ซูชิงลั่วแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน กอดไหล่ราวกับกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ "ท่านยังบอกอีกว่าจะปฏิบัติต่อข้าด้วยความสุภาพ คนโกหก"ลู่เหิงจือเข้าไปใกล้ ยกมือลูบไหล่นางแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด "ไม่ได้โกหกเจ้า"พูดจบ เขาก็เหมือนรู้สึกว่าไม่อาจโน้มน้าวใจได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อว่า "ข้าหมายถึงสุภาพแบบโจวกงน่ะ"ซูชิงลั่ว "???"เถียงไม่ชนะ นางเป็นฝ่ายแพ้ทว่าค่ำคืนก่อนจะเดินทางไปเมืองหลวง ทำให้ทั้งสองคนประทับใจไม่ลืม*วันที่สิบเดือนเก้า เหมาะแก่การเดินทางไกลข้างประตูเรือนของตระกูลซู มีเหล่าผู้รับใช้ยืนเรียงเป็นสองแถว มองตามหลังซูชิงลั่วคู่บ่าวสาวด้วยความอาลัยอาวรณ์โดยเฉพาะผู้ดูแลถานถึงกับใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาเขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับคุณหนูอีกหรือไม่ซูชิงลั่วมองผู้ดูแลถานและโค้งคำนับให้กับเขา“อาถาน ชิงลั่วขอคารวะท่าน หลายปีมานี้ขอบคุณท่านมาก”“คุณหนูอย่าทำเช่นนี้เลย” ผู้ดูแลถานพูดพลางกลั้นน้ำตา “เห็นใต้เท้าดูแลคุณหนูดีมาก ข้าก็สบายใจแล้ว แม้จะจากโลกนี้ไปก็จะได้ไปรายงานนายท่านได้แล้ว”“ท่านพูดอะไรเช่นนั้น” หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวด นางไม่อยากพูดอะไรอีก จึง
กระทั่งกินอาหารเสร็จแล้วกลับเข้าห้อง ซูชิงลั่วถึงถามลู่เหิงจือว่า เหตุใดถึงมองสาวผู้นั้นแม่นางผู้นั้นก็สวยดี แต่ก็ไม่ได้สวยถึงขั้นทำให้ละสายตาไม่ได้เขาคงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างลู่เหิงจือโอบนางไว้ คิดครุ่นอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ดวงตาและคิ้วของนางดูคล้ายน้องสาวที่หายไปเมื่อเก้าปีก่อนของข้า แต่เสียดายที่ตำแหน่งของไฝใต้ตาไม่ตรงกัน น้องสาวข้ามีไฝที่ใต้ตาข้างซ้าย”ซูชิงลั่วชะงักไป “ท่านหมายความว่า ท่านยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน น้องสาวแท้ๆ รึ”ลู่เหิงจือพยักหน้าช้าๆ น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา “น้องสาวแท้ๆ ข้าไม่มีนิสัยชอบรับใครเป็นน้องสาวหรือพี่ชายบุญธรรม”“……”หลี่ว์เผิงเทียนกลับหังโจวแล้ว ยังจะมาหึงหวงเช่นนี้อีกซูชิงลั่วรู้สึกผิดจึงหลบสายตา “ข้าไม่รู้เรื่องเลย ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”นางออดอ้อนด้วยการจับแขนเสื้อเขาลู่เหิงจือยิ้มเยาะเบาๆเขาไม่ได้หึงหวงต่อ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องสาวของข้าชื่อลู่ซือไหว อายุน้อยกว่าข้าห้าปี หากยังอยู่ก็คงอายุสิบแปดแล้ว นางหายตัวไปขณะอายุเจ็บขวบ ปีนั้นพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน บ้านก็วุ่นวายไปหมด เป็นความผิดของข้า
บ้านตระกูลลู่ได้ส่งคนไปรออยู่ที่ประตูเมืองนานแล้ว พอเห็นพวกเขาก็รีบส่งข่าวกลับจวนทันทีรถม้าจอดอยู่หน้าประตูจวนลู่ซูชิงลั่วค่อยๆ เปิดม่านรถออกมา ท่านยายพยุงไม้เท้าเดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเมื่อเห็นซูชิงลั่วแวบแรก นางก็น้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา และยิ้มพลางพยักหน้าให้กับนางซูชิงลั่วอยากร้องไห้ประตูรถเปิดออก ลู่เหิงจือลงจากรถก่อน แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปช่วยพยุงซูชิงลั่วลงมาฉากนี้ทำให้ลู่เหยียนเจ็บปวดอย่างรุนแรงไม่ได้เจอกันแรมปี ซูชิงลั่วดูงดงามขึ้นมากดวงตาเย้ายวนของนางยิ่งดูเปล่งประกาย ราวกับจิ้งจอกน้อย ข้อมือเล็กเท่าฝ่ามือ เอวบางเฉียบ รูปร่างดูอ่อนช้อยเย้ายวนใจ เปลี่ยนไปจากเดิมที่ดูเรียบง่ายโดยสิ้นเชิงน่าแปลกมาก ทั้งที่เป็นคนเดียวกัน เหตุใดถึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้เขามองมือทั้งสองที่จับกันอย่างแนบแน่นด้วยความริษยาช่าง......น่าเสียดายเหลือเกินร่างกายนี้ควรจะเป็นของเขาชัดๆ แต่เขายังไม่ได้สัมผัสเลยเขาเลียริมฝีปากเบาๆ แล้วก็สบเข้ากับสายตาที่แหลมคมของลู่เหิงจือ รีบจึงก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองอีกเลยลู่เหิงจือเบือนหน้า แล้วพาซูชิงลั่วไปคารวะท่านยายและบ
ทว่าบัดนี้นางไม่คิดแล้วนางยิ้มจางๆ “หากท่านน้ารองถามที่ประตู ก็ต้องพูดให้กระจ่างที่ประตู หากเข้าไปด้านในยามนี้ ชื่อเสียงของข้าคงป่นปี้ไปหมดเสียแล้ว”ลู่โย่วไม่คิดว่าซูชิงลั่วจะแข็งกร้าวเพียงนี้ เพราะหลานสาวของเขาเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ในใจเขารู้สึกไม่พอใจ มองไปทางลู่เหิงจือ แล้วพูดกึ่งหยอกล้อว่า “เจ้าสามยังไม่รีบดูภรรยาของเจ้าอีก ออกไปข้างนอกครั้งเดียวก็ติดนิสัยแบบนี้มาเสียแล้ว”ลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ข้างๆ ซูชิงลั่วนิ่งเงีบมาตลอด กระทั่งยามนี้ถึงลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าตามใจนาง ท่านมีปัญหาอะไรหรือ”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อยลู่โย่วรู้สึกอึดอัด ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อว่า “ดูแลฮูหยินของตนให้ดีก่อนเถิด แล้วค่อยมาตำหนิผู้อื่น”เสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นเยือกลู่โย่วใบหน้าซีดเผือดลู่หมิงซืออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าลู่โย่วถูกทำให้อับอายไปแล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงทำได้เพียงแต่บิดผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่นหญิงชราเผยรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากเยี่ยมาก ชิงลั่วของนางกลับมาครั้งนี้แข็งแกร่งขึ้น สามีก็รักนา
เข้าประตูมา ทุกคนต่างแยกย้ายลู่เหิงจือไปที่เรือนหญิงชราพร้อมกับซูชิงลั่วเสียงใบไม้แห้งปลิวตามลมพัดโชยมาจากนอกหน้าต่างเบาๆคนเราพออายุมากขึ้นก็ดูแก่ลงได้ง่ายดายเพียงไม่ถึงปีหญิงชราผมหงอกขึ้นมาก ร่องรอยบนใบหน้าลึกขึ้น ผิวมือหยาบกร้านราวกับเปลือกของต้นไม้แก่หลังก็ไม่ตรงเหมือนเมื่อปีที่แล้วซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งทรวง กอดท่านยายอยู่นานกว่าจะปล่อยมือหญิงชราเช็ดน้ำตา มองยังลู่เหิงจือที่มากับนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "แต่งงานมานานขนาดนี้แล้ว อย่าให้หลานเขยหัวเราะเยาะเจ้าได้""เขาไม่หรอกเจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วหันมองลู่เหิงจือลู่เหิงจือยิ้มโดยไม่รู้ตัว "ไม่กล้าขอรับ"เสียงของเขาดูอ่อนโยน น้ำเสียงก็ปกติราวกับว่าการใช้ชีวิตประจำวันกับซูชิงลั่วเป็นเช่นนี้เสมอมา ทำให้สาวใช้ในห้องค่อนข้างประหลาดใจก่อนหน้านี้แม้ว่าลู่เหิงจือจะดูแลฮูหยินเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นนี้ ยามนี้ดูเหมือนว่าจะถูกฮูหยินควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้วทันใดนั้น เหล่าสาวใช้ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีกครั้งหญิงชราก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ดีใจยิ่งกว่า จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าจะถูกเหิงจือตามใจจนเหลิงเสียแล้ว"ลู่เหิงจือมองไปท
"จะโกรธได้อย่างไร" ซูชิงลั่วตอบอย่างนอบน้อมว่า “ท่านยายคงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น”“หลังจากที่หลิ่วเจิ้งเฉิงบิดาของนางหลิ่วกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ พระชายาองค์รัชทายาทก็ส่งหมัวมัวประจำตัวมาพูดจาเกลี่ยกล่อมข้าเอง ทั้งน้ารองของเจ้า เหยียนเออร์ และหมิงซือก็มาขอร้องทุกวัน ยายจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้”ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองพระชายาองค์รัชทายาทเข้ามาแทรกแซงถึงเป็นสาเหตุสำคัญที่นางหลิ่วกลับมาหญิงชรามองด้วยแววตาเย็นชาเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางหลิ่วจะกลับมาพร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ และไปมาหาสู่กับพระชายาองค์รัชทายาทอยู่บ่อยครั้ง ชิงลั่ว ในที่สุดเรือนข้างๆ ของพวกเจ้าก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว พวกเจ้าควรย้ายไปอยู่ที่นั่นเสียจะดีกว่า จะได้สบายใจขึ้น”หญิงชราเป็นห่วงว่านางจะถูกลอบทำร้ายอีกครั้งเพราะลู่เหิงจือจับตัวหวังเหลียงฮั่นไป ทำให้แตกหักกับฝ่ายองค์รัชทายาทอย่างสิ้นเชิงซูชิงลั่วพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณท่านยายมากที่เตือนสติ”ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก ซูชิงลั่วจึงขอตัวกลับก่อนหลังจากกลับห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า และกินอาหารกลางวันแล้ว ซูชิงลั่วก็ไปคารวะนางเฉียน เนื่องด้วยนางเฉียนเป
ลู่เหยียนกลับนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ไม่รู้กำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ผ่านไปชั่วครู่ นางหลิ่วก็หัวเราะเยาะออกมาอีกครั้ง “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่านางจะส่งอะไรมาให้ข้า ในเมื่อเป็นน้าสะใภ้เหมือนกัน และนางก็เป็นคนรอบคอบ คงไม่ลำเอียงหรอกนะ”การออกเดินทางครั้งนี้ของนาง เรียกได้ว่าสูญเสียทั้งพลังกายและเงินที่เก็บสะสมไว้ไปจำนวนมากถึงแม้จะได้อำนาจการดูแลจวนกลับคืนมา แต่เงินในคลังก็มีบัญชีชัดเจน ไม่สามารถนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้แม้ซูชิงลั่วจะส่งของกำนัลมาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง แต่นางหลิ่วก็แอบหวังลึกๆ อยากรู้ว่านางจะส่งเงินมาให้เท่าใดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สาวใช้ก็กลับมาแจ้งว่าซูชิงลั่วออกจากเรือนของนางเฉียนแล้วนางหลิ่วก็เริ่มวางมาด เตรียมที่จะติเตียนนางอย่างรุนแรงในช่วงที่ลู่เหิงจือไม่อยู่เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน นางก็ยังไม่มานางหลิ่วจึงพูดว่า “อาจจะมาช่วงบ่ายก็ได้”หลังจากกินอาหารแล้ว ก็รออีกทั้งบ่าย จนใกล้มืดก็ยังไม่เห็นเงาของซูชิงลั่วนางหลิ่วจึงพูดว่า “ไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย ใครจะมาเยี่ยมเยียนกันในยามค่ำคืนเล่า”ลู่เหยียนจับพัดในมือ ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วถามสาวใช้ว่า “น
ลู่เหิงจือกลับมาจากวัง ฟ้าก็มืดแล้วทันทีที่เขาเดินเข้าไป ซูชิงลั่วก็เข้ามาต้อนรับ แล้วช่วยเขาถอดผ้าคลุมเพราะความหนาวด้านนอก ทำให้ผ้าคลุมมีไอเย็นแผ่ซ่านออกมา แม้แต่เชือกบริเวณคอก็แข็งเพราะความหนาวขณะที่ซูชิงลั่วกำลังแก้เชือกออกให้เขา ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อนานมาแล้วในป่าไผ่ เขาเคยผูกผ้าคลุมให้นางมาก่อนบรรยากาศที่คลุมเครือชวนหวั่นไหวเช่นนี้ เหตุใดนั้นยามนั้นนางถึงคิดว่าเขาไม่ชอบนางได้ความคิดของนางเตลิดไปไกล ปลายนิ้วหยุดชะงัก ก่อนจะถูกลู่เหิงจือดึงเข้าไปในอ้อมกอดเขาตากลมหนาวด้านนอกมาตลอดทาง ทันทีที่เข้ามาในห้องกลับอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิร่างของนางทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ทั้งยังมีกลิ่นหอมของกุหลาบเขาถูไถหน้าผากของนางอย่างอดไม่ได้ : "กำลังคิดสิ่งใด"ซูชิงลั่วดึงเชือกที่คอของเขา ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ตาใสเป็นประกาย : "ท่านลองทาย"เขาหลุบตาลง ความรู้สึกในแววตาพลันท่วมท้นอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว แน่นอนว่าซูชิงลั่วย่อมดูออกในทันทีนางผลักเขาออก ก่อนจะผละถอยหลังไปสองก้าว : "ท่านยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่ ข้าจะสั่งให้คนมาส่ง"วันนี้ซ่งเหวินตั้งใจมาบอกนางโดย