ลู่เหิงจือเห็นสีหน้าเย้าหยอกของซูชิงลั่ว ก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ที่หังโจวในวันนั้น เขาเดาออกแต่แรกอยู่แล้วว่าเกราะชิ้นนี้คงเพราะนางเป็นห่วงเขา จึงตั้งใจมอบให้ถึงมือเขาโดยเฉพาะเวลานี้กลับจงใจถามเขา ราวกับกำลังท้าทายน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แสร้งตอบ : "อืม ที่หังโจวมีแม่นางผู้หนึ่งฝากให้คนนำมามอบให้ข้า บอกว่าชื่นชมข้ามานานแล้ว ชาตินี้ชาติหน้าจะแต่งกับข้าเพียงผู้เดียว ร้องขอให้ข้ารับไว้"“……?”นางเคยพูดเช่นนั้นเมื่อใดกันซูชิงลั่วเก็บเกราะหัวใจกลับไปในกล่องด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย : "ไม่สนุก"เดาออกอยู่แล้วขณะนั้นเองลู่เหิงจือแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี กำลังจัดหมวกขุนนางบนศีรษะให้ตรง หันมามองนางปราดหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับลมอ่อนๆ ที่อบอุ่นที่สุดในวันฤดูใบไม้ผลิ"ข้าไปราชสำนักก่อน เจ้าอยู่บ้านรอข้ากลับมา"ซูชิงลั่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาอดที่จะกอดนางอีกครั้งไม่ได้ แม้จะเพียงแค่นี้แต่ก็ทำให้เสียเวลาไปสิบห้านาที คนแบกเกี้ยวจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางที่ส่งเขาไปยังหน้าประตูวัง*กลับมาครั้งนี้นางหลิ่วใส่ใจลู่โย่วใกล้ชิดกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ยามดึกที่อ่อนโยน ตื่นเช้ามาก็ปรนนิบั
นางหลิ่วตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ พลันพูดด้วยความร้อนใจ "จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ สถานการณ์ในบ้านท่านแม่ก็รู้ แค่ค่ายาของท่านแม่ในแต่ละวันก็ต้องใช้เงินถึงห้าหกตำลึงแล้ว"นางหันไปมองทางนางเฉียนและนางเหอ คล้ายจะพยายามขอการสนับสนุน "อาการป่วยของท่านสองจำเป็นต้องใช้เงินสองสามตำลึงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมิงจิ้งหมิงอี๋ เด็กพวกนั้นต้องออกเรือนจัดงานแต่ง มีแต่เรื่องต้องใช้เงิน ลำพังแค่รายรับของจวนจะพอได้เช่นไร"หญิงชรามองนางด้วยความไม่พอใจ : นางหลิ่วไม่รู้จักนึกถึงส่วนรวมเอาเสียเลย เรื่องเช่นนี้พูดต่อหน้าสาวใช้ที่อยู่เต็มห้องได้เช่นไรนางหันไปมองเยว่เออร์ปราดหนึ่ง เยว่เออร์รีบสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปทันทีนางหลิ่วเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเลินเล่อไม่รอบคอบ พลันพูดด้วยความละอายใจ : "ข้าผิดไปแล้ว ข้าร้อนใจเกินไปหน่อย"นางหันไปมองทางซูชิงลั่ว : "ชิงลั่ว ก่อนหน้าเจ้าเป็นเด็กกตัญญู รู้ความมาโดยตลอด เหตุใดกลับมาจากเจียงหนานแล้วกลับกลายเป็นไม่รู้เดียงสาเช่นนี้แล้ว""เจ้ากลับมา ไม่ได้ไปเยี่ยมอารองของเจ้ายังพอว่า แม้จะบอกว่าที่อารองเจ้าเข้าไปรับมีด เป็นความเต็มใจของเขาเอง โทษเจ้าไม
"ส่วนเรื่องดูแลบริหารบ้าน..." นางพูดต่อเสียงกร้าว "บ้านหลังนี้หากเจ้าดูแลได้ก็ดู ดูไม่ได้ก็เปลี่ยนคน !"นางหลิ่วหน้าถอดสี พลันถลึงตามองซูชิงลั่ว ก่อนจะก้มหน้าลงพูด : "ข้าผิดไปแล้ว ขอท่านแม่โปรดอภัยด้วย"ซูชิงลั่ววางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น มองไปยังนางหลิ่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "จริงสิ ยังมีรายการบัญชีที่ก่อนหน้าท่านน้ารองช่วยข้าดูร้าน ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่ตรงกันเลย"นี่นางยังจะสืบสาวไปถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือนางหลิ่วดึงดันแถไถ : "ข้าไม่มีทางแตะเงินในร้านของเจ้าแม้แต่ตำลึงเดียว"ซูชิงลั่วพูดเสียงหวานแทรกนาง : "ท่านน้ารองใจเย็นก่อน ข้าจะสงสัยท่านได้เช่นไร กลัวก็แต่ว่าคนภายใต้การดูแลของท่านน้ารองจะมีบางคนแอบยัดยอกเงิน ท่านน้ารองวางใจได้ ข้าสั่งให้คนไปแจ้งทางการมาตรวจสอบแล้ว หากได้เงินกลับคืนมาก็แล้วกันไป แต่หากตามกลับมาไม่ได้ ก็ให้ลูกจ้างที่ไม่รู้จักคิดพวกนั้นติดคุกเสีย"นางหลิ่วพูดไม่ออกประหนึ่งว่าคอหอยถูกอุดเอาไว้ซูชิงลั่วท่าทางดุดันเด็ดขาด ทำให้นางไม่อาจรับมือได้เลยแม้แต่น้อยลู่หมิงซือก็หาจังหวะแทรกไม่ได้เลยนางจ้องมองซูชิงลั่วที่อยู่ตรงหน้านิ่งๆ แต่ภายในใจสลับซับซ้อนภายในช่วงเ
ซูชิงลั่วย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนที่พักของตนตั้งแต่คืนนั้น เนื่องจากตั้งอยู่ทิศตะวันตก ทุกคนจึงเรียกว่าจวนตะวันตกตรงกลางระหว่างสองจวนมีซุ้มประตูกั้น เปิดไว้ในช่วงกลางวัน เพื่อให้ไปมาหากันได้สะดวกในเมื่อออกไปสร้างครอบครัวของตนแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนใต้การดูแลของตนลู่เหิงจือรับปากให้รับแม่นมเจียงหมัวมัวจากตรอกปาเถียวมาช่วยนางเรื่องหุงหาอาหารได้นางรู้สึกว่าสมเหตุสมผล แล้วก็อยากจะทำความต้องการของลู่เหิงจือที่มีความตั้งใจดีต่อแม่นม จึงสั่งให้คนไปรับเจียงหมัวมัวมานอกจากนี้ นางก็ซื้อบ่าวรับใช้จากข้างนอกมายี่สิบกว่าคน ทั้งในครัว ห้องเย็บปัก ฝ่ายเก็บกวาด ตัดแต่งสวน พืชผักสวนครัว ล้วนแต่จัดสรรอย่างดี ใช้เวลาทั้งสิ้นไปกว่าครึ่งเดือนเนื่องจากฐานะของเจียงหมัวมัวไม่เหมือนกับผู้อื่น ซูชิงลั่วจึงเตรียมเรือนแยกให้นางอยู่โดยเฉพาะ อีกทั้งยังยกหน้าที่ซื้อของในครัวทุกอย่างให้นางจัดการนางพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถูกบ่าวไพร่เบื้องล่างนับถือเหมือนนายอยู่กลายๆ แม้แต่จื๋อหยวนก็ต้องยอมให้นางหลังจากที่ทุกอย่างในจวนเข้าที่เข้าทางแล้ว ซูชิงลั่วก็เริ่มจัดการกับปัญหาของบัญชีที่นางหลิ่วทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เดิ
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบถอยไปด้านหลัง ทว่าได้ยินเสียงตะโกนของลู่เหิงจือ "เข้ามา" นางถึงจะยกอ่างน้ำเข้าไปลู่เหิงจือไม่ได้มองนาง เพียงแค่ล้างหน้าพลางบอกให้ซูชิงลั่วไปนอนก่อนซูชิงลั่วเองก็ง่วงมากแล้ว จึงพยักหน้าตอบแล้วไปนอนบนเตียงก่อนอวี้จู๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นางยืนอยู่ข้างกายลู่เหิงจือ ได้กลิ่นหอมจากตัวเขา ใจของนางเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทำตัวไม่ถูกรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ลู่เหิงจือเช็ดหน้า เขาวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนหน้า ทว่ากลับหันไปมองนายหญิงนางมองตามสายตาของลู่เหิงจือไป นายหญิงกำลังนอนอยู่บนเตียง เส้นผมดำขลับดุจหยกดำสยายอยู่ข้างลำตัว เสื้อชั้นในเผยให้เห็นคอเล็กน้อย ผิวขาวเนียนดุจหิมะลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองก็หันมาพูดกับอวี้จู๋ : "นายหญิงของเจ้า นับวันจะยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่"เป็นครั้งแรกที่อวี้จู๋ได้อยู่ใกล้เขาเช่นนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจดวงนั้นของนางเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ตอบไปด้วยความตื่นตกใจ : "เจ้าค่ะ"ลู่เหิงจือเองก็ไม่ได้ใส่ใจ โบกมือให้นางออกไป*วันรุ่งขึ้นอวี้จู๋ก็เริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้
หลังจากกลับมาเมืองหลวง ลู่เหิงจือก็ยุ่งอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนหน้าจนปลีกตัวไหนไม่ได้ ส่วนซูชิงลั่วกลับยุ่งกว่าเขาเสียอีกนางเอาแต่ตรวจสอบรายการบัญชีอยู่เรือนหลัง ยุ่งเสียจนลืมแม้กระทั่งจะดื่มชาสักอึกบางครั้ง ลู่เหิงจือสั่งคนไปเชิญนางมากินข้าว ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างแรกเพราะยุ่งมากจริงๆ อย่างที่สองเพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีเกินไป บางครั้งเพียงแค่สบตากันแวบเดียวก็เชื้อเพลิงก็เกิดปะทุขึ้นมาได้ รบกวนเวลาทำเรื่องอื่นไม่น้อยยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้นางคิดแต่จะจัดการนางหลิ่วให้ได้วันนี้ ฉางกุ้ยได้รับคำสั่งจากลู่เหิงจือให้เชิญนางมากินข้าวด้วยกัน และถูกปฏิเสธอีกครั้ง จึงกลับไปรายงานด้วยความระแวดระวัง : “นายหญิงบอกว่าบ่ายวันนี้จะตรวจสอบรายการบัญชีเสร็จแล้ว จึงยังไม่มากินข้าวก่อน”ลู่เหิงจือวางฎีกาในมือลง เลิกคิ้ว : “ไม่ยอมมากินข้าวกับข้าหลายวันเพียงเพราะนางหลิ่วคนเดียว”เขานวดหว่างคิ้ว “ช่างเถอะ คืนนี้ข้าจะไปหานาง”ตกบ่าย ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดซูชิงลั่วและคนของนางก็จัดการรายการบัญชีในช่วงหลายปีระหว่างที่นางหลิ่วดูแลร้านเสร็จเรียบร้อยช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก
ซูชิงลั่วไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี ทำได้แค่เออออไปเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับสายตาของลู่หมิงซือ มองเห็นความริษยาในแววตาของอีกฝั่งฉายประกายออกมาซูชิงลั่วมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มสดใสให้นาง แล้วเอ่ย : "ท่านพี่เอ็นดูข้ามากเสียจริง"ลู่หมิงซือ : "..."หงุดหงิดจนแทบจะคลั่งสมแล้วที่เป็นนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นางหลิ่วมองบนใส่นางปราดหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "ท่านแม่ วันนี้แดดดียิ่งนัก อีกทั้งพวกเราทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันพอดี จะให้ไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนท่านหรือไม่"นายหญิงเฒ่ากำลังอารมณ์ดี จึงพยักหน้าตอบรับนางหลิ่วเข้าไปประครองหญิงชราด้วยความกระตือรือร้น ระหว่างทางก็ชวนพูดคุยพลางเดินไปทางซุ้มประตูระหว่างสองจวน นางหลิ่วพูดกับซูชิงลั่วด้วยรอยยิ้ม : "เรือนอาศัยของเจ้าและท่านสามเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พวกข้ายังไม่ได้ไปดูเลย วันนี้อากาศดี ถือโอกาสไปเดินเล่นด้วยกันเสียเลยเถอะ"นางเฉียนตบปากรับคำคนแรก : "ดีเลย ได้ยินว่าเหิงจือหาช่างฝีมือจากซูโจวมาให้ชิงลั่วโดยเฉพาะ จัดสวนเสียงดงามจนไม่มีที่ใดเทียบได้ ก็จริง หากข้ามีสะใภ้ที่งามเหมือนชิงลั่ว ข้าก็ยอมเสียเง
ทันใดนั้นเองภายในเรือนก็มีลมพัดโชยเข้ามากะทันหันเดิมธาตุร่างกายลู่หมิงซือเป็นคนหนาวง่าย เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูชิงลั่วก็รู้สึกหวั่นจนผละถอยหลังโดยไม่รู้ตัวซูชิงลั่วจ้องมองลู่หมิงซือ น้ำเสียงเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อยราวกับแมวกำลังหยอกหนู"ดูเหมือนน้องลู่จะผิดหวังไม่ใช่น้อย"ลู่หมิงซือถูกนางจ้องจนอดถอยหลังไปอีกก้าวไม่ได้น้ำเสียงของซูชิงลั่วเย็นเยียบ : เจ้าคิดว่าเข้ามาแล้วจะได้เห็นฉากเด็ดใช่หรือไม่ คิดว่าพี่สามจะควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดว่าอวี้จู๋ควรจะอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คุกเข่าอ้อนวอนให้ข้าอภัยให้นางใช่หรือไม่"ลู่หมิงซือ : "เจ้า เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าอย่างไร""ไม่เกี่ยวหรอกหรือ" ซูชิงลั่วจดจ้องไปที่นาง "เจ้าคิดว่าเจ้าหนีพ้นแล้วจริงๆ หรือ"นางหัวเราะ สั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้หญิงชราและนายหญิงที่เหลือนั่ง "อวี้จู๋ เจ้าเล่าให้ท่านยายฟัง"อวี้จู๋รีบคุกเข่าลงไป ก่อนจะก้มหน้า : "นายหญิงเฒ่า นายหญิง พวกท่านช่วยตัดสินแทนข้าด้วย""หลายวันก่อนหน้านี้ ข้าย้ายตามนายหญิงไปยังจวนตะวันตก จู่ๆ ฉ่ายไป๋สาวใช้ประจำตัวคุณหนูใหญ่ก็เรียกบ่าวไปเที่ยวเล่นด้วย"แม้บ่าวจะเป็นคนบ้า
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป