หญิงชราไม่ได้พูดอะไรต่อ สั่งให้นำตัวสองแม่ลูกออกไป แล้วถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ มือทาบอกและหายใจหอบซูชิงลั่วรีบวิ่งไปประคองแขนหญิงชรา แล้วสั่งอย่างเด็ดขาดว่า “ไปเอาโสมแผ่นมา!”หญิงชราอมโสมแผ่น ไม่นานก็รู้สึกดีขึ้น จึงโบกมือปฏิเสธว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”ซูชิงลั่วจับมือนางแน่นด้วยความหวาดกลัว “ข้าจะให้คนไปเชิญหมอหลวงซ่งมา”ฝ่ามือของนางเย็นเฉียบ นางไม่กล้าคิดเลยว่าหากท่านยายเป็นอะไรไปจะทำอย่างไรทว่าหญิงชราราวกับรู้ว่าความคิดของนางในยามนี้ จึงค่อยๆ พูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยายจะอ่อนแอขนาดนั้นได้อย่างไร”แม้จะพูดเช่นนั้น ซูชิงลั่วก็ยังคงเป็นห่วงจนกระทั่งหมอหลวงซ่งมาจับชีพจรแล้วบอกว่าหญิงชราปลอดภัยดี นางถึงโล่งใจหลังจากหมอหลวงซ่งจากไป ซูชิงลั่วอยู่เป็นเพื่อนหญิงชราเพียงลำพัง แล้วนั่งอยู่หัวเตียง มองดูสีหน้าเศร้าสร้อยของนาง จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านยาย ขออภัย......”นางลืมไปว่า อย่างไรเสียนางหลิ่วก็เป็นลูกสะใภ้ของท่านยาย และลู่หมิงซือก็เป็นหลานสาวชายาเอกแท้ๆ ของนาง การลงมือจัดการกับทั้งสองคนด้วยตัวเอง ย่อมทำให้เสียใจเป็นธรรมดาไม่ว่าจะอย่างไร ก็ควรบอกท่านยายทราบก่อนหญิงชราตบมือนางเบ
“จริงหรือเจ้าคะ” อวี้จู๋ร้องด้วยความดีใจ “ดีมากเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินซ่อนไว้ได้ดีจริงๆ ข้าไม่รู้เลยว่าเก็บไว้ที่ไหน”ซูชิงลั่วยิ้ม แล้วหยิบตำราสองเล่มจากใต้หีบออกมาให้นางด้วยตัวเอง และพูดเสียงเบาว่า “อ่านจบแล้วค่อยมาเปลี่ยนเล่มอื่นไป”อวี้จู๋กอดบทบรรยาย พยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วค่อยๆ ย่องเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องของตนเองเมื่อเปิดออกมาดูถึงกับอุทานออกมาว่าไม่แปลกใจเลยที่นางไม่รู้ เพราะปกหนังสือเขียนว่าตำราท้องถิ่น ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริงๆฮูหยินยังเก่งเรื่องการปลอมตัวอีกด้วยหลังจากอวี้จู๋จากไปแล้ว จื๋อหยวนนำชาอุ่นมาให้ซูชิงลั่ว แล้วพูดว่า “บ่าวตกใจแทบตายเลย บ่าวเห็นอวี้จู๋ไม่ปกติมาหลายวันแล้ว เกือบจะคิดว่า......ฮูหยินเก่งมากเลยเจ้าค่ะ!”“ก็ไม่เลว” ซูชิงลั่วรับชาไปจิบอย่างมีความสุข “ไม่บอกเจ้าเพราะกลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นไปอีก อย่าคิดมากนะ”จื๋อหยวนพยักหน้า “บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ”*ลู่หมิงซือถูกกักบริเวณอยู่ในห้อง มีสาวใช้และแม่เฒ่าคอยดูแลฉ่ายไป๋และสาวใช้คนสนิทอื่นๆ ถูกพาตัวไปหมด ข้างกายนางจึงไม่เหลือใครให้เรียกใช้ได้นังแก่นั่น......จะส่ง
ซูชิงลั่วตื่นนอน ลู่เหิงจือก็ไปเข้าเฝ้านานแล้วนางเหลือบมองเตียงข้างๆ ที่ว่างเปล่า แล้วนึกถึงเมื่อคืนที่หลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะการกล่อมของลู่เหิงจือ ก็ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้จนกระทั่งอวี้จู๋เดินเข้ามา นางถึงรีบหุบยิ้ม แล้วแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยและสุภาพอ่อนโยนอวี้จู๋คอยรับใช้นางแต่งตัวและล้างหน้า แต่ก็อดอ้าปากหาวหลายครั้งไม่ได้ซูชิงลั่วเงยหน้ามองนาง ก็เห็นใต้ตาของอวี้จู๋คล้ำเชียวนางจึงมองไปที่กระจกแล้วจัดทรงผมที่ติดปิ่นปักผม แล้วถามว่า “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ”อวี้จู๋อ้าปากหาวอีกครั้ง “อย่าพูดถึงเลยเจ้าค่ะฮูหยิน หากบ่าวอ่านหนังสือไม่ออกคงจะดีกว่า”“เมื่อคืนอ่านบทบรรยายที่ท่านให้มาจนถึงดึก อ่านเพลินและสนุกกว่าของคุณหนูใหญ่อีกเจ้าค่ะ”“แต่ทำไมถึงมียามที่คุณหนูผู้นั้นตาย บัณฑิตถึงดื่มเถ้ากระดูกของนางอย่างกับสุราด้วย ฮือ น่ากลัว แต่ข้าชอบมากเจ้าค่ะ”ซูชิงลั่ว "......"ก็ได้ เป็นความผิดของนางเองหลังจากนางพูดจบไม่นาน จื๋อหยวนก็ถือกล่องอาหารเข้ามา ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองนาง “ฮูหยิน บ่าวก็อยากเรียนหนังสือ อยากอ่านบทบรรยายด้วยเจ้าค่ะ”"......" ซูชิงลั่วพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ให้ช
ซูชิงลั่วพยุงแม่นมเหมยเข้าห้องแม่นมเหมยผอมลงไปมาก และดูคล่องแคล่วคงเดิม แต่เทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อน รอยย่นบนหน้าและผมงอกก็เพิ่มขึ้นมาทั้งคู่ต่างก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ตั้งแต่เจอกันที่หน้าประตูแม่นมเหมยวางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้พะยูงหอมแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนข้าเคยมาที่จวนลู่ แต่บังเอิญคุณหนูไปเจียงหนานพอดี หากรู้ก่อนข้าคงไม่รีบขึ้นมาเมืองหลวง พวกเราเจอกันที่บ้านเกิดคงจะดีกว่า”ซูชิงลั่วรู้สึกตื่นเต้นใจมาก “ใช่เลย ข้าเองก็อยากเจอแม่นมตั้งแต่กลับถึงจินหลิง แต่ผูู้ดูแลถานบอกว่าท่านมาเมืองหลวงแล้ว โชคดีที่ได้เจอกันสักที”จื๋อหยวนรินชาให้แม่นมเหมย ซูชิงลั่วรีบพูดว่า “แม่นมดื่มชาก่อน รอนานแล้วหรือไม่”“ไม่นาน” แม่นมเหมยมองหน้าซูชิงลั่วอยู่นาน อยากจะกอดนาง แต่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม มือจึงชะงักกลางอากาศ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณหนูของข้าโตขึ้นมากแล้ว เจ็ดปีผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อครู่ข้าแทบจำไม่ได้เลย”ซูชิงลั่วกลั้นน้ำตาไว้ แล้วซบหน้าลงบนไหล่แม่เหมย ราวกับครั้นที่ยังเป็นเด็กรู้สึกแปลกมากๆเวลาเจ็ดปีที่หายไประหว่างพวกเรา พอได้กอดแม่นมเหมยแล้วก็รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยคงเดิมนางจำได้
หลายปีต่อมาทุกปีนางก็ฝากคนมาส่งเสื้อผ้าที่นางทำเองมาให้ ไม่เคยลืมนางเลยคนแบบนี้ไม่มีทางทำร้ายนางแน่อน การเก็บนางไว้ข้างกายก็สบายใจได้ซูชิงลั่วจึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช้ได้ แม่นมก็ปรนนิบัติข้าก็ได้”นางจำได้ลางๆ ว่า แม่นมเหมยเป็นคนเก่งเรื่องการบำรุงร่างกายของสตรียามนั้นนางเป็นห่วงลูกสะใภ้มาก จึงอยากจะดูแลด้วยตนเองยามนั้นท่านแม่เลือกให้นางเป็นแม่นม ก็เพื่ออยากให้นางตามติดตนไปตลอดชีวิต พอแต่งงานแล้วก็คอยดูแลร่างกายของตนเองลู่เหิงจือมักจะกลับจากวังในช่วงบ่าย ซูชิงลั่วจึงไม่ได้รอเขากินข้าวแต่ทันทีที่ขยับตะเกียบ ก็ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกร้องว่า “ใต้เท้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ลู่เหิงจือสวมชุดทางการสีแดงเข้มคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ รูปร่างสง่าผ่าเผย และเดินเข้ามาอย่างสุขุมเขาถอดผ้าคลุมออก เหลือบมองเข้าไปข้างใน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ใครมา”ซูชิงลั่วรีบเดินไปรับชุดคลุมแล้วพูดว่า “แม่นมเหมยที่เลี้ยงข้ามาตั้งแต่เด็ก ระหว่างที่เราไปที่จินหลิง ข้ายังอยากเจอนางเลย ท่านจำได้หรือไม่”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นลู่เหิงจือแทบไม่เคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้มาก่อน ดูดีใจ ผ่อนคลาย หรืออาจเป็นเพราะความไ
แม่นมเหมยได้ยินลู่เหิงจือบอกว่ามีธุระต้องทำ หลังกินอาหารเสร็จก็จะขอตัวลาซูชิงลั่วจึงคว้ามือแม่นมเหมยไว้ “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ข้ายังไม่ได้พูดคุยกับท่านเลย”แม่นมเหมยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้จะมาหาฮูหยินใหม่ ถึงเวลานั้นจะพูดคุยกับข้านานแค่ไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างคอยรับฟัง ดีหรือไม่”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปลู่เหิงจือเดินเข้ามาแล้วโอบเอวนางไว้ “ไปกันเถิด ข้าจะไปส่งแม่นมเหมยกับเจ้า”ต่อหน้าแม่นมเหมย ซูชิงลั่วอยากผลักเขาออก แต่เขากลับโอบกอดนางแน่นขึ้นเขาก้มศีรษะ กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “แม่นมเหมยผ่านโลกมามาก ย่อมรู้ทุกเรื่อง”ซูชิงลั่วต้านทานเขาไม่ไหว จึงยอมไปด้วย*เจียงหมัวมัวได้ยินว่าครัวต้องออกไปซื้อปลาสดเพิ่ม จึงถามว่าใครมาคนที่ตอบพูดว่าเป็นแม่นมของฮูหยินครั้นอยู่ที่จินหลิงเนื่องด้วยเป็นแม่นมของฮูหยิน เจียงหมัวมัวจึงอยากมาดูให้เห็นกับตา และพาลี่ว์เหมยเดินเข้าเรือนของฮูหยินถึงรู้ว่าลู่เหิงจือไปส่งแม่นมผู้นั้นออกไปพร้อมกับซูชิงลั่วด้วยตัวเองเจียงหมัวมัวรู้สึกขมขื่นในใจ "ใต้เท้าให้เกีย
ในห้องแยกมีหน้าต่างเปิดอยู่ เฉิงซิ่วบอกเป็นนัยว่าตนรู้สึกหนาว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงแค่ยิ้มแล้วสั่งให้คนเอาเตาอังเท้ามาให้เฉิงซิ่วก่อนจะหมั้นกับเขาก็เคยได้ยินข่าวลือมามากมาย ลู่เหยียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมบ้าง มีความสัมพันธ์กับลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาบ้างแต่ยามนี้เขาดูสุภาพมากนางส่งสัญญาณเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนางเลย แสดงให้เห็นว่าข่าวลือเหล่านั้นไม่เป็นความจริงเฉิงซิ่วยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้าเติมชาให้พี่ลู่เพิ่มนะ”นางเดินไปหาเขา ตั้งใจเบียดเข้าไปใกล้ และเติมน้ำชาให้เสร็จแล้ว ก็ผลักมือไปเล็กน้อยอย่างใจกล้า ทำให้ถ้วยชาล้มคว่ำลงบนโต๊ะนางอุทานว่า “อ้าย” แล้วรีบใช้ผ้าเช็ดโต๊ะ “พี่ลู่ ขอโทษด้วย เป็นความผิดของข้าเอง”ลู่เหยียนรู้สึกตัว ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร เรียกสาวใช้มาทำความสะอาดก็ได้แล้ว”เฉิงซิ่วพยักหน้า น้ำชาไหลลงพื้น นางหันหลังกลับแต่เท้าลื่นอันที่จริงแล้ว แรงประมาณนี้นางรับไหว แต่ไม่รู้ทำไม กลับปล่อยให้ตัวเองล้มลงบนร่างกายของลู่เหยียน หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นในทันทีลู่เหยียนจึงโอบไหล่นางไว้"ไม่เป็นไรใช่หรือไม่""ไม่
ซ่างไฉถึงกับเข่าอ่อนเพราะนายท่านของเขาผู้นี้ ห้ามไม่อยู่ อย่างไรลู่เหยียนก็จะต้องลองให้ได้เขาถึงขั้นบอกว่า : "เจ้าพูดถูก น้องซูกับท่านสามผูกพันธ์ลึกซึ้ง แต่นางน่าจะอยากลองกับข้าดูด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางมองข้าเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีทางขุดคุ้ยปัญหาเก่าๆ ออกมาอีก"พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเขาฉายประกายความตื่นเต้นดีใจ "ใช่แล้ว นางต้องการให้ข้าขอร้องนาง"ซ่างไฉ : "?"สมองของท่านชายผู้นี้มีปัญหาใช่หรือไม่เขาไม่อยากจะถูกท่านชายโบยจนขาหักช่างเถอะ ฮูหยินน้อยที่สามอยู่ในขนบธรรมเนียม รู้จักวางตัวมาโดยตลอด ไม่มีทางก่อเรื่องวุ่นวายตามอำเภอใจท่านชายผู้นี้จะหาเรื่องให้ตนเสียหน้าให้ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาโดนเสียบ้างเมื่อมาหา เป็นอย่างที่คิด คนของฮูหยินน้อยที่สามบอกว่านางกำลังนอนกลางวัน ไม่พบแขกซ่างไฉโล่งใจ กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไป กลับได้ยินเขาพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ : "ใช่แล้ว นางต้องการทดสอบข้า เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่สักพักเถอะ"ซ่างไฉ : "? ? ?"เขาขอเปลี่ยนงานจะได้หรือไม่ลู่เหยียนรออยู่นอกเรือนเป็นเวลานานก่อนหน้าใช่ว่าจะไม่เคยรอซูชิงลั่วมาก่อน ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาม