ลู่เหิงจือกวาดสายตามองเขาผาดหนึ่งหางเต๋อโย่วรีบพูดต่อ : "นี่นับเป็นของที่ข้าน้อยอยากมอบให้ใต้เท้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่ใช่ของกำนัลใดอย่างแน่นอน ไม่ใช่เลย"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เช่นนั้นก็ขอบใจใต้เท้าหางแล้ว"หางเต๋อโย่วพลันยิ้มตอบ : "ไม่บังอาจ ข้าต้องขอบคุณอัครมหาเสนาบดีถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงพระราชทานรางวัลให้ข้าน้อยเป็นการเฉพาะ ขอบคุณใต้เท้ายิ่งนักที่พูดเรื่องดีๆ ของข้าต่อหน้าฝ่าบาท"หลังจากที่มีการประกาศพระราชโองการ หางเต๋อโย่วที่ถูกหวังเหลียงฮั่นกดขี่มาตลอดก็สามารถยืดอกได้เสียที ด้านหนึ่งรู้สึกว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลยิ่งนัก อีกด้านก็รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ตนอยู่ข้างลู่เหิงจือ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเขาเองก็คงต้องถูกคุมตัวพาไปเมืองหลวงด้วยเช่นกันดังนั้นวันนี้จึงมาส่งเสียที่นี่ ด้วยความจริงใจลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "นี่คือสิ่งที่ใต้เท้าหางควรจะได้รับ"การลอบตรวจสอบบัญชี มีส่วนที่หางเต๋อโย่วหามาให้อยู่ไม่น้อย แม้เขาจะเพราะทั้งถูกบังคับและชักจูง แต่ยังดีที่ตามหลักการแล้ว เขาได้ให้ความช่วยเหลือพอสมควรหางเต๋อโย่วทำความเคารพลู่เหิงจือ : "ขอบคุณใต้เท้
"อ่อ" ซ่งเหวินส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนจะมองนางแวบหนึ่ง: "เช่นนั้นต่อไปเจ้าอยู่ในห่างเขาหน่อย คนผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก ชอบนับผู้อื่นเป็นน้องสาวตนอยู่เรื่อย"จื๋อหยวน : " ? "ความเคลื่อนไหวทางนี้แน่นอนว่าได้ยินถึงหูซูชิงลั่วด้วยเช่นกันนางอยากหันกลับไป ทว่ากลับถูกลู่เหิงจือกอดไว้แน่น : "ไม่ต้องสนใจ ช่วงนี้เจ้าเอาแต่ยุ่งกับการเรียนค้าขาย ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนข้าดีๆ มานานเพียงใดแล้ว"ซูชิงลั่วพูดไม่ออกเพราะคำพูดของเขา คิดว่าทางนั้นก็คงไม่น่าจะมีเรื่องอะไร จึงอยู่ในอ้อมกอดของเขาไปอย่างเชื่อฟังต่อ*เรือเทียบท่า ผู้ดูแลถานที่เป็นผู้ดูแลบ้านตระกูลซูมาแต่เก่าแก่ได้รับจดหมายตั้งแต่แรกแล้ว นำกลุ่มบ่าวรับใช้มารอรับซูชิงลั่วมองจากไกลๆ ก็จำผู้ดูแลถานได้ทันทีเขาโตมากับท่านพ่อตั้งแต่ยังเด็ก อายุมากกว่าท่านพ่อหกปีตอนที่ท่านพ่อจากไป เขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แต่กลับต้องฝืนควบคุมเหล่าบ่าวไพร่ จัดการเรื่องด้านหลังของท่านพ่อ ช่วยนางจัดกระเป๋าเดินทางและสินเดิมคืนก่อนส่งนางไปเมืองหลวง ผู้ดูแลถานที่ไม่ค่อยพูดคุยกับนางมาโดยตลอดมาเคาะประตูห้องนาง นำธนบัตรจำนวนใบละยี่สิบตำลึงปึกหนาเตอะที่แลกม
บ้านพักตระกูลซูทิ้งว่างมานาน ในที่สุดหลังจากที่รอมาแสนเนิ่นนานนายหญิงของบ้านก็หวนคืนกลับมารูปปั้นสิงโตสองตัวหน้าประตูถูกเช็ดจนสะอาดเงางาม ราวกับของใหม่ เพียงแต่บนขามีลายให้เห็นอยู่ลางๆ จึงดูออกว่าเป็นของที่ใช้มาหลายปีแล้วสีที่วงกบประตูก็เก่าแล้ว เป็นลายกระด่ำกระด่าง ยิ่งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยิ่งดูอึมครึมผู้ดูแลถานเห็นซูชิงลั่วจ้องมองวงกบประตูจวนซูอยู่นาน จึงเอ่ย : "คุณหนูโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยคิดว่านายท่านและนายหญิงต่างก็จากไปแล้ว บ้านพักหลังนี้จึงไม่จำเป็นต้องซ่อมใหม่ จึงคงสภาพเดิมไว้ หากคุณหนูเห็นว่าไม่เหมาะ วันพรุ่งข้าน้อยจะให้คนมาเปลี่ยนสีประตู"ซูชิงลั่วใช้สายตาปลอบโยนมองเขา : "ขอบคุณลุงถานมาก แบบนี้ก็ดีแล้ว"ผู้ดูแลถานพยักหน้า เขารู้อยู่แล้วว่าคุณหนูให้ความสำคัญกับความผูกพันและระลึกถึงคนในอดีต ไม่มีทางตำหนิเขาซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สายตาหยุดอยู่บนวงกบประตูนึกถึงครั้งยังเด็ก มีครั้งหนึ่งที่ใส่เครื่องประดับออกจากบ้านไปกับท่านแม่ หน้าประตูใหญ่มีรถม้าจากด้านนอกมาหาท่านพ่อไม่ขาดสาย หัวกระไดไม่เคยแห้ง เวลานี้กลับเงียบเหงากว่าสิ่งใด ราวกับว่าความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดหาย
นึกถึงยามที่ตนแกล้งหลับแล้วท่านพ่อจูงมือท่านแม่มานั่งตรงใต้ต้นกุ้ยฮวาในลานบ้านของนาง แล้วคุยกันกระซิบกระซาบ : "ลูกสาวของเรานับวันก็ยิ่งงามขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะต้องหาสามีดีๆ แทนนางเป็นแน่"……ความทรงจำที่ผ่านมาเนิ่นนานและเลือนลางไปแล้วเหล่านี้ ยามนี้จู่ๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้งทำให้นางรู้สึกมีความสุขและเศร้าใจในเวลาเดียวกันโชคดีที่ยามนี้นางมีลู่เหิงจือ สามารถซบในอกเขาแล้วร้องไห้ฟูมฟายอย่างเอาแต่ใจได้โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นพฤติกรรมต้องห้ามของคุณหนูตระกูลผู้ดีอีกลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไร อยู่เคียงข้างนางอยู่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของซูชิงลั่วหรืออย่างไร ตอนที่จื๋อหยวนเข้ามารินน้ำชา ดวงตานางแดงก่ำ สีหน้าพยายามอดกลั้น แต่กลับอดไม่ไหว สุดท้ายก็น้ำตาไหลออกมาซูชิงลั่วกวักมือเรียกนางเข้ามา ลู่เหิงจือจึงลุกขึ้น ซูชิงลั่วกอดคอร้องไห้กับจื๋อหยวนลู่เหิงจือเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับปิดประตู เว้นพื้นที่ให้พวกนางนายบ่าวได้อยู่กันตามลำพังโชคดีที่เรือนของซูชิงลั่วยังมีห้องว่าง เขาสามารถใช้เป็นห้องหนังสือได้พอดีตัดกำลังสำคัญขององค์รัชทายาทแล้ว ทั้งยังหาเงินกว่าล้านตำลึงกลับท้องพระคล
ค่ำคืนนี้ ซูชิงลั่วและจื๋อหยวนรู้สึกราวกับย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ทั้งสองคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยกัน หวนนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้น ทั้งหัวเราะและร้องไห้ สุดท้ายง่วงจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะค่อยๆ หลับไปไม่รู้ว่าเพราะได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาโดยสิ้นเชิงแล้วหรือไม่ ซูชิงลั่วหลับสนิท กระทั่งฟ้าสางก็ยังไม่ตื่นจื๋อหยวนเป็นบ่าวแน่นอนว่าไม่สามารถนอนตื่นสายได้ ทว่าทันทีที่ขยับก็ถูกซูชิงลั่วรั้งไว้ : "นอนต่ออีกหน่อย"นางสะลึมสะลือ น้ำเสียงก็งัวเงียฟังไม่ชัด ดูท่าทางจะง่วงไม่ใช่น้อยจื๋อหยวนกลัวจะเสียงดังจนทำนางตื่น จึงทำได้เพียงแค่กลับลงไปนอนใหม่อีกครั้งส่วนลู่เหิงจือ ทันทีที่ฟ้าเพิ่งจะสว่างเขาก็ลืมตาตื่นแล้วเคยชินกับการที่ข้างกายมีซูชิงลั่ว จู่ๆ ต้องนอนคนเดียวจึงนอนไม่ค่อยหลับไม่รู้ว่าหญิงใจร้ายผู้นั้นจะหลับเป็นเช่นไรบ้างมิน่าถึงว่ากันว่าที่ที่มีสาวงามนั้นอบอุ่นชวนให้คนลุ่มหลง ดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบุรุษในอดีตจึงหลงสาวงามจนไม่ออกว่าราชการยามเช้าคิดถึงตรงนี้ ตัวเขาเองรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยหลังความประหลาดใจก็อดขำออกมาไม่ได้ตำรานักปราชญ์ที่เคยอ่านก่อนห
ลู่เหิงจือเดินเข้าไปในห้องด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าใดนักซูชิงลั่วกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในมือนางถือปิ่นทองอันเล็กๆ ลายผีเสื้ออันหนึ่ง พลางหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มสดใส : "พี่สาม ท่านดูสิ ข้าเจอปิ่นปักผมที่ข้าใช้เมื่อครั้งยังเด็กด้วย หานำมาใช้ตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้แปลกเท่าใดนัก"ไฟโกรธที่โหมในใจลู่เหิงจือพลันสลายตัวเขาเดินเข้าไปด้านหลังนาง ยกมือขึ้นไปรับปิ่นปักผมในมือนางมา แล้วช่วยนางปักลงไปบนผมข้างขมับ ก่อนจะพูดเบาๆ : "ไม่แปลกเลย ผีเสื้อนี้แม้จะตัวเล็ก แต่ก็ปราณีตงดงาม"ไม่ได้เจอกันหนึ่งคืน กลิ่นหอมจากตัวซูชิงลั่วทำให้จิตใจของเขาเริ่มยุ่งเหยิง เขาวางมือลงบนบ่านางเบาๆ มองนางที่อยู่ในกระจก ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม งดงามราวกับคู่กิ่งทองใบหยกหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น รู้สึกได้ถึงศีรษะของลู่เหิงจือที่ใกล้นางเข้ามาเรื่อยๆ อีกทั้งมือก็ยังยื่นเข้ามาในคอเสื้อของนางปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยสัมผัสโดนผิวหนังนางสั่นไหวไปทั้งตัวเวลานี้จื๋อหยวนเข้ามารายงาน : "นายหญิง ป้าเฉิงมาแล้ว"ซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ ตั้งใจจะปัดมือของลู่เหิงจือออก แต่กลับถูกลู่เหิงจือกดไว้แน่นนางกลัวว่าจะเสียงดังเก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องลู่เหิงจือเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ในสวนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วแสงแดดเจิดจ้าและอบอุ่นซูชิงลั่วไม่ได้กลับมานาน ไม่ว่าเดินไปที่ใดก็มีความรู้สึกคุ้นเคยที่แปลกใหม่ลู่เหิงจือกุมมือนาง สิบนิ้วสอดประสานกันแรกเริ่มนางมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย แต่นางเปลี่ยนลู่เหิงจือไม่ได้ อีกทั้งยังอยู่ในบ้านของนางเองจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษและค่อยๆ ชินไปเองบ่าวรับใช้ในสวนน้อยลงไปมากหากเทียบกับตอนเด็ก เมื่อเห็นนางต่างก็อมยิ้มพร้อมขานเรียกนางคุณหนูไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้ในจวนตัวเอง เมื่อยิ้มแล้วดูสนิทสนมเป็นกันเองกว่าบ่าวรับใช้ที่บ้านตระกูลลู่ในเมืองหลวงไม่น้อยลู่เหิงจือจูงมือนางค่อยๆ เดินไปยังริมสระในสวน น้ำในสระเป็นน้ำแร่ที่ปล่อยเข้ามาจากนอกเมือง ใสสะอาด สามารถมองเห็นหินที่อยู่ก้นสระได้ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "เล่าเรื่องตอนเด็กของเจ้าให้ข้าฟังสิ""เล่าเรื่องใด" นางหันไปมองเขา "ท่านอยากฟังเรื่องใด""เรื่องใดก็ได้" เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ "ตอนเด็กเจ้าชอบไปเล่นที่ใด"ซูชิงลั่วเห็นเรือลำเล็กลำหนึ่งที่อยู่ในสระ พลันนึกถึงเรื่อ
นางลากลู่เหิงจือเบียดเสียดเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ปรบมือแสดงความชอบใจ ทั้งยังให้เงินไปไม่น้อยเดินตลอดทั้งเช้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อย แค่รู้สึกหิวเล็กน้อยเห็นถังหูลู่ที่ขายอยู่ข้างทาง ซูชิงลั่วจึงหันไปถามลู่เหิงจือ : "ท่านจะกินหรือไม่"ลู่เหิงจือส่ายหน้า : "เจ้าอยากกินหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้าเป็นลูกไก่กำลังจิกข้าวลู่เหิงจือตอบด้วยความอ่อนโยน : "เช่นนั้นข้าจะซื้อให้เจ้า"ไม่นานนัก ซูชิงลั่วก็ถือถังหูลู่หนึ่งไม้ ยิ้มร่าตาหยีด้วยความพึงพอใจลู่เหิงจือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาลที่มุมปากของนาง พลางมองนาง : "ก็แค่ถังหูลู่ไม้เดียว ดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ"ซูชิงลั่วเลิกคิ้ว : "แน่นอน สามีข้าซื้อให้"ผู้คนที่ผ่านไปมา บริเวณรอบๆ ที่คึกคักเสียงดังราวกับล้วนแต่ไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลแล้ว โลกทั้งใบเหลือเพียงเขาสองคนลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับซูชิงลั่วสัมผัสได้ ก็หันไปจ้องเขาอย่างงงๆ เช่นกัน ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยถาม : "เหตุใดท่านไม่เดินล่ะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ : "ข้ากำลังคิดว่า ต่อไปควรจะซื้อของให้เจ้ามากหน่อย"ซูชิงลั่วยัดถังหูลู่เข้าปากเขา : "รีบไปได้แล้ว ยัง