ก่อนหน้านี้ลู่เหิงจือไม่เคยบอกเรื่องในราชสำนักกับนาง ด้วยคิดว่าขอเพียงแค่นางอยู่ข้างกายเขาก็พอแล้วต่อให้วันข้างหน้ามีภัยอันตราย เขาก็สามารถจัดการทุกอย่างแทนนางได้แต่หลังจากการเดินทางในหังโจว เขาก็เปลี่ยนความคิดแม้ภรรยาของเขาจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่กลับไม่ใช่หญิงสาวอย่างในตระกูลธรรมดาทั่วไป นางสามารถขี่ม้าจับดาบมาช่วยเขาได้หากจะรู้เรื่องในราชสำนักบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรครั้นแล้วเขาจึงเล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟังพอสังเขปฮ่องเต้อาจจะมีความสงสัยเคลือบแคลงพระทัยอยู่บ้าง แต่จะยังไม่ทำอะไรเขาในระยะเวลาอันใกล้นี้ซูชิงลั่วสีหน้ามึนงง : "ฝ่าบาททรงอยากพบข้าหรือเจ้าคะ ทรงประสงค์สิ่งใด"ลู่เหิงจือจับช่อผมนางขึ้นมาเล่น พลางเอ่ย : "เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ทรงแค่สงสัยว่าภรรยาที่ได้ใจข้าไปครอบครองลักษณะท่าทางเป็นเช่นไร"ซูชิงลั่วพูดด้วยความกังวล : "แม้ข้าจะขี่ม้าได้ แต่ยิงธนูไม่เป็น การล่าสัตว์ครั้งนี้..."ลู่เหิงจือไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ : "มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องยิงธนูเอง""แต่หากข้าทำไม่ได้ กลัวว่าจะทำให้ท่านขายหน้า""แค่รูปโฉมของเจ้าก็ไม่มีทางทำให้ข้าขายหน้าได้แล้ว" ลู่เหิงจือบีบแก้ม
ลู่เหิงจือเห็นสีหน้าเย้าหยอกของซูชิงลั่ว ก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ที่หังโจวในวันนั้น เขาเดาออกแต่แรกอยู่แล้วว่าเกราะชิ้นนี้คงเพราะนางเป็นห่วงเขา จึงตั้งใจมอบให้ถึงมือเขาโดยเฉพาะเวลานี้กลับจงใจถามเขา ราวกับกำลังท้าทายน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แสร้งตอบ : "อืม ที่หังโจวมีแม่นางผู้หนึ่งฝากให้คนนำมามอบให้ข้า บอกว่าชื่นชมข้ามานานแล้ว ชาตินี้ชาติหน้าจะแต่งกับข้าเพียงผู้เดียว ร้องขอให้ข้ารับไว้"“……?”นางเคยพูดเช่นนั้นเมื่อใดกันซูชิงลั่วเก็บเกราะหัวใจกลับไปในกล่องด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย : "ไม่สนุก"เดาออกอยู่แล้วขณะนั้นเองลู่เหิงจือแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี กำลังจัดหมวกขุนนางบนศีรษะให้ตรง หันมามองนางปราดหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับลมอ่อนๆ ที่อบอุ่นที่สุดในวันฤดูใบไม้ผลิ"ข้าไปราชสำนักก่อน เจ้าอยู่บ้านรอข้ากลับมา"ซูชิงลั่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาอดที่จะกอดนางอีกครั้งไม่ได้ แม้จะเพียงแค่นี้แต่ก็ทำให้เสียเวลาไปสิบห้านาที คนแบกเกี้ยวจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางที่ส่งเขาไปยังหน้าประตูวัง*กลับมาครั้งนี้นางหลิ่วใส่ใจลู่โย่วใกล้ชิดกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ยามดึกที่อ่อนโยน ตื่นเช้ามาก็ปรนนิบั
นางหลิ่วตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ พลันพูดด้วยความร้อนใจ "จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ สถานการณ์ในบ้านท่านแม่ก็รู้ แค่ค่ายาของท่านแม่ในแต่ละวันก็ต้องใช้เงินถึงห้าหกตำลึงแล้ว"นางหันไปมองทางนางเฉียนและนางเหอ คล้ายจะพยายามขอการสนับสนุน "อาการป่วยของท่านสองจำเป็นต้องใช้เงินสองสามตำลึงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมิงจิ้งหมิงอี๋ เด็กพวกนั้นต้องออกเรือนจัดงานแต่ง มีแต่เรื่องต้องใช้เงิน ลำพังแค่รายรับของจวนจะพอได้เช่นไร"หญิงชรามองนางด้วยความไม่พอใจ : นางหลิ่วไม่รู้จักนึกถึงส่วนรวมเอาเสียเลย เรื่องเช่นนี้พูดต่อหน้าสาวใช้ที่อยู่เต็มห้องได้เช่นไรนางหันไปมองเยว่เออร์ปราดหนึ่ง เยว่เออร์รีบสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปทันทีนางหลิ่วเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเลินเล่อไม่รอบคอบ พลันพูดด้วยความละอายใจ : "ข้าผิดไปแล้ว ข้าร้อนใจเกินไปหน่อย"นางหันไปมองทางซูชิงลั่ว : "ชิงลั่ว ก่อนหน้าเจ้าเป็นเด็กกตัญญู รู้ความมาโดยตลอด เหตุใดกลับมาจากเจียงหนานแล้วกลับกลายเป็นไม่รู้เดียงสาเช่นนี้แล้ว""เจ้ากลับมา ไม่ได้ไปเยี่ยมอารองของเจ้ายังพอว่า แม้จะบอกว่าที่อารองเจ้าเข้าไปรับมีด เป็นความเต็มใจของเขาเอง โทษเจ้าไม
"ส่วนเรื่องดูแลบริหารบ้าน..." นางพูดต่อเสียงกร้าว "บ้านหลังนี้หากเจ้าดูแลได้ก็ดู ดูไม่ได้ก็เปลี่ยนคน !"นางหลิ่วหน้าถอดสี พลันถลึงตามองซูชิงลั่ว ก่อนจะก้มหน้าลงพูด : "ข้าผิดไปแล้ว ขอท่านแม่โปรดอภัยด้วย"ซูชิงลั่ววางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น มองไปยังนางหลิ่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "จริงสิ ยังมีรายการบัญชีที่ก่อนหน้าท่านน้ารองช่วยข้าดูร้าน ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่ตรงกันเลย"นี่นางยังจะสืบสาวไปถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือนางหลิ่วดึงดันแถไถ : "ข้าไม่มีทางแตะเงินในร้านของเจ้าแม้แต่ตำลึงเดียว"ซูชิงลั่วพูดเสียงหวานแทรกนาง : "ท่านน้ารองใจเย็นก่อน ข้าจะสงสัยท่านได้เช่นไร กลัวก็แต่ว่าคนภายใต้การดูแลของท่านน้ารองจะมีบางคนแอบยัดยอกเงิน ท่านน้ารองวางใจได้ ข้าสั่งให้คนไปแจ้งทางการมาตรวจสอบแล้ว หากได้เงินกลับคืนมาก็แล้วกันไป แต่หากตามกลับมาไม่ได้ ก็ให้ลูกจ้างที่ไม่รู้จักคิดพวกนั้นติดคุกเสีย"นางหลิ่วพูดไม่ออกประหนึ่งว่าคอหอยถูกอุดเอาไว้ซูชิงลั่วท่าทางดุดันเด็ดขาด ทำให้นางไม่อาจรับมือได้เลยแม้แต่น้อยลู่หมิงซือก็หาจังหวะแทรกไม่ได้เลยนางจ้องมองซูชิงลั่วที่อยู่ตรงหน้านิ่งๆ แต่ภายในใจสลับซับซ้อนภายในช่วงเ
ซูชิงลั่วย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนที่พักของตนตั้งแต่คืนนั้น เนื่องจากตั้งอยู่ทิศตะวันตก ทุกคนจึงเรียกว่าจวนตะวันตกตรงกลางระหว่างสองจวนมีซุ้มประตูกั้น เปิดไว้ในช่วงกลางวัน เพื่อให้ไปมาหากันได้สะดวกในเมื่อออกไปสร้างครอบครัวของตนแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนใต้การดูแลของตนลู่เหิงจือรับปากให้รับแม่นมเจียงหมัวมัวจากตรอกปาเถียวมาช่วยนางเรื่องหุงหาอาหารได้นางรู้สึกว่าสมเหตุสมผล แล้วก็อยากจะทำความต้องการของลู่เหิงจือที่มีความตั้งใจดีต่อแม่นม จึงสั่งให้คนไปรับเจียงหมัวมัวมานอกจากนี้ นางก็ซื้อบ่าวรับใช้จากข้างนอกมายี่สิบกว่าคน ทั้งในครัว ห้องเย็บปัก ฝ่ายเก็บกวาด ตัดแต่งสวน พืชผักสวนครัว ล้วนแต่จัดสรรอย่างดี ใช้เวลาทั้งสิ้นไปกว่าครึ่งเดือนเนื่องจากฐานะของเจียงหมัวมัวไม่เหมือนกับผู้อื่น ซูชิงลั่วจึงเตรียมเรือนแยกให้นางอยู่โดยเฉพาะ อีกทั้งยังยกหน้าที่ซื้อของในครัวทุกอย่างให้นางจัดการนางพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถูกบ่าวไพร่เบื้องล่างนับถือเหมือนนายอยู่กลายๆ แม้แต่จื๋อหยวนก็ต้องยอมให้นางหลังจากที่ทุกอย่างในจวนเข้าที่เข้าทางแล้ว ซูชิงลั่วก็เริ่มจัดการกับปัญหาของบัญชีที่นางหลิ่วทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เดิ
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบถอยไปด้านหลัง ทว่าได้ยินเสียงตะโกนของลู่เหิงจือ "เข้ามา" นางถึงจะยกอ่างน้ำเข้าไปลู่เหิงจือไม่ได้มองนาง เพียงแค่ล้างหน้าพลางบอกให้ซูชิงลั่วไปนอนก่อนซูชิงลั่วเองก็ง่วงมากแล้ว จึงพยักหน้าตอบแล้วไปนอนบนเตียงก่อนอวี้จู๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นางยืนอยู่ข้างกายลู่เหิงจือ ได้กลิ่นหอมจากตัวเขา ใจของนางเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทำตัวไม่ถูกรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ลู่เหิงจือเช็ดหน้า เขาวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนหน้า ทว่ากลับหันไปมองนายหญิงนางมองตามสายตาของลู่เหิงจือไป นายหญิงกำลังนอนอยู่บนเตียง เส้นผมดำขลับดุจหยกดำสยายอยู่ข้างลำตัว เสื้อชั้นในเผยให้เห็นคอเล็กน้อย ผิวขาวเนียนดุจหิมะลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองก็หันมาพูดกับอวี้จู๋ : "นายหญิงของเจ้า นับวันจะยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่"เป็นครั้งแรกที่อวี้จู๋ได้อยู่ใกล้เขาเช่นนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจดวงนั้นของนางเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ตอบไปด้วยความตื่นตกใจ : "เจ้าค่ะ"ลู่เหิงจือเองก็ไม่ได้ใส่ใจ โบกมือให้นางออกไป*วันรุ่งขึ้นอวี้จู๋ก็เริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้
หลังจากกลับมาเมืองหลวง ลู่เหิงจือก็ยุ่งอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนหน้าจนปลีกตัวไหนไม่ได้ ส่วนซูชิงลั่วกลับยุ่งกว่าเขาเสียอีกนางเอาแต่ตรวจสอบรายการบัญชีอยู่เรือนหลัง ยุ่งเสียจนลืมแม้กระทั่งจะดื่มชาสักอึกบางครั้ง ลู่เหิงจือสั่งคนไปเชิญนางมากินข้าว ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างแรกเพราะยุ่งมากจริงๆ อย่างที่สองเพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีเกินไป บางครั้งเพียงแค่สบตากันแวบเดียวก็เชื้อเพลิงก็เกิดปะทุขึ้นมาได้ รบกวนเวลาทำเรื่องอื่นไม่น้อยยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้นางคิดแต่จะจัดการนางหลิ่วให้ได้วันนี้ ฉางกุ้ยได้รับคำสั่งจากลู่เหิงจือให้เชิญนางมากินข้าวด้วยกัน และถูกปฏิเสธอีกครั้ง จึงกลับไปรายงานด้วยความระแวดระวัง : “นายหญิงบอกว่าบ่ายวันนี้จะตรวจสอบรายการบัญชีเสร็จแล้ว จึงยังไม่มากินข้าวก่อน”ลู่เหิงจือวางฎีกาในมือลง เลิกคิ้ว : “ไม่ยอมมากินข้าวกับข้าหลายวันเพียงเพราะนางหลิ่วคนเดียว”เขานวดหว่างคิ้ว “ช่างเถอะ คืนนี้ข้าจะไปหานาง”ตกบ่าย ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดซูชิงลั่วและคนของนางก็จัดการรายการบัญชีในช่วงหลายปีระหว่างที่นางหลิ่วดูแลร้านเสร็จเรียบร้อยช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก
ซูชิงลั่วไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี ทำได้แค่เออออไปเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับสายตาของลู่หมิงซือ มองเห็นความริษยาในแววตาของอีกฝั่งฉายประกายออกมาซูชิงลั่วมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มสดใสให้นาง แล้วเอ่ย : "ท่านพี่เอ็นดูข้ามากเสียจริง"ลู่หมิงซือ : "..."หงุดหงิดจนแทบจะคลั่งสมแล้วที่เป็นนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นางหลิ่วมองบนใส่นางปราดหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "ท่านแม่ วันนี้แดดดียิ่งนัก อีกทั้งพวกเราทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันพอดี จะให้ไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนท่านหรือไม่"นายหญิงเฒ่ากำลังอารมณ์ดี จึงพยักหน้าตอบรับนางหลิ่วเข้าไปประครองหญิงชราด้วยความกระตือรือร้น ระหว่างทางก็ชวนพูดคุยพลางเดินไปทางซุ้มประตูระหว่างสองจวน นางหลิ่วพูดกับซูชิงลั่วด้วยรอยยิ้ม : "เรือนอาศัยของเจ้าและท่านสามเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พวกข้ายังไม่ได้ไปดูเลย วันนี้อากาศดี ถือโอกาสไปเดินเล่นด้วยกันเสียเลยเถอะ"นางเฉียนตบปากรับคำคนแรก : "ดีเลย ได้ยินว่าเหิงจือหาช่างฝีมือจากซูโจวมาให้ชิงลั่วโดยเฉพาะ จัดสวนเสียงดงามจนไม่มีที่ใดเทียบได้ ก็จริง หากข้ามีสะใภ้ที่งามเหมือนชิงลั่ว ข้าก็ยอมเสียเง