ร่างระหงของหญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะล่าถอยออกจากห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน โดยมีสายตาของผู้สูงวัยกว่ามองตามหลังด้วยความเอ็นดูนาง
ครั้นถึงโต๊ะทำงานส่วนตัว จางเพ่ยอันวางถาดที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาคู่สวยหันกลับไปมองภาพถ่ายของพ่อและแม่ที่จากไปเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำตั้งแต่หญิงสาวมีอายุเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น พ่อและแม่ของเธอต่างเป็นลูกโทนด้วยกันทั้งคู่ ญาติมิตรล้วนล้มหายตายจากไปหมด ที่มีอยู่ก็เพียงแค่ญาติห่างไกลลิบลิ่ว ไม่มีความสามารถที่จะอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยมีฐานะยากจนและอยู่ในชนบท หญิงสาวจึงถูกเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด บ่อยครั้งที่มีผู้อุปการะนำไปเลี้ยง ทว่าแต่ละรายเลี้ยงจางเพ่ยอันได้ไม่ถึงปี ถ้าไม่ตายยกครัวก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องนำกลับมาคืนสถานรับเลี้ยงเด็กตามเดิม ซึ่งต่างพากันพูดปากต่อปากว่า วันเดือนปีเกิดของสาวน้อยคนงามเป็นดวงพิฆาตหากแม้นอยู่ร่วมกับผู้ใด คนใกล้ตัวจะต้องมีอันเป็นไปและเป็นเช่นนี้ทุกครอบครัว และนี่เป็นสาเหตุทำให้หญิงสาวเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด จนกระทั่งอายุสิบแปดปี พ้นวัยเยาวชนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตามกฎหมาย จางเพ่ยอันจึงออกมาเผชิญชีวิตอยู่เพียงลำพังนับตั้งแต่นั้นมา ทำงานหาเลี้ยงตัวเองและเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไปด้วยพร้อมกัน จนกระทั่งสามารถเรียนจบคณะประวัติศาสตร์ เกรียตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและเป็นนักเรียนทุนของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด ซึ่งหญิงสาวยังได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาโทและกำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ควบคู่ไปกับการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัย ซึ่งต้องทดลองงานนานถึงหนึ่งปี แต่หญิงสาวกลับได้รับการบรรจุเข้าทำงานภายในระยะเวลาเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น พร้อมกับเงินเดือนประจำหกพันสามร้อยยี่สิบหยวนต่อเดือน และสวัสดิการมากมายที่รัฐมอบให้ในฐานะที่เธอเป็นบุคลากรของรัฐนั่นเอง มือน้อยเรียวสวยเอื้อมหยิบภาพถ่ายของพ่อและแม่มากอดเอาไว้แนบอกด้วยความรักและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ “พ่อขาแม่ขา อันอันทำได้แล้ว ตอนนี้หนูได้บรรจุเข้าทำงานในพิพิธภัณฑ์เป็นนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยเหมือนพ่อกับแม่แล้วนะคะ พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวของหนูไหม” หญิงสาวพึมพำบอกพ่อแม่ของเธอในรูปภาพก่อนจะยกขึ้นหอมด้วยความชื่นใจพลางวางลงบนโต๊ะดั่งเดิม มือเรียวดึงถาดที่มีห่อผ้าขาวพร้อมคลี่ออกอย่างรวดเร็ว เพื่อลงมือทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมา ทันทีที่ห่อผ้าดังกล่าวถูกเปิดออก ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน เมื่อตรงหน้าของเธอคือปิ่นหยกโบราณ แกะสลักลายมังกรตรงส่วนหัวเห็นได้อย่างชัดเจน นิ้วเรียวสวยค่อยๆ เอื้อมมือหยิบปิ่นโบราณ และทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกตัวปิ่น ฉับพลันภาพเลือนรางปรากฏขึ้นให้เธอได้เห็นขึ้นมาโดยพลัน ร่างบุรุษในอาภรณ์เลอค่าสูงใหญ่ตระหง่านค่อยๆ บรรจงปักปิ่นที่แกะสลักเป็นลายหงส์ลงบนมวยผมของสตรีสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งปิ่นหนึ่งต่างหู ของคู่เคียงแทนใจข้า อยู่แนบชิดกายเจ้าตราบสิ้นชั่วฟ้าดิน" เสียงทุ้มก้องกังวานพร่ำบอกโฉมตรูซึ่งเป็นนางในดวงใจ “หนึ่งปิ่นหนึ่งหัวใจจากข้า ขอมอบให้ท่านดูแลตราบสิ้นชีพชีวาวาย” สตรีสาวสูงศักดิ์ตอบกลับไปพร้อมมอบปิ่นแกะสลักลวดลายมังกรในมือของนางมอบให้คนรัก ร่างสูงใหญ่ทะมึนโน้มกายลงเพื่อให้คนรักปักปิ่นดังกล่าวด้วยมือของนางเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างยิ่งยวด “อันอัน!” เสียงเรียกของเพื่อนร่วมงานดังขึ้น พรึบ! ภาพเลือนรางที่มองไม่เห็นใบหน้าบุรุษและสตรีซึ่งเป็นคนในสมัยโบราณดับวูบลงไปทันที “ไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ เที่ยงแล้ว” เพื่อนร่วมงานเอ่ยปากชวน หญิงสาวสะบัดศีรษะของตัวเองไปมา พร้อมค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอเมื่อจู่ๆ ก็เห็นภาพประหลาดเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต “ไปกินกันเถอะ วันนี้ฉันห่อข้าวมาด้วย อีกอย่างหัวหน้าเพิ่งมอบงานใหม่มาให้ทำ ฉันขอดูก่อนว่าจะต้องเริ่มค้นคว้าจากตรงไหนก่อนดี” หญิงสาวปฏิเสธเพื่อนร่วมงานอย่างนุ่มนวล “ตามใจเธอเถอะย่ะ อย่าหักโหมมากก็แล้วกัน เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก” เพื่อนร่วมงานกล่าวเตือนพลางหันหลังกลับก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ่อ! เธอยังรับดูดวงและทำนายโชคชะตาอยู่หรือเปล่าแม่ซินแสคนดัง” เพื่อนร่วมงานถามกลับมา หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันก็ยังรับดูดวงอยู่ตลอดนั่นแหละ เลิกงานจากที่นี่ก็ไปเปิดร้านรับดูดวงทุกวัน ถ้าไม่มีอาชีพนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าจิปาถะได้เล่า” จางเพ่ยอันตอบกลับไป เพื่อนร่วมงานฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจครั้นได้ยินเช่นนั้น “ดีเลยเดี๋ยวช่วงค่ำๆ จะไปที่ร้านเธอให้ดูดวงญาติผู้พี่ของฉันเสียหน่อย เผื่อจะได้มีทางแก้ไขได้… ว่าแต่ดูฟรีได้ไหม” หญิงสาวส่งยิ้มกลับไปอย่างเย็นยะเยือก ดวงตาหวานลุกวาววับขึ้นมาทันทีเมื่อเจอการต่อราคาสุดหฤโหดเช่นนั้น “ฉันใช้พลังเยอะนะยะที่จะต้องดูดวงโชคชะตาให้ ของแบบนี้ต้องทุ่มเทและเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ เอาเป็นว่าราคาไม่ลดร้อยห้าสิบหยวนเหมือนเดิม แต่ให้ถามได้สามข้อ เป็นยังไง แค่นี้พอใจไหม” “ว้าว! แม่หมออันอันใจดีให้ถามได้สามข้อเสียด้วย แล้วเจอกันค่ำๆ นะ ฉันจะพาญาติผู้พี่ไปดูดวงกับเธอ” เพื่อนร่วมงานกล่าวพร้อมใช้มือตบลงบนบ่าของหญิงสาว จางเพ่ยอันส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปพลางมองตามหลังเพื่อนร่วมงาน “คำถามละร้อยห้าสิบหยวน ให้ถามฟรีตั้งสามข้อฉันต่างหากสิยะที่ขาดทุนแทนที่จะได้เงินสี่ร้อยห้าสิบหยวนกลับได้แค่นั้น” แม่สาวน้อยบ่นรำพึงรำพัน เมื่องานพิเศษของเธอคือการเป็นหมอดู คอยดูดวงและทำนายโชคชะตารวมไปถึงการจัดวางฮวงจุ้ยในทำเลมงคล ซึ่งเป็นพรสวรรค์ส่วนตัวของหญิงสาวที่มีมาตั้งแต่กำเนิด จางเพ่ยอันมีญาณสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์ในอดีตและอนาคตได้ และก็นำมาใช้ประโยชน์เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตัวเองตั้งแต่ออกมาเผชิญโลกอยู่ตามลำพัง ทว่าการดูดวงของเธอก็อยู่ภายใต้ขอบเขต ช่วยได้ บรรเทาได้ แต่ไม่ฝืนกฎเกณฑ์ของโชคชะตาและลิขิตของสวรรค์เบื้องบน เพราะจางเพ่ยอันมีกฎเหล็กที่ลูกค้าประจำต่างล่วงรู้กันดี และราคาไม่เคยปรับขึ้นยังคงราคาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นอกเสียจากลูกค้าจะมอบสินน้ำใจให้เอง จึงทำให้หญิงสาวมีลูกค้าประจำมาใช้บริการมากมาย เป็นอาชีพเสริมที่ทำรายได้ให้อย่างงดงาม บางเดือนมีรายรับหลายหมื่นหยวนเลยทีเดียว ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างสบายกว่าเดิมยิ่งนักหญิงสาวค่อยๆ หันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่เพิ่งขุดพบจากสุสานแห่งใหม่ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด เธอยกมือขึ้นเท้าคางกับขอบโต๊ะเมื่อได้เห็นภาพที่จู่ๆ ปรากฏขึ้นมา ว่ามีปิ่นหยกสองอัน ในมือของจางเพ่ยอันขณะนี้คือปิ่นหยกแกะสลักลวดลายมังกรเป็นของบุรุษ ส่วนของสตรีสาวคนรักของเขาเป็นปิ่นหยกแกะสลักลายหงส์ เหตุใดหนอหญิงสาวจึงเห็นภาพเจ้าของปิ่นหยกโบราณชิ้นนี้ขึ้นมาได้ “ปิ่นหยกอันนี้มีเจ้าของ แถมมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่โบราณเลยทีเดียว เสียดายที่เห็นภาพไม่ชัดก็เลยไม่รู้ว่าเป็นของคนในยุคไหน มีหน้าตาเป็นยังไงบ้าง อยากรู้เหมือนกันว่าคนในสมัยโบราณจะมีหน้าตาแบบไหน ถ้าเหมือนในภาพวาดของจิตรกรขี้เหร่ตายชัก สงสัยปิ่นหยกอันนี้ท่าทางน่าจะอยู่ช่วงก่อนราชวงศ์ฉินเสียแล้วกระมัง” หญิงสาวพึมพำพร้อมยกปิ่นโบราณตรงหน้าขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง “ปิ่นนี้เป็นของข้า!” เสียงปริศนาดังขึ้นอยู่ด้านหลังของเธอ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังหมุนปิ่นหยกไปมา เพื่อสำรวจอย่างละเอียด “เฮ้ย! จู่ๆ จะมาบอกว่าเป็นของใครกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะคุณ ปิ่นหยกอันนี้เป็นของโบราณที่เพิ่งขุดค้นพบในสุสาน” เธอตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะเอะใจเมื่อคำถามที่เพิ่งได้ยินนั้นช่างโบราณเสียนี่กระไร หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน พร้อมดวงตาคู่สวยมองตรงไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งยังไม่ได้เปิดทำงาน กำลังสะท้อนภาพร่างบุรุษสูงใหญ่ในชุดเกราะแม่ทัพยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ แกร๊ง! ปิ่นหยกที่อยู่ในมือตกลงบนโต๊ะทำงานทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเธอเห็นบุรุษในชุดเกราะโบราณระดับแม่ทัพยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดมิเห็นโฉมหน้าอันแท้จริงแม้แต่น้อย ภายในมือถือดาบง้าวขนาดใหญ่ใบมีดคมกริบวาววับ ยืนมองเธอผ่านหน้ากากดังกล่าวดวงตาไม่กะพริบ “เจ้าเป็นผู้ใด! ใยจึงมีปิ่นของข้าไว้ในครอบครอง!” บุรุษภายใต้หน้า กากสีเงินเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลกลับมา “หา!” จางเพ่ยอันอุทานออกมาโดยพลัน ดวงตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาไม่กะพริบ
“อันอันเข้ามาในห้องหน่อย!” เสียงหัวหน้างานดังขึ้นอยู่ห้องทำงานส่วนตัว ร่างบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพหันกลับมามองหัวหน้างานของหญิงสาวเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอดั่งเดิม พรึบ! ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา “เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันใด มือน้อยๆ ยกขึ้นจับหน้าอกของตัวเองพร้อมตบลงเบาๆ เป็นการเรียกขวัญของเธอให้กลับคืนมาโดยพลันพลางกลืนน้ำลายลงคอ “มาให้เห็นกลางวันแสกๆ เลยหรือนี่ ผีหวงของชัดๆ” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าหวานสวยของเธอพลางสูดลมหายใจเข้าปอด “มาแล้วค่ะหัวหน้า” หญิงสาวรีบขานรับตอบกลับไป ร่างระหงรีบลุกจากเก้าอี้ทำงานหากแต่ก่อนไปก็ไม่วายที่จะหันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพิศวงอย่างยิ่งยวด เมื่อเพิ่งได้พานพบกับเจ้าของปิ่นหยกดังกล่าวอย่างไม่คาดฝัน ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเตรียมตัวออกพื้นที่ไปร่วมตรวจสอบกับทีมงานที่เพิ่งขุดค้นสุสานใหม่ด้วยนะอันอัน ข้อมูลของวัตถุโบราณที่เพิ่งให้ไปนำส่งก่อนจะออกเดินทางด้วยนะ” หัวหน้าสาวรุ่นใหญ่บอกกับเธอก่อนจะหยุดชะงักเม
หมอหลวงและผู้ช่วยยังไม่ตายอย่างนั้นหรอกรึ!” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยเป็นยิ่งนัก ก่อนจะทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทที่ยังคงนั่งมองพระองค์ตาไม่กะพริบด้วยความแปลกใจมิรู้วาย “จริงสิ! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าข้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะตายทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของข้า” และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องครักษ์คนดังกล่าวถึงกับเงยหน้ามององค์ชายของตนทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “เหตุใดจึงทรงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ” เสียงนั้นกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดก่อนจะเค้นเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ทรงได้รับนับตั้งแต่แรกประสูติออกจากพระครรภ์มารดา “เมื่อแรกประสูติ ทุกคนที่อยู่ในห้องพระประสูติกาลจบชีวิตลงอย่างมิรู้สาเหตุ ทันทีที่เห็นหน้าข้า ส่วนคนที่มิได้เห็นล้วนแล้วแต่รอดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงมิให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้พานพบข้าเลยสักครา ด้วยเกรงว่าทั้งสองพระองค์จะทรงมีอันเป็นไป แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ของข้าก็ไม่ทรงเชื่อคำเล่าลือเช่นนั้น” รับสั่งพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทอีกครา “พร
เคฟคอร์ทยาร์ด โฮมสเตย์ โฮมสเตย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตหลินถง ใกล้สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีอาคารย้อนยุคก่อสร้างตามอาคารบ้านเรือนในยุคสมัยราชวงศ์ถัง ทุกอาคารมีชั้นเดียวและถ่ายเทอากาศได้ดี ท่ามกลางสวนหย่อมจัดวางตามลักษณะฮวงจุ้ยได้อย่างลงตัวและสวยงาม “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!” เสียงเรียกขานเอ็ดอึงเต็มไปด้วยความโกลาหลขึ้นมาอีกครา ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวยเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงติดต่อกัน เมื่อหูของเธอได้ยินเสียงเรียกขานดังกล่าวอย่างชัดเจน ในยามนี้จางเพ่ยอัน กำลังนอนพักผ่อนในโฮมสเตย์ดังกล่าวซึ่งใกล้สถานที่ขุดพบสุสานแห่งใหม่เป็นการชั่วคราว ก่อนจะเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เธอและทีมงานจากศูนย์วิจัยเดินทางมาถึงบริเวณที่ขุดพบสุสานก็ปาเข้าไปเย็นย่ำแล้ว จึงต้องแวะพักผ่อนเอาแรงในเขตเมืองของซีอานเพื่อเตรียมตัวเดินทางออกนอกเมืองลุยงานในวันรุ่งขึ้น ใบหน้าส่ายไปมาเมื่อเสียงเอ็ดอึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอยู่ใกล้เพียงแค่ห้องพักติดกันนี่เอง พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาทันใด ดวงตาจ้องเพดานด้านบนเขม็งอยู่เพียงครู่ พร้อมกับร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอได้ย
บัดนี้องค์ชายอิ๋งหยางแห่งแคว้นฉิน ทรงมาปรากฏพระวรกายอยู่บนเตียงนอนของจางเพ่ยอันภายในโฮมสเตย์ที่พักในเขตเมืองซีอาน ด้วยเพราะสถานที่ดังกล่าวในยุคอนาคตถูกสร้างขึ้นตรงกับบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายกองทัพของแคว้นฉินในยุคโบราณ กระโจมที่ประทับของแม่ทัพใหญ่องค์ชายอิ๋งหยาง ก็ตั้งตรงกับห้องพักของจางเพ่ยอัน รวมไปถึงเตียงนอนในห้องพักก็ตั้งตรงกับแท่นพระบรรทมขององค์ชายหนุ่มในยุคอดีตเข้าให้พอดีอย่างไม่คาดคิด และสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ชายแห่งแคว้นฉินในอดีตกาลสามารถปรากฏพระวรกายในยุคอนาคตได้ นั่นก็เพราะวันประสูติของพระองค์เป็นดาวพิฆาต ซึ่งสามพันปีจะปรากฏเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในขณะที่จางเพ่ยอันก็มีวันเดือนปีเกิดตกดาวพิฆาตเช่นเดียวกัน ซึ่งทิ้งช่วงระยะเวลาครบสามพันปีเข้าให้พอดี หากแต่แตกต่างตรงที่ดาวพิฆาตจะเกิดขึ้นกับบุรุษเท่านั้น ครั้นกาลเวลาเวียนมาบรรจบครบสามพันปีในครานี้ดวงพิฆาตกลับกลายเป็นอิสตรีนั่นก็คือจางเพ่ยอันนั่นเอง อย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา ครั้นหญิงสาวเดินทางมาถึงพื้นที่ ซึ่งโลกอดีตเป็นค่ายที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉินอันเกรียงไกร ดวงพิฆาตทั้งสองจากยุคอดีตและยุคปั
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถฉุกเฉินจากโรงพยาบาลพร้อมเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นบุรุษสองนาย เดินถือกระเป๋าซึ่งมีเครื่องมือปฐมพยาบาลอย่างครบครันมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางอันเป็นห้องพักของจางเพ่ยอัน ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของพนักงานซึ่งอยู่เวรกะกลางคืนของโฮมสเตย์ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างระหงของจางเพ่ยอันซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้อง รีบถลาไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณมากเลยค่ะที่รีบมา เข้ามาดูอาการคนเจ็บเถอะรู้สึกว่าจะไม่ค่อยดีแล้ว” หญิงสาวกล่าวพร้อมหันหลังกลับก้าวเดินนำหน้าตรงไปที่เตียง โดยมีบุรุษพยาบาลทั้งสองนายก้าวตามหลังหญิงสาวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ทันใดนั้นเอง ฟิ้ววว! จู่ๆ มีแรงมหาศาลผลักร่างของบุรุษพยาบาลทั้งสองนายจนกระเด็นกระดอนออกจากห้องพัก ลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งกองกันอยู่ตรงหน้าประตู ตุบ! บุรุษพยาบาลทั้งสองนายถึงกับนั่งจุกไปตามๆ กัน ท่ามกลางความแปลกใจของจางเพ่ยอัน “เอ้า! พวกคุณทำไมพากันไปนั่งทำอะไรอยู่ที่พื้นคะ คนเจ็บนอนรออยู่บนเตียง! เร็วๆ เข้าเถอะค่ะ” หญิงสาวพูดพลางชี้มือไปที่เตียงนอนของเธอ ในขณะที่บุรุษพยาบาลทั้งสองนายต่างพากั
เสียงเพ้อเรียกชื่อเล่นของเธอดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหมดสติยู่ในขณะนี้ จางเพ่ยอันถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะครั้นได้ยินชื่อของตัวเองอย่างชัดเจน หญิงสาวค่อยๆ โน้มกายก้มลงจนชิดใบหน้าหล่อเหลาของคนเจ็บจากยุคอดีต พร้อมเงี่ยหูฟังว่าจะได้ยินอะไรออกมาจากปากอีกหรือไม่ ก่อนจะยืดกายยืนตัวตรงเช่นเดิมครั้นไม่ได้ยินอะไรอีกเลย “แปลก! อีตาแม่ทัพรู้จักชื่อเล่นของเราได้ยังไง คงไม่ใช่กระมัง อาจจะเรียกชื่อผู้หญิงคนอื่นที่อยู่โลกเดียวกันกับเขาและบังเอิญไอ้เราดันไปมีชื่อเหมือนกันเข้าให้ด้วยความบังเอิญเสียมากกว่า มันจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้แน่ๆ” หญิงสาวยืนพึมพำ รีบสลัดความคิดอื่นๆ ที่คอยแทรกเข้ามาโดยตลอดพร้อมยกมีดผ่าตัดขึ้นมาจ้องเขม็ง มือเรียวเอื้อมไปหยิบแมสก์ปิดปากที่วางอยู่ใกล้เครื่องมือผ่าตัด พร้อมนำมาสวมปิดบังใบหน้า เตรียมพร้อมลงมือผ่าเอาลูกกระสุนออกเป็นครั้งแรกในชีวิต ใบมีดกดลงพร้อมกรีดปากแผลให้เปิดออกกว้างทันทีก่อนจะชำเลืองไปทางคนเจ็บว่ามีปฏิกิริยาตอบโต้หรือไม่ “หมดสติแบบนี้ก็ดีค่อยยังชั่วหน่อย หวังว่าจะช่วยชีวิตของคุณได้ทันนะท่านแม่ทัพ” หญิงสาวรำพึงออกมาภายใต้แมสก์ปิดบังใบหน้า ในขณะ
ตีห้าของเช้าวันใหม่ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้องพัก ใบหน้าที่ฟุบอยู่บนเตียงนอนฝั่งตรงกันข้ามในลักษณะนั่งกับพื้นค่อยๆ รู้สึกตัวพลางเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เมื่อจางเพ่ยอันกลายร่างเป็นพยาบาลกะกลางคืนนอนเฝ้าคนเจ็บหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยสถานการณ์บังคับ “อันอัน! อยู่ห้องนี้หรือเปล่า! ฉันมาแล้ว!” เสียงของเพื่อนสนิทดังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ร่างระหงดีดตัวลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวหงมาแล้ว! มาถึงเร็วเหมือนกันแฮะ รวดเร็วทันใจดีจริงๆ เลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมมองร่างคนเจ็บจากโลกอดีตยังคงนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่ทัพยังไม่หายไปแฮะ ป่านนี้ทางนั้นไม่วุ่นวายกันใหญ่แล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยพึมพำพร้อมเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอีกครา “อันอัน!!!” ครานี้เสียงดังกว่าเดิม “มาแล้ว! มาแล้ว!” หญิงสาวส่งเสียงขานรับรีบก้าวออกจากเตียงเดินตรงไปทางประตูห้อง พร้อมเปิดต้อนรับเพื่อนสนิทของเธอทันใด ทันทีที่ประตูเปิดออก “เธอนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไรอันอัน ปล่อยให้ฉันเรียกอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” แม่เภสัชกรสาวเพื่อนสนิทของจางเพ่ยอัน นามว่าอู๋หง กล่าวพร้อมเดินแท
ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เมืองหลวงหยง ภายในราชสำนักฉินและทั่วทั้งแคว้นเวลานี้อยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่อดีตเจ้าผู้ครองแคว้น อิ๋งหรงหรือฉินเหรินกง ซึ่งสวรรคตลงอย่างกะทันหัน เมื่อทรงทราบข่าวชัยชนะของแคว้นฉินเหนือแคว้นต้าเหลียง โดยการนำทัพขององค์ชายอิ๋งหยางพระโอรสผู้ถูกเนรเทศไปพำนักอยู่ชายแดน ตั้งแต่มีพระชนมายุเพียงห้าพระชันษา โดยที่มิได้พานพบพระพักตร์ระหว่างพ่อกับลูกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยฉินเหรินกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉิน พระราชบิดาทรงเสียพระทัยในการจากไปของฮองเฮาเป็นยิ่งนัก พระนางสิ้นพระชนม์ทันทีที่ได้พบกับพระโอรสองค์โต ทรงมอบความรักให้อดีตฮองเฮาและองค์ชายอิ๋งหยางและพยายามปกป้องทุกอย่างเพื่อให้ปลอดภัย แต่ก็มิอาจต้านทานแรงกดดันของเหล่าขุนนางภายราชสำนักได้ ด้วยองค์ชายอิ๋งหยางทรงมีดวงพิฆาตชีวิตผู้คนและจะทำให้แคว้นถึงคราวล่มสลายหากขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นสืบต่อไป อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นพยายามช่วยพระโอรสมาโดยตลอด ทรงตัดพระทัยมิพานพบองค์ชายอิ๋งหยางเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ใกล้อดีตฮองเฮาของพระองค์ซึ่งคือพระมารดา แต่แล้วความรักของคนเป็นแม่มิอาจทนความคิดถึงลูกน้อยได้ พระนางแอบไปพบพระโอรสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต
ยุคอดีตตำหนักจินไท่ทั่วบริเวณในเวลานี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แจกันดินเผาขนาดใหญ่วาดลวดลายเป็นลายเมฆและนกยูงสลับไปมา เพิ่มความสวยงามได้อย่างลงตัวและแจกันดังกล่าวเต็มไปด้วยกิ่งดอกเหมยปักลงบนแจกันวางตั้งไว้บนโต๊ะข้างแท่นพระบรรทมเพื่อให้คนงามได้สูดกลิ่นหอมดังกล่าวร่างอรชรของจางเพ่ยอันบัดนี้นอนสงบนิ่งอยู่บนแท่นพระบรรทม และเธอหลับใหลอยู่เช่นนี้มานานนับเดือนแล้ว โดยมีสายตาของพระสวามีผู้หล่อเหลาจับจ้องอยู่กับดวงหน้างามของพระชายาอยู่ตลอดเวลา พระองค์จะเพียรเข้าคอยมาดูแลพระชายาเพียงหนึ่งเดียวทันทีที่เสร็จภารกิจจากการออกว่าราชการในท้องพระโรงเหตุการณ์ในวันที่รัชทายาทหลี่จิ้งบุกโจมตีพระราชวังหลวงของต้าฉินอย่างอุกอาจ และจบลงคือเซ่นสังเวยพระชนม์ชีพของพระองค์ให้กับแม่ทัพปีศาจพร้อมชีวิตทหารต้าหลู่ไปอีกนับไม่ถ้วน ต่างพากันสิ้นชีพวิบัติโรยรากลายเป็นหินไปชั่วพริบตาเหตุการณ์ในวันนั้นเล่าลือไปอย่างกว้างขวางจนล่วงรู้ไปทั่วทุกแคว้นแดนดิน และต่างพากันขยาดแม่ทัพปีศาจกันอย่างถ้วนหน้า จนมีคำกล่าวติดปากออกมา
ในขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างหน้าท้องพระโรงกองทหารของแคว้นต้าหลู่และกองทหารจากต้าฉิน ต่างวิ่งเข้าโจมตีปะทะกันอย่างดุเดือด ทั่วทั้งพระราชวังหลวงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันขาวพร้อมเสียงกรีดร้องของเหล่านางกำนัลและเชื้อพระวงศ์ บรรดาขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างแตกฮือแยกย้ายกันหนีตายจนจ้าละหวั่น เมื่อทหารต้าหลู่บุกเข้ามาถึงในท้องพระโรงและปะทะกับจางฟงอัครเสนาบดีที่เคยเป็นขุนศึกในวัยหนุ่มแม้จะมีอายุมากถึงหกสิบปีแล้วก็ตาม แต่จางฟงมีวิทยายุทธ์ในระดับสูงจึงเป็นฝ่ายใช้อาวุธออกปกป้องเหล่าขุนนางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งตามไปสมทบกับกองทหารของตนและกองทหารขององค์ชายปีศาจที่ยกตามมาช่วยอย่างทันท่วงที ทั่ววังหลวงเต็มไปด้วยซากศพมากมายมิรู้ใครเป็นใครท่ามกลางความวุ่นวายองค์ชายปีศาจอิ๋งหยางและองค์ชายหลี่จิ้ง รัชทายาทจากต้าหลู่กำลังปะทะฝีมือกันอย่างดุเดือด ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันในขณะที่องค์ชายหลี่จิ้งถือทวนยาวและองค์ชายอิ๋งหยางใช้ดาบง้าวอาวุธประจำพระวรกายไล่ฟาดฟันองค์ชายผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง“เจ้าเอาอันอันของข้าไปไว้ไหน! เอาคนของข้าคืนมา!!
ทันทีที่พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายปีศาจเงยขึ้นทอดพระเนตร ทหารของต้าหลู่ที่กำลังมองมาที่พระองค์เป็นจุดเดียวค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อร่างค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างเพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ติดตามด้วยเสียงของเหล่าทหารดังแทรกขึ้นมา“แม่ทัพปีศาจ!!!” เสียงเรียกขานดังออกมาได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบงันลงไปโดยพลันเมื่อทุกอย่างกลับหยุดการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ลมหายใจของเหล่าทหารต้าหลู่หลุดลอยไปทันใดนับหนึ่งพันนายที่แออัดอยู่ภายในท้องพระโรงท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายหลี่จิ้ง ครั้นได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่มีผู้คนกล่าวขานเลื่องลือมานานแสนนาน และตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้“เป็นความจริงหรือนี่! คนผู้นี้คือแม่ทัพปีศาจอิ๋งหยางอย่างนั้นหรอกรึ!” องค์ชายหลี่จิ้งรับสั่งได้เพียงเท่านั้นองค์ชายปีศาจหันกลับไปทอดพระเนตรรัชทายาทผู้นั้นทันที โดยที่อีกฝ่ายมิทันได้ตั้งตัวเพียงแค่เห็นใบหน้าก็สิ้นชีพไปโดยมิรู้ตัว พระเศียรค่อยๆ กลายเป็นหินลามเลียไปทั่วพระวรกายก่อนจะกลืนกินจนกระทั่งยืนแข็ง
ทันทีที่พระหัตถ์ของรัชทายาทรูปงามสัมผัสกับแก้มนวลเนียนของหญิงสาว ภาพเหตุการณ์ในอนาคตบังเกิดขึ้นมาให้เธอได้เห็นทันทีท่ามกลางกองทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ร่างของจางฟงท่านพ่อและจางฮั่นพี่ชายคนโตกำลังใช้ดาบสู้รบกับทหารของต้าหลู่ ในขณะที่พระสวามีปีศาจของเธอกำลังบุกเข้าโจมตีไล่ฟาดฟันองค์ชายหลี่จิ้งจนถอยไม่เป็นท่า“อันอันของข้าอยู่ไหน! ไอ้คนถ่อย! ลักพาตัวชายาของข้าไปไว้ที่ใด!!!” รับสั่งพร้อมบุกไล่ฆ่ากองทหารมากมายที่เข้ามาปกป้ององค์ชายของตน จนล้มตายกองสุมมิรู้กี่ร้อยชีวิตองค์ชายหลี่จิ้งวิ่งหนีการไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งของแม่ทัพปีศาจจนวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องพระโรง “คนผู้นี้มันบ้าไปแล้ว! ช่างบ้าคลั่งราวปีศาจร้ายยิ่งนัก” รับสั่งพร้อมพยายามหาอาวุธที่สามารถทุ่นแรงของพระองค์ได้ดีกว่าดาบ ก่อนจะไปสะดุดกับคันธนูและลูกธนูรวมไปถึงอาวุธอื่นๆ ที่มีเกลื่อนกลาดท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายและขุนนางบางคนที่หนีตายไม่ทันคันธนูถูกหยิบขึ้นจากพื้นพร้อมลูกธนูสามดอก พระหัตถ์ล้วงเข้าไปในอกเสื้อฉลองพระองค์ก่อนจะดึงขวดยาใบน้อยออกมาพร้อมรีบดึงจุกออกเทผงสีขาวลงบนลูกธนูทั้งสามดอกพรึบ! ภาพเหตุการ
บริเวณคุกใต้ดิน ดวงเนตรสีนิลดำใหญ่ทอดสายตามองร่างไร้วิญญาณขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง เจ้าของพระตำหนักหรดีในสภาพศพลิ้นจุกปาก ดวงตาถลนแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า รอบลำคอถูกรัดอย่างรุนแรงจนเห็นเป็นรอยโซ่ และสิ่งที่ใช้สังหารองค์ชายโฉดผู้นี้ก็ตกอยู่ใกล้ๆ พระศพนั่นเอง พระพักตร์หล่อเหลาขององค์ชายหลี่จิ้ง ค่อยๆ เงยขึ้นจากพระศพขององค์ชายโฉดพร้อมสำรวจไปทั่วบริเวณคุกใต้ดินไปโดยรอบก่อนจะพบว่า กองทหารของพระองค์ที่คอยรักษาเวรยามตั้งแต่ปากทางเข้าแม่น้ำทางชายป่ารกร้าง จนถึงคุกใต้ดิน มีเพียงทหารยามที่คอยดูแลบริเวณคุกเท่านั้นจบชีวิตทั้งหมด สภาพศพร่างแหลกเหลวและมีรอยโซ่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนศพเหล่านั้น “พวกเจ้าที่เหลือรอดชีวิตล่วงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดเข้ามาสังหารผู้คนภายในนี้รวมไปถึงเจ้าของตำหนักนี้ด้วย!” รับสั่งถามกองทหารที่รอดชีวิต “กระหม่อมได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเด็กหนุ่มหน้าหวาน ซึ่งถูกจับตัวมาจากตำหนักบูรพาพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายอิ๋งเฟิ่งทรงแยกขังเจ้าคนพี่ไว้ที่คุกใต้ดิน ส่วนคนน้องนำไปขังในตำหนักหรดีเพื่อนำไปมอบให้พระองค์ที่จวนสกุลไป๋ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ” ทหารที่รอดชีวิตกราบทูลรายงานอย่างละเอียดเท่าที่ล่ว
พระตำหนักหรดีภายในคุกใต้ดินพระตำหนักหรดีขององค์ชายอิ๋งเฟิ่ง ตั้งอยู่ห่างไกลจากพระตำหนักอื่นๆ อยู่ช่วงท้ายๆ ของพระราชวังมีพื้นที่ติดกับชายป่ารกร้างซึ่งองค์ชายโฉดใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและกองทหาร ทางเข้าออกต้องดำน้ำลงไป แม่น้ำซึ่งอยู่ติดกับชายป่าและมีทางเข้าเชื่อมต่อขุดไปถึงกับสระบัวในอุทยานส่วนพระองค์ ใช้เป็นเส้นทางเพื่อสะสมฐานกำลังเตรียมพร้อมช่วงชิงบัลลังก์เพื่อขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นภายในพระตำหนักลึกลงไปใต้ดิน ถูกสร้างเป็นห้องพักมากมายเพื่อใช้สะสมเงินทองและอาวุธรวมไปถึงเสบียงและคุกใต้ดิน เพื่อใช้ลักพาตัวผู้คนที่บังเอิญมาระแคะระคายการกระทำคิดคดทรยศขององค์ชายผู้นี้ และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์ชายสามจึงไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาในพระตำหนัก สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังกล่าวด้วยส่วนหนึ่งและอีกเหตุผลนั่นก็คือ เกรงกลัวการถูกลอบปลงพระชนม์จากการจ้างวานฆ่าของผู้อื่นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือพันธมิตรที่เคยร่วมมือและรีบหันหลังให้แก่กันทันใดที่หมดประโยชน์ร่วมกันพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายปีศาจ ถูกล่ามไว้ที่ข้อพระหัตถ์และข้อพระบาทก่อนจะนำไปโยงกับคานที่แขวนไว้ เตรียมเครื่องทรมานเพื่อเ
ยามเหม่าพระราชวังหลวงร่างอรชรแน่งน้อยของจางเพ่ยอันสวมเสื้อผ้าบุรุษสะพายกระเป๋าล่วมยาเดินเคียงคู่มากับพระสวามีปีศาจ ฉลองพระองค์เครื่องแบบราชองครักษ์ฝ่ายใน เดินตามติดชายาคนงามของพระองค์ไปอย่างกระชั้นชิดมิให้คลาดสายพระเนตรไปได้แม้แต่น้อย โดยเป้าหมายในขณะนี้คือพระศพขององค์ชายรองซึ่งจนถึงเวลานี้ มิมีหมอหลวงคนใดล่วงรู้เลยว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์นั้นเกิดจากอะไรกันแน่องค์ชายปีศาจพระดำเนินนำหน้าพร้อมจูงมือพระชายา ผ่านสายตาเหล่านางกำนัลและขันทีมากมายหลายสิบคู่ โดยไม่สนพระทัยสายตาของผู้ใดแม้แต่น้อยที่กำลังจับจ้องบุรุษทั้งสองกำลังเดินจูงมือเคียงคู่ไปด้วยกัน ก่อนจะหยุดลงเมื่อมาถึงพระตำหนักบูรพา ภายในห้องเก็บพระศพ มีผ้าขาวผืนขนาดใหญ่ขวางกั้นโลงพระศพและแท่นบูชาป้ายวิญญาณเพื่อให้เชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ เข้ามาเซ่นไหว้บริเวณด้านนอก ภายในห้องดังกล่าวมีนางกำนัลและขันทีคอยทำหน้าที่ดูแลพระศพให้เรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มาถึงองค์ชายปีศาจมีรับสั่งออกไปทันที“เปิดฝาโลง! องค์ชายอิ๋งเฟิ่งมีรับสั่งให้ท่านหมอมาตรวจหาสาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายรอง” สิ้นพระสุรเสียงขององค์ชายปีศาจบรรดาขันที
เรือนบูรพา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงเคาะประตูห้องดังเอ็ดอึงขึ้นระหว่างกลางดึกในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนอนหลับใหลด้วยความอ่อนเพลียกับบทเสพสังวาสที่มอบให้กันตั้งแต่ยามสายในห้องหนังสือและยังมาต่อเนื่องในห้องนอนกันอีก ก่อนจะพากันหมดแรงไปด้วยกันก็เข้ายามโฉว่ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ! เกิดเรื่องใหญ่ในวังแล้ว! ทรงตื่นบรรทมอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจางฮั่นดังขึ้นอยู่หน้าประตูห้องนอน พร้อมร่างของรองแม่ทัพโม่โฉวและหรงซิ่วต่างพากันยืนอยู่ด้วยพร้อมกันในขณะนี้ เพียงครู่ภายในห้องบรรทมที่มีแต่ความมืดมิดมีแสงสว่างจากโคมไฟขึ้นมาทันที พร้อมเสียงจากคนที่อยู่ด้านในเปิดบานประตูออกด้วยความรวดเร็ว พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ขององค์ชายอิ๋งหยางพระดำเนินออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นรองแม่ทัพคนสนิททั้งสองปรากฏกายในยามวิกาลเช่นนี้ “มีเหตุสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ! พวกเจ้าจึงรีบร้อนพากันมาหาข้าในยามวิกาลเช่นนี้” รับสั่งถามกลับไปทันใด “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” โม่โฉวรีบกราบทูลรายงานทันที องค์ชายปีศาจทรงยืนนิ่งไปชั่วขณะครั้นทรงได้ยินรายงานเช่นนั้น “อิ๋งเหว่ยตายได้อย่างไร!” รับสั่งถามกลับไป “ตอนนี้บรรดาหมอ
สามวันผ่านไปภายในห้องหนังสือร่างงามแน่งน้อยในชุดสีขาวลออตาของสตรีสาวที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์ ผมสีดำยาวสยายถูกเกล้าขึ้นสูงเป็นสัญลักษณ์ของหญิงที่สมรสแล้ว พรั่งพร้อมด้วยเครื่องประดับผมล้ำค่ามีทั้งทองคำและหยกเนื้องามชั้นดีเสียบไว้ที่บริเวณผมที่ถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าแสนสวยถูกแต่งแต้มพองามมิต้องประเคนเครื่องประทินโฉมอะไรมากมาก คนสวยยังไงก็เอาอยู่ดวงตากลมโตสีหยาดน้ำผึ้งกำลังนั่งมองแผ่นไม้ไผ่ที่เป็นตำรายาสูตรลับของหยงเซี๊ยะกำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนลุกโชน ก่อนจะโยนตำราดวงดาวลงไปเผาอีกเช่นกัน ราวกับว่าหญิงสาวล่วงรู้ว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นเพราะมีการแย่งชิงตำราดังกล่าวเกิดขึ้นนั่นเองท่ามกลางสายพระเนตรของพระสวามีปีศาจ ทรงพระดำเนินเข้ามาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรพระชายาคนงามกำลังเผาตำราโบราณของหยงเซี๊ยะด้วยมือของนางเอง“อันอัน! เหตุใดเจ้าจึงเผาตำราที่ท่านตามอบให้มาเล่า เกิดเหตุสิ่งใดขึ้นหรือไรตำราทั้งสองนั้นเป็นของล้ำค่าทางด้านการรักษาและดูดวงดาวมิใช่รึ” พระองค์รับสั่งถามกลับไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ใบหน้าแสน