ซูชิงลั่วพยุงแม่นมเหมยเข้าห้องแม่นมเหมยผอมลงไปมาก และดูคล่องแคล่วคงเดิม แต่เทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อน รอยย่นบนหน้าและผมงอกก็เพิ่มขึ้นมาทั้งคู่ต่างก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ตั้งแต่เจอกันที่หน้าประตูแม่นมเหมยวางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้พะยูงหอมแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนข้าเคยมาที่จวนลู่ แต่บังเอิญคุณหนูไปเจียงหนานพอดี หากรู้ก่อนข้าคงไม่รีบขึ้นมาเมืองหลวง พวกเราเจอกันที่บ้านเกิดคงจะดีกว่า”ซูชิงลั่วรู้สึกตื่นเต้นใจมาก “ใช่เลย ข้าเองก็อยากเจอแม่นมตั้งแต่กลับถึงจินหลิง แต่ผูู้ดูแลถานบอกว่าท่านมาเมืองหลวงแล้ว โชคดีที่ได้เจอกันสักที”จื๋อหยวนรินชาให้แม่นมเหมย ซูชิงลั่วรีบพูดว่า “แม่นมดื่มชาก่อน รอนานแล้วหรือไม่”“ไม่นาน” แม่นมเหมยมองหน้าซูชิงลั่วอยู่นาน อยากจะกอดนาง แต่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม มือจึงชะงักกลางอากาศ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณหนูของข้าโตขึ้นมากแล้ว เจ็ดปีผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อครู่ข้าแทบจำไม่ได้เลย”ซูชิงลั่วกลั้นน้ำตาไว้ แล้วซบหน้าลงบนไหล่แม่เหมย ราวกับครั้นที่ยังเป็นเด็กรู้สึกแปลกมากๆเวลาเจ็ดปีที่หายไประหว่างพวกเรา พอได้กอดแม่นมเหมยแล้วก็รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยคงเดิมนางจำได้
หลายปีต่อมาทุกปีนางก็ฝากคนมาส่งเสื้อผ้าที่นางทำเองมาให้ ไม่เคยลืมนางเลยคนแบบนี้ไม่มีทางทำร้ายนางแน่อน การเก็บนางไว้ข้างกายก็สบายใจได้ซูชิงลั่วจึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช้ได้ แม่นมก็ปรนนิบัติข้าก็ได้”นางจำได้ลางๆ ว่า แม่นมเหมยเป็นคนเก่งเรื่องการบำรุงร่างกายของสตรียามนั้นนางเป็นห่วงลูกสะใภ้มาก จึงอยากจะดูแลด้วยตนเองยามนั้นท่านแม่เลือกให้นางเป็นแม่นม ก็เพื่ออยากให้นางตามติดตนไปตลอดชีวิต พอแต่งงานแล้วก็คอยดูแลร่างกายของตนเองลู่เหิงจือมักจะกลับจากวังในช่วงบ่าย ซูชิงลั่วจึงไม่ได้รอเขากินข้าวแต่ทันทีที่ขยับตะเกียบ ก็ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกร้องว่า “ใต้เท้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ลู่เหิงจือสวมชุดทางการสีแดงเข้มคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ รูปร่างสง่าผ่าเผย และเดินเข้ามาอย่างสุขุมเขาถอดผ้าคลุมออก เหลือบมองเข้าไปข้างใน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ใครมา”ซูชิงลั่วรีบเดินไปรับชุดคลุมแล้วพูดว่า “แม่นมเหมยที่เลี้ยงข้ามาตั้งแต่เด็ก ระหว่างที่เราไปที่จินหลิง ข้ายังอยากเจอนางเลย ท่านจำได้หรือไม่”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นลู่เหิงจือแทบไม่เคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้มาก่อน ดูดีใจ ผ่อนคลาย หรืออาจเป็นเพราะความไ
แม่นมเหมยได้ยินลู่เหิงจือบอกว่ามีธุระต้องทำ หลังกินอาหารเสร็จก็จะขอตัวลาซูชิงลั่วจึงคว้ามือแม่นมเหมยไว้ “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ข้ายังไม่ได้พูดคุยกับท่านเลย”แม่นมเหมยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้จะมาหาฮูหยินใหม่ ถึงเวลานั้นจะพูดคุยกับข้านานแค่ไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างคอยรับฟัง ดีหรือไม่”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปลู่เหิงจือเดินเข้ามาแล้วโอบเอวนางไว้ “ไปกันเถิด ข้าจะไปส่งแม่นมเหมยกับเจ้า”ต่อหน้าแม่นมเหมย ซูชิงลั่วอยากผลักเขาออก แต่เขากลับโอบกอดนางแน่นขึ้นเขาก้มศีรษะ กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “แม่นมเหมยผ่านโลกมามาก ย่อมรู้ทุกเรื่อง”ซูชิงลั่วต้านทานเขาไม่ไหว จึงยอมไปด้วย*เจียงหมัวมัวได้ยินว่าครัวต้องออกไปซื้อปลาสดเพิ่ม จึงถามว่าใครมาคนที่ตอบพูดว่าเป็นแม่นมของฮูหยินครั้นอยู่ที่จินหลิงเนื่องด้วยเป็นแม่นมของฮูหยิน เจียงหมัวมัวจึงอยากมาดูให้เห็นกับตา และพาลี่ว์เหมยเดินเข้าเรือนของฮูหยินถึงรู้ว่าลู่เหิงจือไปส่งแม่นมผู้นั้นออกไปพร้อมกับซูชิงลั่วด้วยตัวเองเจียงหมัวมัวรู้สึกขมขื่นในใจ "ใต้เท้าให้เกีย
ในห้องแยกมีหน้าต่างเปิดอยู่ เฉิงซิ่วบอกเป็นนัยว่าตนรู้สึกหนาว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงแค่ยิ้มแล้วสั่งให้คนเอาเตาอังเท้ามาให้เฉิงซิ่วก่อนจะหมั้นกับเขาก็เคยได้ยินข่าวลือมามากมาย ลู่เหยียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมบ้าง มีความสัมพันธ์กับลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาบ้างแต่ยามนี้เขาดูสุภาพมากนางส่งสัญญาณเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนางเลย แสดงให้เห็นว่าข่าวลือเหล่านั้นไม่เป็นความจริงเฉิงซิ่วยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้าเติมชาให้พี่ลู่เพิ่มนะ”นางเดินไปหาเขา ตั้งใจเบียดเข้าไปใกล้ และเติมน้ำชาให้เสร็จแล้ว ก็ผลักมือไปเล็กน้อยอย่างใจกล้า ทำให้ถ้วยชาล้มคว่ำลงบนโต๊ะนางอุทานว่า “อ้าย” แล้วรีบใช้ผ้าเช็ดโต๊ะ “พี่ลู่ ขอโทษด้วย เป็นความผิดของข้าเอง”ลู่เหยียนรู้สึกตัว ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร เรียกสาวใช้มาทำความสะอาดก็ได้แล้ว”เฉิงซิ่วพยักหน้า น้ำชาไหลลงพื้น นางหันหลังกลับแต่เท้าลื่นอันที่จริงแล้ว แรงประมาณนี้นางรับไหว แต่ไม่รู้ทำไม กลับปล่อยให้ตัวเองล้มลงบนร่างกายของลู่เหยียน หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นในทันทีลู่เหยียนจึงโอบไหล่นางไว้"ไม่เป็นไรใช่หรือไม่""ไม่
ซ่างไฉถึงกับเข่าอ่อนเพราะนายท่านของเขาผู้นี้ ห้ามไม่อยู่ อย่างไรลู่เหยียนก็จะต้องลองให้ได้เขาถึงขั้นบอกว่า : "เจ้าพูดถูก น้องซูกับท่านสามผูกพันธ์ลึกซึ้ง แต่นางน่าจะอยากลองกับข้าดูด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางมองข้าเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีทางขุดคุ้ยปัญหาเก่าๆ ออกมาอีก"พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเขาฉายประกายความตื่นเต้นดีใจ "ใช่แล้ว นางต้องการให้ข้าขอร้องนาง"ซ่างไฉ : "?"สมองของท่านชายผู้นี้มีปัญหาใช่หรือไม่เขาไม่อยากจะถูกท่านชายโบยจนขาหักช่างเถอะ ฮูหยินน้อยที่สามอยู่ในขนบธรรมเนียม รู้จักวางตัวมาโดยตลอด ไม่มีทางก่อเรื่องวุ่นวายตามอำเภอใจท่านชายผู้นี้จะหาเรื่องให้ตนเสียหน้าให้ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาโดนเสียบ้างเมื่อมาหา เป็นอย่างที่คิด คนของฮูหยินน้อยที่สามบอกว่านางกำลังนอนกลางวัน ไม่พบแขกซ่างไฉโล่งใจ กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไป กลับได้ยินเขาพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ : "ใช่แล้ว นางต้องการทดสอบข้า เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่สักพักเถอะ"ซ่างไฉ : "? ? ?"เขาขอเปลี่ยนงานจะได้หรือไม่ลู่เหยียนรออยู่นอกเรือนเป็นเวลานานก่อนหน้าใช่ว่าจะไม่เคยรอซูชิงลั่วมาก่อน ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาม
ต่างก็เป็นชายหนุ่มด้วยกันทั้งนั้น สายตาร้อนลุ่มของลู่เหยียนเมื่อครู่หมายความเช่นไรเขารู้แจ้งดีเขาพูดเสียงขรึม : "คุกเข่าหน้าจวนลู่สามวันสามคืน หากมีครั้งหน้าอีก..."เขากดดาบไว้ที่ต้นคอของลู่เหยียน "ข้าไม่รังเกียจหากจะต้องได้ชื่อว่าเป็นผู้ข้าน้องชายอีก"ลู่เหยียนนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นลู่เหิงจือลงมือฆ่าอาด้วยตัวเขาเองจริงๆเขาตกใจกลัวทรุดลงไปที่พื้นจนลุกไม่ขึ้น เป็นซ่างไฉที่รีบเข้ามาประครองเขาขึ้นมา แล้วทำความเคารพลู่เหิงจือก่อนจะพยุงเขาออกไปลู่เหิงจือโยนดาบกลับไปในมือโฉวกว่าง ทอดมองไปยังแผ่นหลังที่กำลังจากไปของเขาพลางสั่งซ่งเหวิน : "ห้ามให้เขาย่างเข้ามาในจวนอีกแม้แต่ก้าวเดียว"ซ่งเหวินรีบรับคำสั่งทันทีลู่เหิงจือหันไปมองในเรือนปราดหนึ่ง สายตาอ่อนโยนลงกว่าเดิมอย่างสังเกตเห็นได้ด้านนอกเสียงความเคลื่อนไหวดังเช่นนี้ นางคงจะได้ยินหมดแล้วเขาครุ่นคิดก่อนจะสั่งซ่งเหวิน : "ไปบอกน้องหญิงว่าเรื่องข้างนอก นางไม่ต้องสนใจ พักผ่อนให้ดีก็พอ"ซ่งเหวินรีบวิ่งกลับไป ให้จื๋อหยวนนำคำพูดไปบอกต่อ แล้วถือโอกาสตอนที่อวี้จู๋ไปยกน้ำร้อน แอบยัดปิ่นที่เมื่อครู่ยังไม่มีโอกาสได้ให้นางใส่ไปในมือนางเขาเด็กหนุ่มผู้ซึ
เช้าวันรุ่งขึ้นแม่นมเหมยเรียกรถลาลากมาสองคัน เพื่อขนกระเป๋ามายังจวนหลังจากจัดแจงเรียบร้อย นางก็มาพูดคุยกับซูชิงลั่วก่อนในช่วงเช้าเมื่อใกล้เที่ยง แม่นมเหมยก็กระซิบถามเบาๆ : "ท่านแต่งงานกับใต้เท้าใกล้จะหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย : "แต่ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย"หากมีลูก จะเหมือนลู่เหิงจือหรือเหมือนนางมากกว่า นางเองก็ตั้งตารออยู่เช่นกันแม่นมเหมยเอ่ย : "นายหญิงยังสาว ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน"ซูชิงลั่วพยักหน้า แล้วยื่นมือออกไปสีหน้าของแม่นมเหมยค่อยๆ จริงจังขึ้นซูชิงลั่วเริ่มเป็นกังวล อดถามไม่ได้ : "ร่างกายของข้ามีปัญหาใดหรือ หมัวมัวบอกมาตามตรงได้เลย"เนื่องจากเมื่อวานแม่นมเหมยเห็นสีหน้านาง กลัวว่าร่างกายนางจะมีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้รีบเก็บของกลับมาตั้งแต่เช้าวันนี้นางพูดอย่างอ่อนโยน : "ไม่มีปัญหา ร่างกายของนายหญิงเพียงแค่มีธาตุเย็นมากไปหน่อย บำรุงสักนิดก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใดแล้ว"ซูชิงลั่วโล่งใจ : "เช่นนั้นก็ดี"แม่นมเหมยลุกขึ้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้คนไปซื้อ วันนี้นายหญิงจะ
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่านี่คือโรคหัวใจตั้งแต่ที่หวังเหลียงฮั่นถูกริบสมบัติและเนรเทศออกไป องค์รัชทายาทก็ประหนึ่งเสียแขนไปหนึ่งข้าง เหล่าราชวงศ์ล้วนแต่กลัวตนเองเดือดร้อน ยังไม่ทันเกิดเหตุ ก็พากันแตกตื่นไหวตัวหนีไปก่อนหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว กลางดึกองค์รัชทายาทไม่ได้ไปที่พระชายา เพียงแต่นั่งทำสมาธิตามลำพังในพระอุโบสถแน่นอนว่าหน้าประตูย่อมมีคนเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากเฉิงซิ่วจะพาสาวใช้เข้าไปพี่สาวของเฉิงซิ่วคือพระชายารองขององค์รัชทายาท นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้องค์รัชทายาทยิ่งนักเฉิงซิ่วนำสาวใช้ทำความเคารพ ก่อนจะพูดเสียงเบา : "นี่ก็คือผู้ที่ข้าบอกกับท่านพี่ว่าอยากพบท่าน"องค์รัชทายาทเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวสาวใช้นางนั้นหน้าตานับว่าพอไปวัดไปวา เป็นลักษณะที่เขาชอบ คล้ายว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนองค์รัชทายาทพยักหน้าให้เฉิงซิ่ว : "เจ้าออกไปก่อน"เฉิงซิ่วมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบถอยออกไปภายในใจลู่หมิงซือก็ตื่นเต้นไม่น้อย แพ้ชนะล้วนแต่ขึ้นอยู่กับวันพรุ่งหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น พลันได้ยินเสียงองค์รัชทายาท : "เงยหน้า"นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆองค์รัชทายาท