านั้นอยู่เพียงลำพัง แต่เหตุใดจึงมีบาดแผลเช่นนี้บังเกิดขึ้นมาได้ช่างน่าแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก” ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางทรงได้ยินเช่นนั้น ภาพของสตรีสาวร่างระหง กำลังวิ่งตรงมาหาพระองค์ด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พร้อมเสียงดังกึกก้องไล่หลังตามมาติดๆ ปรากฏขึ้นในความทรงจำของพระองค์ขึ้นมาทันที “แผลนี้เกิดจากนาง... เกิดจากนางแน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเรื่องจริง!” สุรเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะหมดพระสติประทับบรรทมนิ่ง ท่ามกลางเสียงร้องเรียกขององครักษ์คนสนิท “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!”เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์ โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ย
บัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปั
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากั
เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะ
ตีห้าของเช้าวันใหม่ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแท
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เมืองหลวงหยง ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต
ในขณะเดียวกันฮั่นจง เมืองหน้าด่านชายแดนแคว้นฉิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกของรองแม่ทัพ บ่งบอกสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภายในเวลานี้ กำลังทหารที่กระจายไปทั่วบริเวณค่ายทหารและกระจายออกเป็นวงกว้างจนไปถึงฮั่นจง ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของชายแดนแคว้นฉิน ข่าวการหายตัวไปของแม่ทัพปีศาจผู้เลื่องลือไปทุกสารทิศ เริ่มจะปิดเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมา กำลังทหารกระจายค้นหาแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉินแทบพลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน หมุนเวียนสลับเวรผลัดเปลี่ยนกันค้นหาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของรองแม่ทัพคนสนิท จนมิยอมเอ่ยถ้อยเจรจาใดๆ ออกมาเลยตลอดระยะเวลาที่องค์ชายอิ๋งหยางทรงหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หากทรงไม่ปรากฏพระวรกายตลอดกาล ขวัญและกำลังใจของทหารมิเหลือสิ้นเป็นแน่แท้ ท่ามกลางคบไฟที่กำลังเริ่มจุดให้แสงสว่างขึ้นมาอีกครา เมื่อแสงแห่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก้าวเข้าสู่เวลาแห่งรัตติกาลมาเยือน ท้องฟ้าสีครามเบื้องบนเริ่มสลัว ความมืดเริ่มคืบคลานปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเอง “ท่านรองแม่ทัพ!” เสียงทหารรักษาการณ์ดังขึ้นพร้อมก้าวเดินนำหน้
ยุคอดีต “อันอัน!!!” สุรเสียงรับสั่งชื่อเล่นสตรีที่ช่วยชีวิตพระองค์ พร้อมพระหัตถ์ยื่นออกไปราวกับว่าพยายามจะไขว่คว้านางมีอันต้องหยุดชะงักโดยพลัน ห้องพักในยุคอนาคตค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นภายในกระโจมที่ประทับเข้ามาแทนที่ พระหัตถ์ยังคงยกค้างอยู่เช่นนั้นโดยที่องค์ชายหนุ่มมิทรงขยับพระวรกายเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย พระเนตรนิลกาฬจับจ้องอยู่แต่ทิศทางซึ่งตรงกับประตูห้องพักในโลกอนาคตอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ก่อนจะรู้สึกพระองค์เมื่อทรงได้ยินเสียงของเหล่าทหารดังอยู่นอกกระโจม “รีบเข้าไปในกระโจมเร็วเข้า! ได้ยินเสียงท่านรองแม่ทัพเรียกองค์ชายใหญ่เอ็ดอึงไปหมด” สิ้นเสียงพูดคุย ทหารชั้นนายกองจำนวนหลายนายเปิดผ้ากระโจมซึ่งปิดประตูทางเข้าออกอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าดีใจมากมายยิ่งนัก “องค์ชายใหญ่เสด็จกลับมาแล้ว! พระองค์ทรงหายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านายกองต่างพากันส่งเสียงเอ็ดอึงเป็นการใหญ่ ก่อนจะพากันยืนแปลกใจไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างของรองแม่ทัพยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น “ท่านรองแม่ทัพ! เหตุไฉนจึงยืนนิ่งราวกับหินเช่นนี้… หรือว่า!!!” นายกองแต่ละนายหันกลับมามองหน้ากันทันที ทุกสายตาเหลือบไปเห
ถ้อยคำของท่านผู้เฒ่าทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกทึ่งในความรู้ความสามารถของหยงเซี๊ยะอย่างยิ่งยวด และเธอเพิ่งจะล่วงรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ตนเองเกิดดวงพิฆาตเช่นเดียวกับองค์ชายปีศาจ หญิงสาวหันกลับไปมองคนที่กำลังนั่งรอคอยอยู่บนเรือที่กำลังมองเธออยู่ในขณะนี้เช่นกัน “หรือนี่คือเหตุผลที่เราได้กลับมาอีกครั้ง” หญิงสาวรำพึงออกมาเบาๆ “เจ้ารีบไปนำองค์ชายเข้าบ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าใครจะตายต่อไปอีกแล้วเพราะตอนนี้เจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้เจ้าและได้พานพบหน้าองค์ชายก็ไม่ต้องตายอีกต่อไปแล้ว” หยงอู่บอกหลานสาว จางเพ่ยอันยืนฟังด้วยความสงบแต่ถึงกระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ “แสดงว่าข้ากับท่านแม่ทัพที่เกิดดวงพิฆาตทั้งคู่ มาอยู่ด้วยกันเช่นนี้เป็นผลดีกับคนรอบข้างด้วยหรือท่านตา” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้ “เป็นผลดีอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายลงไปโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่พบหน้าองค์ชายผู้นั้น และตัวเจ้าเองก็อยู่กับผู้ใดเนิ่นนานกว่าครึ่งเหมันต์ไม่ได้เพราะจะทำให้คนรอบข้างพบแต่ความหายนะ ครานี้มิมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าทั้งสองยังคงอยู่ด้วยกันและคว
ทันทีที่องค์ชายปีศาจได้ยินถ้อยคำของชายชราตะโกนกลับมาเช่นนั้น พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรสองผู้เฒ่าทันทีด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัย ในขณะที่อีกฝ่ายรีบดึงร่างฮูหยินของตนหันหลังกลับไม่ยอมมองพระพักตร์ของพระองค์เช่นกัน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมข้าจึงได้ยินเรื่องเช่นนี้ ใบหน้าของข้าต้องสาปอย่างนั้นหรอกรึ” รับสั่งด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหนุ่มน้อยตรงพระพักตร์ที่กำลังนั่งนิ่งงันด้วยความตื่นตระหนกในสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับรู้และได้เห็น สองมือยังคงจับพระพักตร์ของพระองค์อยู่เช่นนั้น “น้องชาย! เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงเงียบงันและนิ่งเฉยเช่นนี้ อีกทั้งท่านตาของเจ้ายังบอกว่าข้าเป็นผู้ถูกสวรรค์สาป ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายทุกคนเป็นเช่นนั้นจริงรึ!” ครั้นจางเพ่ยอันได้ยินรับสั่งขององค์ชายปีศาจเช่นนั้น อาการตื่นตระหนกที่ได้เห็นภาพในอดีตของพระองค์และถ้อยรับสั่งที่ถามกลับมา ทำให้หญิงสาวฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน “ผู้ใดเห็นหน้าต้องตายโดยพลันทันทีที่พานพบ ตำนานโบราณบันทึกเอาไว้แบบนั้น ที่เราเห็นภาพเมื่อกี้มันก็ใช่ ละ… แล้ว... ทำไมฉันเห็นหน้าเขาแล้วยังอยู่อีกล่ะ... เฮ้ย!… เป็นไปได้ยังไง! ทำไมถึงยังไม่ตาย!!!”
เสียงหัวเราะดั่งเช่นบุรุษแผดดังกึกก้องและถ้อยเจรจาของจางเพ่ยอัน ทำให้สองผู้เฒ่ารู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น รวมไปถึงองค์ชายปีศาจก็ด้วยเช่นกัน “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวว่าสวรรค์เข้าข้าง มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึอันอัน!!!” หยงอู่ตะโกนถามหลานสาวกลับไป และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอรีบกลบเกลื่อนอาการดีใจของตัวเองให้เลือนหายไปโดยพลัน ด้วยสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นมิสามารถบอกกับผู้ใดได้ ว่าเธอต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าคือเจ้าผู้ครองแคว้นอันยิ่งใหญ่สืบต่อไป และนั่นจะทำให้หญิงสาวสามารถบันทึกเรื่องราวของพระองค์เอาไว้ได้ ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใดในประวัติศาสตร์ที่ถูกหลงลืม หรือแท้จริงแล้วพระองค์คือบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกแต่มีการเรียกขานพระนามผิดเพี้ยนไปจากเดิมนั่นเองความดีใจมิได้เกิดขึ้นเพราะอยากใกล้ชิดบุรุษหล่อเหลาแต่ดีใจเพราะจะได้ศึกษาและล่วงรู้รายละเอียดทุกอย่างของคนตรงหน้าในขณะนี้นั่นเอง หญิงสาวค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานส่งให้องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นฉิน พร้อมยกมือเรียวตบลงบนบ่ากว้างของพระองค์พรึบ!!!! ทันทีที่มือเรียวสวยของเ
ณ บ้านน้อยริมลำธาร“ท่านตา! ท่านยาย! ข้ากลับมาแล้ว!!!” เสียงตะโกนก้องดังอยู่ริมฝั่งไม่ห่างจากบ้านน้อยเท่าใดนัก ร่างระหงของหญิงสาวในคราบบุรุษถอดหน้ากากหนังสีดำออกจากใบหน้าของเธอทันทีที่เรือเข้าเทียบท่าอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาเย็นย่ำซึ่งเป็นตามกำหนดระยะเวลาของเธอที่ให้ไว้กับท่านผู้เฒ่าทั้งสอง พร้อมโบกมือไปมาตามนิสัยของเธอด้วยความร่าเริงเพียงครู่ฮูหยินฉางค่อยๆ เดินออกมาจากตัวบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อล่วงรู้ว่าหลานสาวคนสวยของนางกลับถึงบ้านน้อยกลางเขาด้วยความปลอดภัย“อันอันมาแล้ว! ท่านตาของเจ้าเพิ่งจะเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้เอง... โอ๊ย! ดีใจจริงๆ จะได้หมดห่วงเสียที คืนนี้ตากับยายจะได้นอนหลับสนิทเสียทีแม่คุณของยาย” ฮูหยินฉางกล่าวพลางตรงเข้าสวมกอดร่างอรชรซึ่งอยู่ในคราบของบุรุษเอาไว้แนบอกด้วยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะเหลือบไปเห็นข้าวของมากมายเต็มลำเรือด้วยความตื่นตระหนกมากกว่าความดีใจเสียมากกว่า“อันอัน! เจ้าไปเอาข้าวของพวกนี้มาจากไหน เหตุใดจึงมากมายเช่นนี้ แล้วคนเรือที่จ้างเอาไว้ไปอยู่เสียที่ใดกันเล่า ใยจึงเห็นเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้” ฮูหยินฉางถามกลับไปแทบจะไม่ได้หายใจ ในขณะ
เหวอ!!!! เสียงอุทานดังลั่นอย่างตื่นตระหนกออกมาโดยพลันฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!! เสียงแหวกว่ายคล้ายอาวุธพุ่งตรงมาจากริมฝั่งแม่น้ำอย่างไม่คาดฝันฉึก ฉึก ฉึก ฉึก!!! ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงหมายปักเข้าที่ร่างของบุรุษที่กำลังวิ่งหนีจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อมิให้ฝูงลูกธนูเสียบไปทั่วกายทว่าลูกธนูบางส่วนกลับเล็ดลอดพุ่งตรงมายังลำเรือซึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่ในขณะนั้นฉึก! ฉึก! ฉึก! ลูกธนูพุ่งตรงปักเข้าที่หน้าอกของคนเรือถึงสามดอกเลยทีเดียว จนผงะถอยหลังต่อหน้าต่อตาของหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งตกตะลึงที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างไม่คาดฝันตูม!!! ร่างของคนเรือที่ถูกลูกธนูปักจนผงะถอยหลังร่วงหล่นไปจากเรืออย่างรวดเร็ว“ท่านลุง!!!” จางเพ่ยอันตะโกนร้องเรียกคนเรือจนสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีดและนั่นทำให้บุรุษที่กำลังโดนตามล่าหันกลับมามองเรือลำน้อยที่กำลังลอยลำอยู่กลางแม่น้ำในขณะนั้นทันที ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยละลิ่วมุ่งตรงไปที่เรือดังกล่าวอย่างรวดเร็วตุบ!!! ร่างสูงใหญ่ยืนจังก้าค้ำศีรษะอยู่ตรงหน้าของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความตกตะลึงของหญิงสาว“เฮ้ย! อะไรกันนี่! เป็นท่านอ
ทันใดนั้นเองสายพระเนตรเหลือบไปกระทบกับกลุ่มคนที่คอยติดตามองค์ชายปีศาจและองครักษ์ซึ่งคอยถวายอารักขาพระองค์เพียงแค่สองนาย ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านั้นเพียรเฝ้าหาโอกาสหมายกำจัดองค์ชายใหญ่ให้สิ้นพระชนม์ตามที่ได้รับคำสั่ง ในขณะที่จางเพ่ยอันอาศัยจังหวะที่ตัวเล็กและบอบบาง รีบเดินหลบฉากเข้าไปปะปนกับชาวบ้านที่เริ่มเดินหนาแน่นแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้เธอคลาดสายพระเนตรจากองค์ชายอิ๋งหยางไปโดยพลัน ครั้นทรงหันกลับมาทอดพระเนตรอีกครา บุรุษร่างเล็กพลันเลือนหายไปในเหล่าฝูงชน“หายไปแล้ว!” รับสั่งออกมาทันที“องค์ชายพวกนั้นตามมาทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เฝ้าคอยตามเสด็จรีบกราบทูลรายงานทันใด“รู้แล้ว! พวกเจ้าพากันแยกย้ายออกค้นหาเด็กหนุ่มที่ข้าคุยด้วยเมื่อสักครู่ ไม่ว่ายังไงก็ตามจับตัวมาให้ได้!” รับสั่งกำชับ“แต่พระองค์จะทรงอยู่เพียงลำพังนะพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมออกแยกย้ายพากันค้นหาเด็กหนุ่มผู้นั้นตามพระบัญชา” องครักษ์ผู้ติดตามกราบทูลถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงพระพักตร์ภายใต้หน้ากากหนังสีดำหันกลับมาทอดพระเนตรองครักษ์ทั้งสองทันที“ไป! นักฆ่ากระจอกเหล่านั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! รีบไปจับเด็กห
“เจ้ารู้จักชื่อของข้า!” รับสั่งถามกลับไปพร้อมสายพระเนตรลุกโชนวาววับอย่างน่าสะพรึงกลัวพระหัตถ์หนาอีกข้างหมายพระทัยตรงเข้าบีบลำคอเล็กๆ ของบุรุษตรงพระพักตร์เหวอออ!!! จางเพ่ยอันซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้ารีบทิ้งพระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์อย่างรวดเร็ว“ท่านจะบีบคอข้าทำไม ข้ารู้ทันหรอกนะ!” หญิงสาวโวยวายต่อว่ากลับไปทันทีพร้อมยกมือของเธอจับลำคอของตัวเองเอาไว้มิให้ถูกบีบ ท่ามกลางความแปลกพระทัยขององค์ชายปีศาจ บุรุษร่างเล็กตรงพระพักตร์เหตุใดจึงล่วงรู้ว่าพระองค์ทรงหมายจะทำสิ่งใด“ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าข้าหมายใจว่าจะทำเช่นนั้นกับเจ้า!” รับสั่งถามกลับไปทันทีพลางทอดพระเนตรเขม็ง“ข้าล่วงรู้ก็แล้วกัน! แต่ท่านสบายใจได้ปากของข้าไม่มีทางที่จะหาความตายใส่ตัวเองหรอกถ้าคิดอยากจะอยู่ต่อไปก็ต้องรูดซิปปากตัวเองให้สนิท” หญิงสาวพูดพลางทำท่าเอามือลากตรงมุมริมฝีปากอีกข้างไปยังอีกข้างประกอบให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร“รูดซิปปาก!” รับสั่งทวนประโยคของหญิงสาวก่อนจะเดาเอาเองตามความคาดเดาของพระองค์“ถ้าข้าจะเดาความหมายของเจ้าคงหมายถึงปิดปากใช่หรือไม่” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้“ตามนั้น! ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว” จางเพ่ยอ
ในขณะเดียวกันยุคปัจจุบันนครซีอาน ณ โรงพยาบาลเกาซินร่างอรชรของหญิงสาวในวัยเพียงยี่สิบเอ็ดปี นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ โดยมีเครื่องวัดความดันและท่อนำส่งอาหารหล่อเลี้ยงร่างกายที่นอนหมดสติมานานกว่าหนึ่งเดือน ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทำให้สาวน้อยจางเพ่ยอัน อยู่ในสภาพไม่ตายก็เหมือนตายหรือทางการแพทย์เรียกว่าสภาพผัก ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยที่เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาว ต่างพากันยืนมองร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในขณะนั้น ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอย่างยิ่งยวด “หัวหน้าไปพบคุณหมอเจ้าของไข้แล้วเป็นยังไงบ้างคะ อันอันมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไหม และเมื่อไรจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็เดือนกว่าเข้าไปแล้วที่อยู่ในสภาพแบบนี้” เพื่อนร่วมงานของแม่สาวน้อยเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เฮ้อ! เสียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จากสตรีสาวใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้างานดังออกมาทันที “ความหวังว่าจะหายหรือกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมไม่มีใครตอบได้หรอกแม้กระทั่งหมอเจ้าของไข้ก็ตอบไม่ได้ อันอันหัวใจล้มเหลวและหยุดเต้นไปนาน เธอตายไปแล้วตอนรถฉุกเฉินมาถึง แต่พอถูกปั้มหัวใจจนกลับมาหายใจได้อีกครั้งจะว่าโชคร
เมืองหลวงหยงเมืองหลวงใหญ่แห่งแคว้นฉินอันรุ่งเรืองในเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลาย ที่ทยอยเข้ามาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ จากอดีตซึ่งเคยเป็นเพียงแคว้นนอกสายตา ห่างไกลและมีพื้นที่ส่วนใหญ่ทุรกันดาร ชาวแคว้นฉินเป็นเพียงกลุ่มคนเร่ร่อน ดำรงอยู่ได้ด้วยการเลี้ยงสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นนักต่อสู้และมีน้ำอดน้ำทนสูง สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้ทุกข์สภาวะ ทว่าเพียงไม่กี่ร้อยปีจากแคว้นเล็กๆ กลับยิ่งใหญ่และขยายอาณาเขตครอบครองดินแดนแถบตะวันตกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ได้ทำสงครามปราบชนเผ่าชวนหรงซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาอย่างยาวนานได้อย่างราบคาบและบุกตีดินแดนเล็กๆ รวมไปถึงแคว้นใหญ่ในยุคนั้นได้เป็นผลสำเร็จมากมาย ขยายอำนาจออกไปจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแคว้นใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงในขณะนั้น และจางเพ่ยอัน ดวงวิญญาณของหญิงสาวในยุคอนาคต จากปีคริสต์ศักราช 2018 ได้หวนคืนกลับมาในยุคอดีตกาลและที่สำคัญเป็นยุคในอดีตชาติของเธอที่เคยถือกำเนิดมาแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งเธอเป็นถึงบุตรสาวฝาแฝดของอัครเสนาบดีจางฟง และมีชื่อแซ่ในชาตินี้ว่าจางเพ่ยอัน เช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน ทว่าในชาติอดีต