นึกถึงยามที่ตนแกล้งหลับแล้วท่านพ่อจูงมือท่านแม่มานั่งตรงใต้ต้นกุ้ยฮวาในลานบ้านของนาง แล้วคุยกันกระซิบกระซาบ : "ลูกสาวของเรานับวันก็ยิ่งงามขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะต้องหาสามีดีๆ แทนนางเป็นแน่"……ความทรงจำที่ผ่านมาเนิ่นนานและเลือนลางไปแล้วเหล่านี้ ยามนี้จู่ๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้งทำให้นางรู้สึกมีความสุขและเศร้าใจในเวลาเดียวกันโชคดีที่ยามนี้นางมีลู่เหิงจือ สามารถซบในอกเขาแล้วร้องไห้ฟูมฟายอย่างเอาแต่ใจได้โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นพฤติกรรมต้องห้ามของคุณหนูตระกูลผู้ดีอีกลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไร อยู่เคียงข้างนางอยู่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของซูชิงลั่วหรืออย่างไร ตอนที่จื๋อหยวนเข้ามารินน้ำชา ดวงตานางแดงก่ำ สีหน้าพยายามอดกลั้น แต่กลับอดไม่ไหว สุดท้ายก็น้ำตาไหลออกมาซูชิงลั่วกวักมือเรียกนางเข้ามา ลู่เหิงจือจึงลุกขึ้น ซูชิงลั่วกอดคอร้องไห้กับจื๋อหยวนลู่เหิงจือเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับปิดประตู เว้นพื้นที่ให้พวกนางนายบ่าวได้อยู่กันตามลำพังโชคดีที่เรือนของซูชิงลั่วยังมีห้องว่าง เขาสามารถใช้เป็นห้องหนังสือได้พอดีตัดกำลังสำคัญขององค์รัชทายาทแล้ว ทั้งยังหาเงินกว่าล้านตำลึงกลับท้องพระคล
ค่ำคืนนี้ ซูชิงลั่วและจื๋อหยวนรู้สึกราวกับย้อนกลับไปในวัยเด็กเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ทั้งสองคนนอนอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยกัน หวนนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้น ทั้งหัวเราะและร้องไห้ สุดท้ายง่วงจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะค่อยๆ หลับไปไม่รู้ว่าเพราะได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาโดยสิ้นเชิงแล้วหรือไม่ ซูชิงลั่วหลับสนิท กระทั่งฟ้าสางก็ยังไม่ตื่นจื๋อหยวนเป็นบ่าวแน่นอนว่าไม่สามารถนอนตื่นสายได้ ทว่าทันทีที่ขยับก็ถูกซูชิงลั่วรั้งไว้ : "นอนต่ออีกหน่อย"นางสะลึมสะลือ น้ำเสียงก็งัวเงียฟังไม่ชัด ดูท่าทางจะง่วงไม่ใช่น้อยจื๋อหยวนกลัวจะเสียงดังจนทำนางตื่น จึงทำได้เพียงแค่กลับลงไปนอนใหม่อีกครั้งส่วนลู่เหิงจือ ทันทีที่ฟ้าเพิ่งจะสว่างเขาก็ลืมตาตื่นแล้วเคยชินกับการที่ข้างกายมีซูชิงลั่ว จู่ๆ ต้องนอนคนเดียวจึงนอนไม่ค่อยหลับไม่รู้ว่าหญิงใจร้ายผู้นั้นจะหลับเป็นเช่นไรบ้างมิน่าถึงว่ากันว่าที่ที่มีสาวงามนั้นอบอุ่นชวนให้คนลุ่มหลง ดูเหมือนเขาจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดบุรุษในอดีตจึงหลงสาวงามจนไม่ออกว่าราชการยามเช้าคิดถึงตรงนี้ ตัวเขาเองรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยหลังความประหลาดใจก็อดขำออกมาไม่ได้ตำรานักปราชญ์ที่เคยอ่านก่อนห
ลู่เหิงจือเดินเข้าไปในห้องด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าใดนักซูชิงลั่วกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในมือนางถือปิ่นทองอันเล็กๆ ลายผีเสื้ออันหนึ่ง พลางหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มสดใส : "พี่สาม ท่านดูสิ ข้าเจอปิ่นปักผมที่ข้าใช้เมื่อครั้งยังเด็กด้วย หานำมาใช้ตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้แปลกเท่าใดนัก"ไฟโกรธที่โหมในใจลู่เหิงจือพลันสลายตัวเขาเดินเข้าไปด้านหลังนาง ยกมือขึ้นไปรับปิ่นปักผมในมือนางมา แล้วช่วยนางปักลงไปบนผมข้างขมับ ก่อนจะพูดเบาๆ : "ไม่แปลกเลย ผีเสื้อนี้แม้จะตัวเล็ก แต่ก็ปราณีตงดงาม"ไม่ได้เจอกันหนึ่งคืน กลิ่นหอมจากตัวซูชิงลั่วทำให้จิตใจของเขาเริ่มยุ่งเหยิง เขาวางมือลงบนบ่านางเบาๆ มองนางที่อยู่ในกระจก ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม งดงามราวกับคู่กิ่งทองใบหยกหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น รู้สึกได้ถึงศีรษะของลู่เหิงจือที่ใกล้นางเข้ามาเรื่อยๆ อีกทั้งมือก็ยังยื่นเข้ามาในคอเสื้อของนางปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยสัมผัสโดนผิวหนังนางสั่นไหวไปทั้งตัวเวลานี้จื๋อหยวนเข้ามารายงาน : "นายหญิง ป้าเฉิงมาแล้ว"ซูชิงลั่วสะดุ้งตกใจ ตั้งใจจะปัดมือของลู่เหิงจือออก แต่กลับถูกลู่เหิงจือกดไว้แน่นนางกลัวว่าจะเสียงดังเก
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องลู่เหิงจือเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ในสวนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วแสงแดดเจิดจ้าและอบอุ่นซูชิงลั่วไม่ได้กลับมานาน ไม่ว่าเดินไปที่ใดก็มีความรู้สึกคุ้นเคยที่แปลกใหม่ลู่เหิงจือกุมมือนาง สิบนิ้วสอดประสานกันแรกเริ่มนางมีท่าทีเขินอายเล็กน้อย แต่นางเปลี่ยนลู่เหิงจือไม่ได้ อีกทั้งยังอยู่ในบ้านของนางเองจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษและค่อยๆ ชินไปเองบ่าวรับใช้ในสวนน้อยลงไปมากหากเทียบกับตอนเด็ก เมื่อเห็นนางต่างก็อมยิ้มพร้อมขานเรียกนางคุณหนูไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้ในจวนตัวเอง เมื่อยิ้มแล้วดูสนิทสนมเป็นกันเองกว่าบ่าวรับใช้ที่บ้านตระกูลลู่ในเมืองหลวงไม่น้อยลู่เหิงจือจูงมือนางค่อยๆ เดินไปยังริมสระในสวน น้ำในสระเป็นน้ำแร่ที่ปล่อยเข้ามาจากนอกเมือง ใสสะอาด สามารถมองเห็นหินที่อยู่ก้นสระได้ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : "เล่าเรื่องตอนเด็กของเจ้าให้ข้าฟังสิ""เล่าเรื่องใด" นางหันไปมองเขา "ท่านอยากฟังเรื่องใด""เรื่องใดก็ได้" เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ "ตอนเด็กเจ้าชอบไปเล่นที่ใด"ซูชิงลั่วเห็นเรือลำเล็กลำหนึ่งที่อยู่ในสระ พลันนึกถึงเรื่อ
นางลากลู่เหิงจือเบียดเสียดเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ปรบมือแสดงความชอบใจ ทั้งยังให้เงินไปไม่น้อยเดินตลอดทั้งเช้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อย แค่รู้สึกหิวเล็กน้อยเห็นถังหูลู่ที่ขายอยู่ข้างทาง ซูชิงลั่วจึงหันไปถามลู่เหิงจือ : "ท่านจะกินหรือไม่"ลู่เหิงจือส่ายหน้า : "เจ้าอยากกินหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้าเป็นลูกไก่กำลังจิกข้าวลู่เหิงจือตอบด้วยความอ่อนโยน : "เช่นนั้นข้าจะซื้อให้เจ้า"ไม่นานนัก ซูชิงลั่วก็ถือถังหูลู่หนึ่งไม้ ยิ้มร่าตาหยีด้วยความพึงพอใจลู่เหิงจือใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาลที่มุมปากของนาง พลางมองนาง : "ก็แค่ถังหูลู่ไม้เดียว ดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ"ซูชิงลั่วเลิกคิ้ว : "แน่นอน สามีข้าซื้อให้"ผู้คนที่ผ่านไปมา บริเวณรอบๆ ที่คึกคักเสียงดังราวกับล้วนแต่ไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลแล้ว โลกทั้งใบเหลือเพียงเขาสองคนลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่อย่างนั้น ไม่ขยับซูชิงลั่วสัมผัสได้ ก็หันไปจ้องเขาอย่างงงๆ เช่นกัน ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยถาม : "เหตุใดท่านไม่เดินล่ะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ : "ข้ากำลังคิดว่า ต่อไปควรจะซื้อของให้เจ้ามากหน่อย"ซูชิงลั่วยัดถังหูลู่เข้าปากเขา : "รีบไปได้แล้ว ยัง
รถม้าหยุดตรงหน้าประตูบ้านตระกูลซูซูชิงลั่วรีบผลักลู่เหิงจือออก พูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ : "ถึงเรือนแล้วเจ้าค่ะ"พูดจบก็กระโดดลงรถม้าไปก่อนด้วยความเขินอายหน้าแดง ไม่ยอมรอเขา แล้วตรงดิ่งเข้าไปในห้องทันที แม้แต่จื๋อหยวนที่กางร่มให้ก็ถูกนางทิ้งไว้ด้านหลังกลับถึงห้องล้มตัวลงบนเตียงแล้วซุกหน้าเข้าไปในผ้าห่ม ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ จู่ๆ ก็ยื่นมือออกมาตีลงไปบนหมอนของลู่เหิงจือไม่ได้ร่วมหอกันนานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาได้รับบาดเจ็บ นอกจากที่ใช้มือช่วยเขาครั้งเดียว ยามอื่นทั้งคู่ต่างก็อยู่ในขนบธรรมเนียมตลอด นางเองก็มีความต้องการเช่นกันแต่รออยู่สักพักแล้วลู่เหิงจือก็ยังไม่เข้ามา ซูชิงลั่วเอ่ยถามจื๋อหยวนด้วยความประหลาดใจ : "ใต้เท้าล่ะ ?"จื๋อหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม : "ใต้เท้าเข้าครัวไปแล้ว บอกว่าจะนึ่งซาลาเปาซุปไก่ให้นายหญิง"ใบหน้าเล็กๆ ของซูชิงลั่วแดงขึ้นมาอีกครั้งฟ้าใกล้มืดแล้ว ซูชิงลั่วคิดว่าไม่สู้อาบน้ำเสียก่อนจะดีกว่านางสั่งให้จื๋อหยวนยกน้ำร้อนเข้ามา ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกผิดขึ้นมา คิดว่ายังไม่ได้กินข้าวแล้วอาบน้ำก่อนจะดูแปลกไปหน่อย จึงอธิบายออกมาเองโดยที่ไม่มีผู้ใดถาม : "เดินม
ฉะนั้นตั้งแต่นั้นมา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้เงยหน้ามองเขาอีกเลย และตั้งใจก้มศีรษะกินข้าวอย่างเดียวหลังจากกินข้าวสร็จ นางก็ไม่กล้าสบตาลู่เหิงจือ และรีบกลับไปในห้องนอน นอนลงบนเตียง ห่มผ้า ครุ่นคิด แล้วดึงม่านเตียงลงด้วยความเขินอายนางกดมือทั้งสองข้างลงบนแก้มของตน - ร้อนผ่าวตลอดเวลา ไม่หยุดเลยทว่าหลังจากรออยู่นาน ลู่เหิงจือก็ยังไม่เข้ามาผ่านไปชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกดัง "เอี๊ยด" เขากลับออกจากห้องไป???ซูชิงลั่วเปิดม่านเตียงออกด้วยความไม่เชื่อ เดินออกไป และพบว่าด้านนอกว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยนางเคาะประตูถามจื๋อหยวนว่า "ใต้เท้าล่ะ"จื๋อหยวนตอบว่า "ใต้เท้าอยู่ที่ห้องหนังสือกับซ่งเหวิน บอกว่ามีจดหมายจากเมืองหลวง มีเรื่องเร่งด่วนเจ้าค่ะ"ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหม่นหมองที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน "ก็ได้"นางไปนั่งลงบนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกราวกับภรรยาคนหนึ่งที่รอคอยสามีกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อภรรยาตัวน้อยรอคอยอยู่นานแต่ก็ไร้เงาของสามี จึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาลู่เหิงจือเป็นอะไรเนี่ย ทำไมถึงหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หรือว่าตั้งใจ?ครึ่งชั่วย
อ่อนนุ่มช่างอ่อนนุ่มนิ่มเหลือเกินนางไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยายให้เหมาะสมยิ่งกว่านี้รู้สึกราวกับร่วงหล่นจากก้อนเมฆ ลงสู่ผืนน้ำจนหายใจไม่ออกผมที่แห้งชื้นไปด้วยเหงื่อ กลับเปียกชุ่มอีกครั้งนางรู้สึกราวกับเป็นเครื่องลายครามที่ถูกคนผู้หนึ่งจับไว้ในมือ เล่นด้วยความรักใคร่ แกะสลักอย่างประณีต และวาดลวดลายกิ่งก้านดอกไม้ที่สวยงามทว่าเขาเป็นช่างฝีมือที่ดีที่สุด มือที่ผอมเรียวของเขาทั้งเย็นชาและมีเส้นเลือดชัดเจน ดูน่าเกรงขามและเย็นชานักดวงตาก็พลอยคลอไปด้วยน้ำตา นางเงยหน้ามองแสงเทียนสลัว รู้สึกว่าร่างกายของนางราวกับกำลังเต้นระบำตามแสงไฟนั้นลู่เหิงจือมองลงมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา แต่คำพูดที่เปล่งออกมานั้นกลับทำให้นางใบหน้าแดงก่ำ “ที่ข้าทำกับเจ้าในห้องเช่นนี้ ชอบหรือไม่”ดวงตาที่เปียกชื้นของนางมองเขา นางพูดไม่ออก รู้สึกทั้งไร้เดียงสาและอ้อนวอนลู่เหิงจือหรี่ตาลงเล็กน้อยทันที และดึงผ้าเช็ดหน้ามาปิดดวงตาของนาง โยนพู่กันทิ้ง แล้วบรรเลงจูบหากมองต่อ เขาอาจลงมือไม่ได้และทันใดนั้น สายตาก็ว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรอีกเลย เหลือไว้เพียงความรู้สึก แต่กลับยิ่งทำให้ยากที่จะหยุดยั้งทั้งร้อนแรงและ