ฉะนั้นตั้งแต่นั้นมา ซูชิงลั่วก็ไม่ได้เงยหน้ามองเขาอีกเลย และตั้งใจก้มศีรษะกินข้าวอย่างเดียวหลังจากกินข้าวสร็จ นางก็ไม่กล้าสบตาลู่เหิงจือ และรีบกลับไปในห้องนอน นอนลงบนเตียง ห่มผ้า ครุ่นคิด แล้วดึงม่านเตียงลงด้วยความเขินอายนางกดมือทั้งสองข้างลงบนแก้มของตน - ร้อนผ่าวตลอดเวลา ไม่หยุดเลยทว่าหลังจากรออยู่นาน ลู่เหิงจือก็ยังไม่เข้ามาผ่านไปชั่วครู่ ประตูก็เปิดออกดัง "เอี๊ยด" เขากลับออกจากห้องไป???ซูชิงลั่วเปิดม่านเตียงออกด้วยความไม่เชื่อ เดินออกไป และพบว่าด้านนอกว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยนางเคาะประตูถามจื๋อหยวนว่า "ใต้เท้าล่ะ"จื๋อหยวนตอบว่า "ใต้เท้าอยู่ที่ห้องหนังสือกับซ่งเหวิน บอกว่ามีจดหมายจากเมืองหลวง มีเรื่องเร่งด่วนเจ้าค่ะ"ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหม่นหมองที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน "ก็ได้"นางไปนั่งลงบนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกราวกับภรรยาคนหนึ่งที่รอคอยสามีกลับบ้านอย่างใจจดใจจ่อภรรยาตัวน้อยรอคอยอยู่นานแต่ก็ไร้เงาของสามี จึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาลู่เหิงจือเป็นอะไรเนี่ย ทำไมถึงหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หรือว่าตั้งใจ?ครึ่งชั่วย
อ่อนนุ่มช่างอ่อนนุ่มนิ่มเหลือเกินนางไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยายให้เหมาะสมยิ่งกว่านี้รู้สึกราวกับร่วงหล่นจากก้อนเมฆ ลงสู่ผืนน้ำจนหายใจไม่ออกผมที่แห้งชื้นไปด้วยเหงื่อ กลับเปียกชุ่มอีกครั้งนางรู้สึกราวกับเป็นเครื่องลายครามที่ถูกคนผู้หนึ่งจับไว้ในมือ เล่นด้วยความรักใคร่ แกะสลักอย่างประณีต และวาดลวดลายกิ่งก้านดอกไม้ที่สวยงามทว่าเขาเป็นช่างฝีมือที่ดีที่สุด มือที่ผอมเรียวของเขาทั้งเย็นชาและมีเส้นเลือดชัดเจน ดูน่าเกรงขามและเย็นชานักดวงตาก็พลอยคลอไปด้วยน้ำตา นางเงยหน้ามองแสงเทียนสลัว รู้สึกว่าร่างกายของนางราวกับกำลังเต้นระบำตามแสงไฟนั้นลู่เหิงจือมองลงมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา แต่คำพูดที่เปล่งออกมานั้นกลับทำให้นางใบหน้าแดงก่ำ “ที่ข้าทำกับเจ้าในห้องเช่นนี้ ชอบหรือไม่”ดวงตาที่เปียกชื้นของนางมองเขา นางพูดไม่ออก รู้สึกทั้งไร้เดียงสาและอ้อนวอนลู่เหิงจือหรี่ตาลงเล็กน้อยทันที และดึงผ้าเช็ดหน้ามาปิดดวงตาของนาง โยนพู่กันทิ้ง แล้วบรรเลงจูบหากมองต่อ เขาอาจลงมือไม่ได้และทันใดนั้น สายตาก็ว่างเปล่า มองไม่เห็นอะไรอีกเลย เหลือไว้เพียงความรู้สึก แต่กลับยิ่งทำให้ยากที่จะหยุดยั้งทั้งร้อนแรงและ
นางยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดกับตัวเองว่า "น่าจะไม่มีหรอก เมื่อวานข้าก็อ่อนโยนอยู่นะ"อ่อนโยนเขายังกล้าพูดว่าอ่อนโยนอีกหรือตกลงเขาเข้าใจความหมายของคำว่าอ่อนโยนหรือไม่ก็แค่ช่วงแรกน่ะนะที่ดูอ่อนโยน พอหลังจากนั้นก็ลากนางไปที่พื้น ถึงแม้จะปูผ้าห่มไว้ก็เถอะ แต่......อันที่จริงแล้ว......ก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไรมากนัก ลู่เหิงจือเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วแต่เพื่อภายภาคหน้า นางจะยอมรับเช่นนี้ไม่ได้นางเม้มริมฝีปาก "ข้าปวดเอว"ลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง"ขาก็ปวดด้วย"เสียงของนางฟังดูอ่อนแอลู่เหิงจือเปิดผ้าห่มออก มือของเขาไปแตะที่น่องของนาง "ปวดขาตรงไหน ข้านวดให้"เขาจับน่องของนาง แล้วนวดเบาๆ อย่างช้าๆซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายจึงรีบดึงขาของตนกลับ “ไม่เป็นไร ขาข้าไม่เจ็บแล้ว”ลู่เหิงจือจับข้อเท้าของนางไว้ “ถ้าอย่างนั้นเจ็บตรงไหน”ซูชิงลั่วพูดวกไปวนมาและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรียกคนยกข้าวมาเถิด ข้าหิวแล้ว”ลู่เหิงจือชะงักไปครู่หนึ่ง “เข่า?”“……”นางเตะเขาไปหนึ่งทีลู่เหิงจือดึงปลายขากางเกงของนางขึ้น ก็เห็นเข่าแดงเล็กน้อย โชคดีที่ไม่ได้เป็นแผล“ประเดี๋ยวให้หมอเอายามาติดให้” เสียงของเขามี
หากลู่เหิงจือไม่อยากไป เขาย่อมมีวิธีที่จะอยู่ต่อได้อีกมากมาย โดยเฉพาะฮูหยินของเขาที่ใจอ่อนง่ายแต่ด้วยความที่เห็นใจร่างกายของนาง และต้องการให้นางได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เขาก็ยอมให้ภรรยาของเขา“ไล่” ออกไปอย่างง่ายดายเมื่อปิดประตูแล้ว เขานึกถึงท่าทางของซูชิงลั่วเมื่อครู่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ต้องยอมรับว่า เขากำลังหลงใหลในความอ่อนโยนของฮูหยินขณะที่กำลังจะไปห้องหนังสือข้างๆ เขาก็เห็นซ่งเหวินยืนอยู่ห่างๆ อย่างลับๆ ล่อๆ และมองมาทางนี้ไม่หยุดลู่เหิงจืออารมณ์ดี มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร และถามออกไปว่า “มีอะไรหรือ”ซ่งเหวินรีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยความระมัดระวังว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยเพิ่งเคยมาจินหลิงเป็นครั้งแรก งานวัดยังเหลืออีกไม่กี่วัน ข้าน้อยอยากจะไปร่วมสนุกบ้าง ไม่ทราบว่าจะอนุญาตหรือไม่”ตามที่เขาเข้าใจลู่เหิงจือ วันนี้เป็นวันที่ใต้เท้าเขามีความสุขที่สุดในรอบสิบกว่าปีลู่เหิงจือโบกมือเป็นเชิงอนุญาต “ไปได้ ไปเที่ยวกับฉางชิงและคนอื่นๆ เถอะ ช่วงนี้ไม่มีอะไรต้องทำ ที่จวนก็ไม่ขาดคนรับใช้”ซ่งเหวินตอบด้วยความดีใจ “ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ แต่ว่า…”ลู่เหิงจือ “พูดมาเถอะ”ซ่งเ
"ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ ข้าขาดเงินเสียที่ไหนเล่า"ซูชิงลั่วยิ้มออกมา แล้วนึกถึงคำพูดของลู่เหิงจือ จึงพูดว่า “หากคิดว่าที่บ้านใช้ไม่หมด ก็เก็บไว้ใช้เอง เจ้าถึงวัยแต่งงานแล้ว ควรจะคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้าง หากมีคนที่ชอบ ข้าจะช่วยออกหน้าให้ มาบอกข้าได้เลย"จื๋อหยวนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา “ฮูหยินพูดอะไรเจ้าคะ”นางพูดตะกุกตะกัก “เดิม เดิมทีซ่งเหวินชวนบ่าวไปงานวัด ท่านพูดเช่นนี้ บ่าวไม่กล้าไปแล้วเจ้าค่ะ”แสดงท่าทางเหมือนนางไม่รู้สึกผิดเลย แม้ใบหน้าจะแดงก่ำก็ตามซูชิงลั่วพยายามกลั้นความอยากรู้ไว้ และจงใจหยอกล้อนาง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป จะได้ไม่มีใครมาพูดจาให้เสียหาย เจ้าคงไม่กล้าพบซ่งเหวินแล้ว"จื๋อหยวน "......"นางรู้สึกว่า ฮูหยินยของนางน่าจะอยู่กับใต้เท้ามานาน จนไม่ใสซื่อเหมือนแต่ก่อนแล้ว*หลังจากที่ลู่เหิงจือได้รับบาดเจ็บและยื่นเรื่องขอลาป่วยเพื่อพักฟื้น เมืองหลวงก็ดูวุ่นวายขึ้นมาหวังเหลียงฮั่นถูกจับตัวไปสอบสวนที่สามสำนักแห่งเมืองหลวง สุดท้ายโดนลงโทษเพียงถูกเนรเทศไปยังแดนไกล องค์รัชทายาทถูกตำหนิและถูกกักบริเวณเพื่อไตร่ตรองความผิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน อำนาจก็ลดลงไปมากฮองเฮาตกอยู่ในสถาน
ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ซูชิงลั่วกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงว่า “เขาน่าสงสาร” ในน้ำเสียงเรียบเฉยของเขาซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก มองเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความลังเลว่า “ถ้าอย่างนั้นข้า......ป้อนให้ท่านหนึ่งลูก?"ลู่เหิงจือพยักหน้าซูชิงลั่วมีปลายนิ้วเรียวเล็กขาวเนียน ราวกับแกนในสุดของหอมหัวใหญ่ที่ปอกเปลือกออกทีละชั้นจนถึงชั้นที่อ่อนนุ่มที่สุดเม็ดองุ่นสีเขียวมรกตวางอยู่บนปลายนิ้วของนางราวกับไข่มุกแวววาวซูชิงลั่วส่งองุ่นในมือให้ลู่เหิงจือที่ริมฝีปาก มองเขาด้วยดวงตาสดใสลู่เหิงจือฉายแววสีเข้มในดวงตาเล็กน้อยแล้วอ้าปากเม็ดองุ่นนั้นส่ายไปมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา ก่อนที่ซูชิงลั่วจะเอาเข้าปากของตัวเองซูชิงลั่วมองเขาอย่างได้ใจ กินองุ่นอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเปล่งเสียง "อืม" ลากยาวออกมาแววตาของนางนั้นชัดเจนว่าหมายถึง "ไม่ให้เจ้าหรอก"หลังจากกินเสร็จ นางก็เช็ดมือ แล้วลุกขึ้นยืนและพูดว่า "โดนหลอกมาหลายเดือนแล้ว คราวนี้ข้าจะไม่หลงกลอีกแล้ว"ในช่วงหลายเดือนที่อยู่กับเขา ณ จินหลิง ทำให้นางเข้าใจถึงความเจ้าเล่ห์ของเขามากขึ้นลู่เหิงจือ "......"ไม่ค่อยดีเลย ฮูหยินของเขายิ่งหลอ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูชิงลั่วสั่งให้ทุกคนช่วยกันเก็บของ และในขณะนั้นเอง นางก็ได้รับจดหมายจากท่านยายที่ส่งมาจากเมืองหลวงนางเขียนจดหมายถึงท่านยายทุกเดือนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เดือนนี้ท่านยายเพิ่งตอบกลับมาเอง เหตุใดจึงส่งมาอีกฉบับนางเปิดอ่านแล้วสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม“เพราะเหตุใด?”ลู่เหิงจือเก็บของเสร็จเดินเข้ามาเห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงเดินไปหานางซูชิงลั่วส่งจดหมายให้เขา “บิดาของนางหลิ่วกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมธรรมการ และได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างมาก ท่านยายบอกว่าทั้งเขาและองค์รัชทายาทที่อยู่เบื้องหลังเขาได้สอบถามเรื่องของนางหลิ่ว คงจำเป็นต้องรับนางหลิ่วกลับจากชนบทแล้ว”อีกทั้งในจดหมายยังกล่าวอีกว่า ลู่เหยียนได้ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกับเฉิงซิ่ว บุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งเป็นฝ่ายตระกูลเฉิงที่เข้ามาสู่ขอเองก่อนหน้านี้ในงานชมดอกไม้ เฉิงซิ่วก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกดีที่มีต่อลู่เหยียน และเมื่อบิดาของนางหลิ่วกลับมามีอำนาจอีกครั้ง การที่นางจะลดตัวลงมาสู่ขอจึงถือเป็นเรื่องปกติก่อนหน้านี้ นางกับนางหลิ่วเคยทะเลาะกันอย่างรุนแรง และเฉิงซิ่วก็แส
ซูชิงลั่วพยายามผลักเขาออก และกระซิบว่า "มีคนอื่นอยู่ด้วย......"จื๋อหยวนกับคนอื่นๆ กำลังเก็บของอยู่ด้านนอกและอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อลู่เหิงจือกัดริมฝีปากของนางเบาๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยนางไปหัวใจที่เต้นรัวของนางเพิ่งสงบลง แต่ในทันใดนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว"ท่านจะทำอะไร" นางพยายามดิ้นรน แต่ก็มาถึงห้องโถงแล้ว เห็นสาวใช้หลายคนกำลังยุ่งอยู่ นางจึงรีบซบหน้าลงบนอกของลู่เหิงจือลู่เหิงจืออุ้มนางไปที่ห้องหนังสือและปิดประตูเสียงดังห้องหนังสือเหลือเพียงพวกเขาสองคนซูชิงลั่วโอบคอของเขาไว้และร้องเสียงหลงเบาๆ ว่า "ท่านบ้าไปแล้วหรือ"เขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับอุ้มนางไว้โดยไม่พูดอะไร และวางนางลงบนเก้าอี้ในห้องหนังสือด้วยสายตาที่นิ่งเฉย เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าคาดเอวของนางออกแล้วดึงเสื้อผ้าของนางออกไหล่เปลือยของนางขาวซีดและบอบบาง ดูเหมือนจะหักได้โดยง่ายเขาก้มลงจูบนางซูชิงลั่วรู้สึกคันเล็กน้อยที่บริเวณไหล่และอดไม่ได้ที่จะหดตัวลงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง พัดมาโดนไหล่จนรู้สึกเย็นเยือก ซึ่งหน้าต่างยังไม่ได้ปิดเลยด้วยซ้ำซูชิงลั่วพยายามสลัดตัว “หน้าต่าง......”ลู