ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบถอยไปด้านหลัง ทว่าได้ยินเสียงตะโกนของลู่เหิงจือ "เข้ามา" นางถึงจะยกอ่างน้ำเข้าไปลู่เหิงจือไม่ได้มองนาง เพียงแค่ล้างหน้าพลางบอกให้ซูชิงลั่วไปนอนก่อนซูชิงลั่วเองก็ง่วงมากแล้ว จึงพยักหน้าตอบแล้วไปนอนบนเตียงก่อนอวี้จู๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นางยืนอยู่ข้างกายลู่เหิงจือ ได้กลิ่นหอมจากตัวเขา ใจของนางเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ทำตัวไม่ถูกรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ลู่เหิงจือเช็ดหน้า เขาวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนหน้า ทว่ากลับหันไปมองนายหญิงนางมองตามสายตาของลู่เหิงจือไป นายหญิงกำลังนอนอยู่บนเตียง เส้นผมดำขลับดุจหยกดำสยายอยู่ข้างลำตัว เสื้อชั้นในเผยให้เห็นคอเล็กน้อย ผิวขาวเนียนดุจหิมะลู่เหิงจือจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองก็หันมาพูดกับอวี้จู๋ : "นายหญิงของเจ้า นับวันจะยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่"เป็นครั้งแรกที่อวี้จู๋ได้อยู่ใกล้เขาเช่นนี้ รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจดวงนั้นของนางเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา ตอบไปด้วยความตื่นตกใจ : "เจ้าค่ะ"ลู่เหิงจือเองก็ไม่ได้ใส่ใจ โบกมือให้นางออกไป*วันรุ่งขึ้นอวี้จู๋ก็เริ่มจิตใจไม่อยู่กับเนื้
หลังจากกลับมาเมืองหลวง ลู่เหิงจือก็ยุ่งอยู่ที่ห้องหนังสือเรือนหน้าจนปลีกตัวไหนไม่ได้ ส่วนซูชิงลั่วกลับยุ่งกว่าเขาเสียอีกนางเอาแต่ตรวจสอบรายการบัญชีอยู่เรือนหลัง ยุ่งเสียจนลืมแม้กระทั่งจะดื่มชาสักอึกบางครั้ง ลู่เหิงจือสั่งคนไปเชิญนางมากินข้าว ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างแรกเพราะยุ่งมากจริงๆ อย่างที่สองเพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีเกินไป บางครั้งเพียงแค่สบตากันแวบเดียวก็เชื้อเพลิงก็เกิดปะทุขึ้นมาได้ รบกวนเวลาทำเรื่องอื่นไม่น้อยยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้นางคิดแต่จะจัดการนางหลิ่วให้ได้วันนี้ ฉางกุ้ยได้รับคำสั่งจากลู่เหิงจือให้เชิญนางมากินข้าวด้วยกัน และถูกปฏิเสธอีกครั้ง จึงกลับไปรายงานด้วยความระแวดระวัง : “นายหญิงบอกว่าบ่ายวันนี้จะตรวจสอบรายการบัญชีเสร็จแล้ว จึงยังไม่มากินข้าวก่อน”ลู่เหิงจือวางฎีกาในมือลง เลิกคิ้ว : “ไม่ยอมมากินข้าวกับข้าหลายวันเพียงเพราะนางหลิ่วคนเดียว”เขานวดหว่างคิ้ว “ช่างเถอะ คืนนี้ข้าจะไปหานาง”ตกบ่าย ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดซูชิงลั่วและคนของนางก็จัดการรายการบัญชีในช่วงหลายปีระหว่างที่นางหลิ่วดูแลร้านเสร็จเรียบร้อยช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก
ซูชิงลั่วไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี ทำได้แค่เออออไปเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับสายตาของลู่หมิงซือ มองเห็นความริษยาในแววตาของอีกฝั่งฉายประกายออกมาซูชิงลั่วมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มสดใสให้นาง แล้วเอ่ย : "ท่านพี่เอ็นดูข้ามากเสียจริง"ลู่หมิงซือ : "..."หงุดหงิดจนแทบจะคลั่งสมแล้วที่เป็นนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นางหลิ่วมองบนใส่นางปราดหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "ท่านแม่ วันนี้แดดดียิ่งนัก อีกทั้งพวกเราทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันพอดี จะให้ไปเดินเล่นด้านนอกเป็นเพื่อนท่านหรือไม่"นายหญิงเฒ่ากำลังอารมณ์ดี จึงพยักหน้าตอบรับนางหลิ่วเข้าไปประครองหญิงชราด้วยความกระตือรือร้น ระหว่างทางก็ชวนพูดคุยพลางเดินไปทางซุ้มประตูระหว่างสองจวน นางหลิ่วพูดกับซูชิงลั่วด้วยรอยยิ้ม : "เรือนอาศัยของเจ้าและท่านสามเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พวกข้ายังไม่ได้ไปดูเลย วันนี้อากาศดี ถือโอกาสไปเดินเล่นด้วยกันเสียเลยเถอะ"นางเฉียนตบปากรับคำคนแรก : "ดีเลย ได้ยินว่าเหิงจือหาช่างฝีมือจากซูโจวมาให้ชิงลั่วโดยเฉพาะ จัดสวนเสียงดงามจนไม่มีที่ใดเทียบได้ ก็จริง หากข้ามีสะใภ้ที่งามเหมือนชิงลั่ว ข้าก็ยอมเสียเง
ทันใดนั้นเองภายในเรือนก็มีลมพัดโชยเข้ามากะทันหันเดิมธาตุร่างกายลู่หมิงซือเป็นคนหนาวง่าย เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูชิงลั่วก็รู้สึกหวั่นจนผละถอยหลังโดยไม่รู้ตัวซูชิงลั่วจ้องมองลู่หมิงซือ น้ำเสียงเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อยราวกับแมวกำลังหยอกหนู"ดูเหมือนน้องลู่จะผิดหวังไม่ใช่น้อย"ลู่หมิงซือถูกนางจ้องจนอดถอยหลังไปอีกก้าวไม่ได้น้ำเสียงของซูชิงลั่วเย็นเยียบ : เจ้าคิดว่าเข้ามาแล้วจะได้เห็นฉากเด็ดใช่หรือไม่ คิดว่าพี่สามจะควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดว่าอวี้จู๋ควรจะอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย คุกเข่าอ้อนวอนให้ข้าอภัยให้นางใช่หรือไม่"ลู่หมิงซือ : "เจ้า เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าอย่างไร""ไม่เกี่ยวหรอกหรือ" ซูชิงลั่วจดจ้องไปที่นาง "เจ้าคิดว่าเจ้าหนีพ้นแล้วจริงๆ หรือ"นางหัวเราะ สั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้หญิงชราและนายหญิงที่เหลือนั่ง "อวี้จู๋ เจ้าเล่าให้ท่านยายฟัง"อวี้จู๋รีบคุกเข่าลงไป ก่อนจะก้มหน้า : "นายหญิงเฒ่า นายหญิง พวกท่านช่วยตัดสินแทนข้าด้วย""หลายวันก่อนหน้านี้ ข้าย้ายตามนายหญิงไปยังจวนตะวันตก จู่ๆ ฉ่ายไป๋สาวใช้ประจำตัวคุณหนูใหญ่ก็เรียกบ่าวไปเที่ยวเล่นด้วย"แม้บ่าวจะเป็นคนบ้า
"ยิ่งไปกว่านั้น......" นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า "ข้าอยู่รับใช้ข้างกายฮูหยิน ในสายตาของใต้เท้ามีเพียงฮูหยินคนเดียว ไม่มีหญิงอื่นใดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่องค์หญิงเสด็จมา ใต้เท้าก็คงไม่แม้แต่จะเหลียวแล หนำซ้ำฮูหยินกับใต้เท้ายังรักกันมากด้วย บ่าวเห็นพวกเขาก็รู้สึกชื่นชอบ"นางมีรูปโฉมงดงามวาจาฉะฉาน เล่าเรื่องราวได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจจนหญิงชราอดรู้สึกชอบนางไม่ได้"ต่อมา บ่าวจึงไปเล่าเรื่องนี้ให้ฮูหยินฟัง" อวี้จู๋ก้มศีรษะ "ฮูหยินว่าเช่นนั้น ก็ให้ใช้แผนซ้อนแผน ช่วงนี้ให้ข้าไปหาใต้เท้าบ่อยๆ แล้วค่อยบอกคุณหนูใหญ่โกหกนางว่าข้าจะทำการใหญ่ ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น""แน่นอนว่า วันนี้ทุกคนในตระกูลถูกดึงดูดมาที่นี่หมดแล้ว"อวี้จู๋เลิกคิ้วและพูดว่า "เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่กล้าโกหก ขอให้นายหญิงเฒ่าให้ความเป็นธรรมด้วย"หญิงชรามองลู่หมิงซือด้วยสายตาเย็นชา "เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่"ลู่หมิงซือคุกเข่าลงกับพื้น "ข้าไม่รู้ว่าทำไมอวี้จู๋ถึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้......""น้องลู่ คิดให้ดีก่อนพูด" ซูชิงลั่วพูดด้วยเสียงใสแต่เย็นชา "ในห้องเจ้ามีบทบรรยายหรือไม่แค่ค้นก็รู้แล้ว ยานี้มาจากไหนก็ย่อมหาหลักฐา
ภายในบริเวณลานกว้างเงียบสงัดลงในทันใด มีเพียงเสียงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยใบไม้แห้งเสียงดังกรอบแกรบหญิงชราลุกขึ้นยืนทันทีโดยมีเยว่เออร์คอยประคองนางด้วยมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างถือไม้เท้าไว้ “ชิงลั่ว เจ้าไม่ต้องขอโทษหรอก คนที่ควรขอโทษคือข้าเอง”ในดวงตานางแฝงด้วยความสงสาร “ยามนั้นข้ามองคนผิดไป จึงให้นางหลิ่วเลี้ยงดูเจ้า ให้นางหลิ่วดูแลสินเดิมของเจ้า ให้เจ้าเอาเงินไปช่วยเหลือจวนหย่งซุ่นป๋อ และที่สำคัญคือ ข้าจับคู่ให้เจ้ากับเหยียนเออร์ จนเกิดเรื่องที่วัดเซิ่งอัน......”“เจ้าได้ทำดีที่สุดแล้ว” หญิงชรามองมาที่นาง แล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ชิงลั่ว ข้าดูแลเจ้าไม่ดีพอ ให้อภัยข้าด้วย”ดวงตาของซูชิงลั่วพร่ามัวทันทีนางรีบเดินเข้าไปประคองหญิงชรา “ไม่ได้เจ้าค่ะท่านยาย ท่านดีกับข้าเสมอมา”“ข้าดีกับเจ้า แต่ก็เห็นแก่ตัว” หญิงชรามองลู่เหิงจือด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่เจ้าเลือกสามีที่ดี ข้าก็สบายใจแล้ว”ซูชิงลั่วจับมือนางแน่น พูดอะไรไม่ออกทุกคนต่างตกตะลึงบางเรื่องแม้จะเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จยามนี้ซูชิงลั่วเอามาพูดตรงๆ เช่นนี้ แล้วหญิงชราก็พูดเช่นนี้ด้วย ก็เท่ากับว่าเรื่อง
ไม่นานเยว่เออร์ก็กลับมาพร้อมกับบทบรรยายจำนวนมากที่พบในห้องของลู่หมิงซือฉ่ายไป๋ก็ยอมรับสารภาพแล้วยาผงที่นำไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นยารักชนิดรุนแรงจริงๆหญิงชราเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมองเขาและพูดว่า “หมิงซือ ครั้งก่อนเจ้าคิดจะเกี้ยวพาราสีเหิงจือ มีหลักฐานยืนยันชัดนั้น ครั้งนั้นข้าก็เมตตาเจ้ามากแล้ว แต่เจ้ากลับไม่สำนึกผิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงไปอยู่สำนักแม่ชีเถิด อาจจะทำให้เจ้าใจเย็นลง”ลู่หมิงซือมองหญิงชราด้วยความไม่เชื่อ น้ำตาไหลอาบแก้ม“ท่านคือท่านย่าของข้าจริงหรือ? ข้าคือหลานสาวชายาเอกแท้ๆ ของท่าน ทำไมท่านถึงใจร้ายให้ข้าไปอยู่สำนักแม่ชี ข้าอายุเพียงสิบหกปีเองนะ!” นางดูเจ็บปวดมาก “ทำไม? ทำไมข้าคือหลานสาวแท้ๆ ของท่าน แต่ท่านกลับรักซูชิงลั่วมากกว่าข้า ทำไมท่านถึงไม่ยุติธรรมและลำเอียงเช่นนี้?”“หากเจ้ามิใช่หลานสาวแท้ๆ ของข้า ครั้งก่อนเจ้าคงตายไปแล้ว”ทุกคนไม่เคยเห็นหญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้มาก่อน ต่างก็กลั้นหายใจและนิ่งเงียบไปในทันที“ข้ารักและเอ็นดูชิงลั่วเป็นพิเศษ เพราะชิงลั่วคู่ควร! ครั้นที่ชิงลั่วเพิ่งมาถึงเมืองหลวง พ่อแม่ของนางก็เสียชีวิตลงแล้ว นางต้องระมัดระวังตัวมาก ข้
หญิงชราไม่ได้พูดอะไรต่อ สั่งให้นำตัวสองแม่ลูกออกไป แล้วถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ มือทาบอกและหายใจหอบซูชิงลั่วรีบวิ่งไปประคองแขนหญิงชรา แล้วสั่งอย่างเด็ดขาดว่า “ไปเอาโสมแผ่นมา!”หญิงชราอมโสมแผ่น ไม่นานก็รู้สึกดีขึ้น จึงโบกมือปฏิเสธว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”ซูชิงลั่วจับมือนางแน่นด้วยความหวาดกลัว “ข้าจะให้คนไปเชิญหมอหลวงซ่งมา”ฝ่ามือของนางเย็นเฉียบ นางไม่กล้าคิดเลยว่าหากท่านยายเป็นอะไรไปจะทำอย่างไรทว่าหญิงชราราวกับรู้ว่าความคิดของนางในยามนี้ จึงค่อยๆ พูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยายจะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร”แม้จะพูดเช่นนั้น ซูชิงลั่วก็ยังคงเป็นห่วงจนกระทั่งหมอหลวงซ่งมาจับชีพจรแล้วบอกว่าหญิงชราปลอดภัยดี นางถึงโล่งใจหลังจากหมอหลวงซ่งจากไป ซูชิงลั่วอยู่เป็นเพื่อนหญิงชราเพียงลำพัง แล้วนั่งอยู่หัวเตียง มองดูสีหน้าเศร้าสร้อยของนาง จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านยาย ขออภัย......”นางลืมไปว่า อย่างไรเสียนางหลิ่วก็เป็นลูกสะใภ้ของท่านยาย และลู่หมิงซือก็เป็นหลานสาวชายาเอกแท้ๆ ของนาง การลงมือจัดการกับทั้งสองคนด้วยตัวเอง ย่อมทำให้เสียใจเป็นธรรมดาไม่ว่าจะอย่างไร ก็ควรบอกท่านยายทราบก่อนหญิงชราตบมือนางเบ