ความรู้สึกเศร้าและกลัวของซูชิงลั่วถูกขัดจังหวะอย่างแรงหลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับลู่เหิงจือที่หังโจวเป็นเวลาหลายเดือน นางก็ยิ่งเข้าใจเขามากขึ้นนางเดาว่าเขาคงตั้งใจล้อเล่นกับนาง เพื่อให้นางผ่อนคลาย จะได้ไม่คิดถึงเรื่องเลือดสาดนั้นอีกนางจึงไม่สนใจการล้อเลียนของลู่เหิงจือ เพียงแค่จับมือของเขาแน่นยิ่งขึ้นลู่เหิงจือก็ไม่ได้พูดอะไรต่อในค่ำคืนอันเงียบสงัด ทั้งสองนอนฟังเสียงลมที่พัดมาจากนอกหน้าต่างและเสียงถ่านไฟในห้องลู่เหิงจือได้ยินเสียงลมหายใจของนางที่ยังคงไม่หลับ แต่กลับนิ่งเงียบ เขาจึงอดกังวลไม่ได้ถึงอย่างไร ฮูหยินของเขาก็เพิ่งฆ่าคนเพื่อเขามาเขาจึงใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ บนปลายนิ้วของนาง "ยังกลัวอยู่หรือ?""อืม" ซูชิงลั่วครางรับออกมาเบาๆแม้ว่าพยายามไม่คิดถึง แต่ภาพเลือดที่สาดเข้าหน้าของนางก่อนที่ลี่หลูจะตายก็ยังคงผุดขึ้นในหัวอย่างควบคุมไม่ได้นี่เป็นครั้งแรกที่นางฆ่าคนแม้ว่านางจะรู้ดีว่าลี่หลูสมควรตาย แต่นางก็ยังคงรู้สึกผิดในใจ คล้ายกับว่านางได้ทำบาปร้ายแรงและกลายเป็นเพชฌฆาตไปเสียแล้วลู่เหิงจือประสานนิ้วเข้ากับนิ้วของนางเสียงของเขามักจะเย็นชาและหนักแน่น ทำให้ผู้คนไม่กล้าเ
ลู่เหิงจือพูดต่อว่า "ตอนนั้นข้ารู้สึกผิดมาก และเจ็บปวดใจแทน...คนคนหนึ่งสูญเสียบิดาแต่ยังร้องไห้ต่อหน้าผู้คนไม่ได้ น่าเวทนาจริงๆ""ดังนั้น เมื่อขึ้นเรือกลับไปยังเมืองหลวง ข้าเห็นโจรสลัดขึ้นเรือ สิ่งแรกที่คิดคือจะต้องพาเด็กสาวคนนี้กลับไปอย่างปลอดภัย จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนางเด็ดขาด""ข้าเองก็ต้องกลับไปอย่างปลอดภัยด้วย ข้ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ"ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น "ด้วยความเชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าจึงฆ่าโจรสลัดคนแรก จากนั้นคนที่สอง คนที่สาม...""หลังจากนั้น ข้าก็จำไม่ได้ว่าข้าฆ่าโจรสลัดไปกี่คน ตัวข้าเต็มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเลือดทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้ แต่ข้าก็ต้องอดทนไว้ โชคดีที่ในที่สุดพวกเราก็ปลอดภัย เด็กสาวคนนั้นยังช่วยข้าพันแผลให้ด้วย ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว""ถึงอย่างนั้น เมื่อข้ากลับถึงเมืองหลวง ข้าก็ยังฝันร้ายติดต่อกันเป็นเดือน น้ำหนักลดลงไปสิบกว่าชั่ง""แต่ข้ารู้ดีว่า ข้าไม่มีทางเลือก หากข้าไม่ฆ่าพวกโจรโดยไม่ลังเล คนที่ตายบนเรือคงเป็นข้ากับเด็กสาวคนนั้น""เมื่อเทียบกันแล้ว ฮูหยินทำได้ดีกว่ามาก" ลู่เหิงจือกล่าวเสียงเบาทำไมถึงพูดถึงทั้งเด็กสาวและฮูหยินกันน
เพราะคำพูดเปิดใจของลู่เหิงจือ ความรู้สึกผิดของซูชิงลั่วจากการฆ่าคนครั้งแรกก็ค่อยๆ เลือนหายไป และนางก็ได้นอนหลับสนิทอย่างเต็มอิ่มลู่เหิงจือเองก็เช่นกันก่อนหน้านี้เขายุ่งจนหัวหมุน ถือโอกาสจากการบาดเจ็บครั้งนี้พักผ่อนอย่างเต็มที่ทั้งสองคนนอนหลับจนตะวันสายโด่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่เต็มใจเมื่อนับดูแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากัน แต่วันที่จะตื่นนอนพร้อมกันนั้นมีไม่มากนัก ซูชิงลั่วกลับรู้สึกว่าฉากตรงหน้านี้ทำให้ใจนางเต้นไม่เป็นจังหวะลู่เหิงจือนอนหลับเต็มอิ่มไปทั้งคืน ไข้ของเขาลดลงบ้างแล้ว แต่การเคลื่อนไหวยังคงไม่สะดวกเท่าไหร่นักเขาถือเสื้อคลุมไว้ในมือ แล้วมองไปที่ซูชิงลั่ว สื่อความหมายชัดเจนว่าเขาต้องการให้นางช่วยซูชิงลั่วรีบสวมเสื้อตัวในก่อนจะเดินไปหาเขา นางมองไปที่ผ้าพันแผลบนตัวของเขาแล้วพูดว่า "ท่านควรจะทำแผลก่อนหรือไม่?"ลู่เหิงจือพยักหน้า "ก็ดี"ซูชิงลั่วพูดว่า "ข้าจะทำแผลใหม่ให้ท่านเอง"ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว "ได้สิ"ซูชิงลั่วหยิบยาสมานแผลออกมา แล้วค่อยๆ แกะผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบตัวลู่เหิงจืออย่างระมัดระวังนางแกะออกทีละชั้นๆ จนกระทั่งชั้นสุดท้าย บาดแผลที่เริ
ลู่เหิงจือพยุงตัวขึ้นจากพนักเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วกางแขนออก ปล่อยให้นางปรนนิบัติอย่างเต็มที่ท่าทางนางไม่ค่อยคล่องนัก เพราะปกติลู่เหิงจือก็ไม่ค่อยเรียกให้นางปรนนิบัติอยู่แล้วใช้เวลานานเลยกว่าจะช่วยเขาสวมเสื้อผ้าได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับการคาดเข็มขัด พันไปพันมาอยู่รอบเอวของเขาแต่ก็ยังผูกให้เรียบร้อยไม่ได้เสียทีไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่ใบหน้าของนางแดงจัดจนถึงใบหูแล้วลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ แล้วรับเข็มขัดมาคาดเองโดยไม่แกล้งนางอีกต่อไปหลังจากทั้งสองทานอาหารเสร็จ ซ่งเหวินก็ยกยามาให้ลู่เหิงจือดื่มยาหมดในอึกเดียว แต่หลังจากดื่มเสร็จก็ยังอดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้มันขมขนาดนั้นเลยหรือ?ซูชิงลั่วนึกถึงรสขมที่ลิ้นของเขาตอนที่จูบนางเมื่อวาน แล้วก็อดใจเต้นไม่ได้ นางจึงเดินไปที่หน้าประตูแล้วแอบสั่งจื๋อหยวนให้ไปหาซื้อของดองอย่างบ๊วยดำหรือพุทราจีนมาหลังจากดื่มยาเสร็จ ซ่งเหวินก็มีเรื่องมากมายที่จะต้องรายงานเขาทีละอย่างขาของลู่เหิงจือบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่สะดวก เขาจึงนั่งฟังรายงานอยู่บนเตียงแทนที่จะไปอีกห้องซูชิงลั่วนั่งเย็บผ้าอยู่ที่เก้าอี้ริมห
ซูชิงลั่วไม่แปลกใจกับการตีเนียนของลู่เหิงจืออีกต่อไปแล้วนางรู้สึกว่าหลังจากช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อก่อนเขาก็เคยหยอกล้อนางบ้าง แต่ไม่เคยทำอย่างเปิดเผยหรือบ่อยครั้งขนาดนี้…จะว่าไป ก็เหมือนนกยูงรำแพนหาง จงใจดึงดูดความสนใจจากนางเห็นแก่ที่เขาบาดเจ็บ ซูชิงลั่วจึงไม่ถือสา แต่ก้มลงจูบที่ริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ "เด็กดี อย่าซนสิ"ลู่เหิงจือ "..."ไม่ไหวแล้วนางลุกขึ้นจะเดินออกไป แต่กลับถูกลู่เหิงจือจับข้อมือไว้"หืม?""มีฎีกาเล่มหนึ่ง ข้าอาจจะต้องให้เจ้าช่วยคัดลอกใหม่หน่อย ซ่งเหวินลายมือใช้ไม่ได้"ซูชิงลั่วมองไปยังมือซ้ายที่บาดเจ็บของเขา พลางลังเล "ข้าจะทำได้หรือ? ข้าเป็นเพียงสตรีในห้องหอ…"ฎีกาเล่มนั้นต้องทูลเกล้าถวายต่อฮ่องเต้ นางเป็นเพียงสตรีเท่านั้นลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? อย่างไรทุกคนก็รู้ว่าข้ารักและตามใจเจ้ามาก ข้าได้รับบาดเจ็บ เจ้าคัดฎีกาแทนข้า มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?"ซูชิงลั่วพยักหน้า "ถ้าเช่นนั้นก็ได้" จากนั้นเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า "ท่านบอกว่า...ทุกคนรู้ว่าท่านตามใจข้
"ข้าไม่ได้...ไม่ได้ตื่นเต้น""..."พูดจบ นางก็เงียบไปเองลู่เหิงจือหยิกเนื้อนุ่มๆ ตรงเอวของนางเบาๆ แล้วหัวเราะดีที่เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับนางจริงๆเมื่อรอฎีกาแห้งแล้ว เขาก็เรียกซ่งเหวินมาบอกให้เร่งส่งออกไป จากนั้นก็ทานข้าวร่วมกับซูชิงลั่วหลังจากทานข้าวเสร็จ ซูชิงลั่วก็หยิบบ๊วยดองจานเล็กๆ ที่ตั้งใจเตรียมไว้ออกมา บอกว่า "ดื่มเสร็จข้าจะป้อนท่านเอง เป็นอย่างไร?"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ใช้ปากหรือ?""..."ซูชิงลั่วทำหน้าตายและยกถาดบ๊วยดองออกไปทันทีบาดแผลของลู่เหิงจือทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก ทั้งสองจึงไม่รีบร้อนเดินทางไปจินหลิง พักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่หังโจวต่อไปลู่เหิงจือเชื่อฟังคำสั่งของซูชิงลั่วจริงๆ แทบไม่แตะต้องงานในราชสำนักเลยไหนๆ ก็เขียนฎีกาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอบจดหมายของเซี่ยถิงอวี่บ้างเป็นครั้งคราว ที่เหลือก็ใช้เวลาอยู่กับซูชิงลั่ว คอยหยอกนางเล่นเป็นบางเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ซูชิงลั่วก็ค่อยๆ เคยชินกับการหยอกล้อของลู่เหิงจือ จนไม่รู้สึกเขินอายหรือใจเต้นแรงเพียงเพราะคำพูดของเขาอีกต่อไปความรู้สึกของทั้งคู่ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้น
ครึ่งเดือนต่อมา ลู่เหิงจือได้รับจดหมายจากเซี่ยถิงอวี่ เขาหมั้นหมายกับเมิ่งชิงไต้แล้ว ปลายปีจะจัดพิธีสมรสส่วนพระชายาองค์รัชทายาทถูกกำหนดให้เป็นบุตรสาวอนุอีกผู้หนึ่งในตระกูลเมิ่งทั้งหมดเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ลู่เหิงจือก้มลงมอง ก่อนจะเผาจดหมายกับเปลวเทียนเถ้าถ่านร่วงหล่นบนพื้นเขาผลักหน้าต่างออกไปก็ได้ยินเสียงชวนรำคาญใจของหลี่ว์เผิงเทียน : "น้องซูไม่รู้อะไร แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่ทำการค้าล้วนแต่เห็นกำไรเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่าพ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ แต่หากเจ้าไม่คิดจะหาเงิน เช่นนั้นแล้วจะเป็นพ่อค้าที่ดีได้เยี่ยงไร แน่นอนว่าขอเพียงแค่การค้าขายไปได้ดี ก็สามารถแบ่งเงินบางส่วนไปให้ผู้คนเบื้องล่างได้ตามเหมาะสม แต่ต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น..."ท้องฟ้าเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิส่องแสงสว่างสดใสแสงจากด้านนอกกระทบลงบนร่างของซูชิงลั่ว ขับให้นางดูงดงามชวนหลงใหลยิ่งนักหลี่ว์เผิงเทียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมตัวเล็ก กำลังถือสมุดบัญชีอธิบายให้ซูชิงลั่วฟังอย่างละเอียดลู่เหิงจือขมวดคิ้วมุ่น เจ้าหลี่ว์เผิงเทียนช่างกวนใจยิ่งนัก อาศัยที่ตนช่วยบรรเทาทุกข์ภัยถือว่าตนมีคุณความดี ทั้งยังช่วยเหลือเขาไว้ ส่วนซ
ลู่เหิงจือกวาดสายตามองเขาผาดหนึ่งหางเต๋อโย่วรีบพูดต่อ : "นี่นับเป็นของที่ข้าน้อยอยากมอบให้ใต้เท้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ของกำนัลใดอย่างแน่นอน ไม่ใช่เลย"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เช่นนั้นก็ขอบใจใต้เท้าหางแล้ว"หางเต๋อโย่วพลันยิ้มตอบ : "ไม่บังอาจ ข้าต้องขอบคุณอัครมหาเสนาบดีถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงพระราชทานรางวัลให้ข้าน้อยเป็นการเฉพาะ ขอบคุณใต้เท้ายิ่งนักที่พูดเรื่องดีๆ ของข้าต่อหน้าฝ่าบาท"หลังจากที่มีการประกาศพระราชโองการ หางเต๋อโย่วที่ถูกหวังเหลียงฮั่นกดขี่มาตลอดก็สามารถยืดอกได้เสียที ด้านหนึ่งรู้สึกว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลยิ่งนัก อีกด้านก็รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ตนอยู่ข้างลู่เหิงจือ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเขาเองก็คงต้องถูกคุมตัวพาไปเมืองหลวงด้วยเช่นกันดังนั้นวันนี้จึงมาส่งเสียที่นี่ ด้วยความจริงใจลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "นี่คือสิ่งที่ใต้เท้าหางควรจะได้รับ"การลอบตรวจสอบบัญชี มีส่วนที่หางเต๋อโย่วหามาให้อยู่ไม่น้อย แม้เขาจะเพราะทั้งถูกบังคับและชักจูง แต่ยังดีที่ตามหลักการแล้ว เขาได้ให้ความช่วยเหลือพอสมควรหางเต๋อโย่วทำความเคารพลู่เหิงจือ : "ขอบคุณใต้เท้