ซูชิงลั่วพยุงแม่นมเหมยเข้าห้องแม่นมเหมยผอมลงไปมาก และดูคล่องแคล่วคงเดิม แต่เทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อน รอยย่นบนหน้าและผมงอกก็เพิ่มขึ้นมาทั้งคู่ต่างก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ตั้งแต่เจอกันที่หน้าประตูแม่นมเหมยวางตะกร้าลงบนโต๊ะไม้พะยูงหอมแล้วพูดว่า “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนข้าเคยมาที่จวนลู่ แต่บังเอิญคุณหนูไปเจียงหนานพอดี หากรู้ก่อนข้าคงไม่รีบขึ้นมาเมืองหลวง พวกเราเจอกันที่บ้านเกิดคงจะดีกว่า”ซูชิงลั่วรู้สึกตื่นเต้นใจมาก “ใช่เลย ข้าเองก็อยากเจอแม่นมตั้งแต่กลับถึงจินหลิง แต่ผูู้ดูแลถานบอกว่าท่านมาเมืองหลวงแล้ว โชคดีที่ได้เจอกันสักที”จื๋อหยวนรินชาให้แม่นมเหมย ซูชิงลั่วรีบพูดว่า “แม่นมดื่มชาก่อน รอนานแล้วหรือไม่”“ไม่นาน” แม่นมเหมยมองหน้าซูชิงลั่วอยู่นาน อยากจะกอดนาง แต่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม มือจึงชะงักกลางอากาศ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณหนูของข้าโตขึ้นมากแล้ว เจ็ดปีผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อครู่ข้าแทบจำไม่ได้เลย”ซูชิงลั่วกลั้นน้ำตาไว้ แล้วซบหน้าลงบนไหล่แม่เหมย ราวกับครั้นที่ยังเป็นเด็กรู้สึกแปลกมากๆเวลาเจ็ดปีที่หายไประหว่างพวกเรา พอได้กอดแม่นมเหมยแล้วก็รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยคงเดิมนางจำได้
หลายปีต่อมาทุกปีนางก็ฝากคนมาส่งเสื้อผ้าที่นางทำเองมาให้ ไม่เคยลืมนางเลยคนแบบนี้ไม่มีทางทำร้ายนางแน่อน การเก็บนางไว้ข้างกายก็สบายใจได้ซูชิงลั่วจึงตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ใช้ได้ แม่นมก็ปรนนิบัติข้าก็ได้”นางจำได้ลางๆ ว่า แม่นมเหมยเป็นคนเก่งเรื่องการบำรุงร่างกายของสตรียามนั้นนางเป็นห่วงลูกสะใภ้มาก จึงอยากจะดูแลด้วยตนเองยามนั้นท่านแม่เลือกให้นางเป็นแม่นม ก็เพื่ออยากให้นางตามติดตนไปตลอดชีวิต พอแต่งงานแล้วก็คอยดูแลร่างกายของตนเองลู่เหิงจือมักจะกลับจากวังในช่วงบ่าย ซูชิงลั่วจึงไม่ได้รอเขากินข้าวแต่ทันทีที่ขยับตะเกียบ ก็ได้ยินเสียงสาวใช้ข้างนอกร้องว่า “ใต้เท้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ลู่เหิงจือสวมชุดทางการสีแดงเข้มคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ รูปร่างสง่าผ่าเผย และเดินเข้ามาอย่างสุขุมเขาถอดผ้าคลุมออก เหลือบมองเข้าไปข้างใน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ใครมา”ซูชิงลั่วรีบเดินไปรับชุดคลุมแล้วพูดว่า “แม่นมเหมยที่เลี้ยงข้ามาตั้งแต่เด็ก ระหว่างที่เราไปที่จินหลิง ข้ายังอยากเจอนางเลย ท่านจำได้หรือไม่”ดวงตาของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นลู่เหิงจือแทบไม่เคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้มาก่อน ดูดีใจ ผ่อนคลาย หรืออาจเป็นเพราะความไ
แม่นมเหมยได้ยินลู่เหิงจือบอกว่ามีธุระต้องทำ หลังกินอาหารเสร็จก็จะขอตัวลาซูชิงลั่วจึงคว้ามือแม่นมเหมยไว้ “อย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหล ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ข้ายังไม่ได้พูดคุยกับท่านเลย”แม่นมเหมยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้ากลับไปเก็บของก่อน พรุ่งนี้จะมาหาฮูหยินใหม่ ถึงเวลานั้นจะพูดคุยกับข้านานแค่ไหน ข้าก็จะอยู่เคียงข้างคอยรับฟัง ดีหรือไม่”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปลู่เหิงจือเดินเข้ามาแล้วโอบเอวนางไว้ “ไปกันเถิด ข้าจะไปส่งแม่นมเหมยกับเจ้า”ต่อหน้าแม่นมเหมย ซูชิงลั่วอยากผลักเขาออก แต่เขากลับโอบกอดนางแน่นขึ้นเขาก้มศีรษะ กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “แม่นมเหมยผ่านโลกมามาก ย่อมรู้ทุกเรื่อง”ซูชิงลั่วต้านทานเขาไม่ไหว จึงยอมไปด้วย*เจียงหมัวมัวได้ยินว่าครัวต้องออกไปซื้อปลาสดเพิ่ม จึงถามว่าใครมาคนที่ตอบพูดว่าเป็นแม่นมของฮูหยินครั้นอยู่ที่จินหลิงเนื่องด้วยเป็นแม่นมของฮูหยิน เจียงหมัวมัวจึงอยากมาดูให้เห็นกับตา และพาลี่ว์เหมยเดินเข้าเรือนของฮูหยินถึงรู้ว่าลู่เหิงจือไปส่งแม่นมผู้นั้นออกไปพร้อมกับซูชิงลั่วด้วยตัวเองเจียงหมัวมัวรู้สึกขมขื่นในใจ "ใต้เท้าให้เกีย
ในห้องแยกมีหน้าต่างเปิดอยู่ เฉิงซิ่วบอกเป็นนัยว่าตนรู้สึกหนาว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงแค่ยิ้มแล้วสั่งให้คนเอาเตาอังเท้ามาให้เฉิงซิ่วก่อนจะหมั้นกับเขาก็เคยได้ยินข่าวลือมามากมาย ลู่เหยียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมบ้าง มีความสัมพันธ์กับลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาบ้างแต่ยามนี้เขาดูสุภาพมากนางส่งสัญญาณเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนางเลย แสดงให้เห็นว่าข่าวลือเหล่านั้นไม่เป็นความจริงเฉิงซิ่วยิ่งชอบเขามากขึ้นไปอีก จึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้าเติมชาให้พี่ลู่เพิ่มนะ”นางเดินไปหาเขา ตั้งใจเบียดเข้าไปใกล้ และเติมน้ำชาให้เสร็จแล้ว ก็ผลักมือไปเล็กน้อยอย่างใจกล้า ทำให้ถ้วยชาล้มคว่ำลงบนโต๊ะนางอุทานว่า “อ้าย” แล้วรีบใช้ผ้าเช็ดโต๊ะ “พี่ลู่ ขอโทษด้วย เป็นความผิดของข้าเอง”ลู่เหยียนรู้สึกตัว ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร เรียกสาวใช้มาทำความสะอาดก็ได้แล้ว”เฉิงซิ่วพยักหน้า น้ำชาไหลลงพื้น นางหันหลังกลับแต่เท้าลื่นอันที่จริงแล้ว แรงประมาณนี้นางรับไหว แต่ไม่รู้ทำไม กลับปล่อยให้ตัวเองล้มลงบนร่างกายของลู่เหยียน หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นในทันทีลู่เหยียนจึงโอบไหล่นางไว้"ไม่เป็นไรใช่หรือไม่""ไม่
ซ่างไฉถึงกับเข่าอ่อนเพราะนายท่านของเขาผู้นี้ ห้ามไม่อยู่ อย่างไรลู่เหยียนก็จะต้องลองให้ได้เขาถึงขั้นบอกว่า : "เจ้าพูดถูก น้องซูกับท่านสามผูกพันธ์ลึกซึ้ง แต่นางน่าจะอยากลองกับข้าดูด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางมองข้าเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีทางขุดคุ้ยปัญหาเก่าๆ ออกมาอีก"พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาของเขาฉายประกายความตื่นเต้นดีใจ "ใช่แล้ว นางต้องการให้ข้าขอร้องนาง"ซ่างไฉ : "?"สมองของท่านชายผู้นี้มีปัญหาใช่หรือไม่เขาไม่อยากจะถูกท่านชายโบยจนขาหักช่างเถอะ ฮูหยินน้อยที่สามอยู่ในขนบธรรมเนียม รู้จักวางตัวมาโดยตลอด ไม่มีทางก่อเรื่องวุ่นวายตามอำเภอใจท่านชายผู้นี้จะหาเรื่องให้ตนเสียหน้าให้ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาโดนเสียบ้างเมื่อมาหา เป็นอย่างที่คิด คนของฮูหยินน้อยที่สามบอกว่านางกำลังนอนกลางวัน ไม่พบแขกซ่างไฉโล่งใจ กำลังจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไป กลับได้ยินเขาพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ : "ใช่แล้ว นางต้องการทดสอบข้า เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่สักพักเถอะ"ซ่างไฉ : "? ? ?"เขาขอเปลี่ยนงานจะได้หรือไม่ลู่เหยียนรออยู่นอกเรือนเป็นเวลานานก่อนหน้าใช่ว่าจะไม่เคยรอซูชิงลั่วมาก่อน ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาม
ต่างก็เป็นชายหนุ่มด้วยกันทั้งนั้น สายตาร้อนลุ่มของลู่เหยียนเมื่อครู่หมายความเช่นไรเขารู้แจ้งดีเขาพูดเสียงขรึม : "คุกเข่าหน้าจวนลู่สามวันสามคืน หากมีครั้งหน้าอีก..."เขากดดาบไว้ที่ต้นคอของลู่เหยียน "ข้าไม่รังเกียจหากจะต้องได้ชื่อว่าเป็นผู้ข้าน้องชายอีก"ลู่เหยียนนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นลู่เหิงจือลงมือฆ่าอาด้วยตัวเขาเองจริงๆเขาตกใจกลัวทรุดลงไปที่พื้นจนลุกไม่ขึ้น เป็นซ่างไฉที่รีบเข้ามาประครองเขาขึ้นมา แล้วทำความเคารพลู่เหิงจือก่อนจะพยุงเขาออกไปลู่เหิงจือโยนดาบกลับไปในมือโฉวกว่าง ทอดมองไปยังแผ่นหลังที่กำลังจากไปของเขาพลางสั่งซ่งเหวิน : "ห้ามให้เขาย่างเข้ามาในจวนอีกแม้แต่ก้าวเดียว"ซ่งเหวินรีบรับคำสั่งทันทีลู่เหิงจือหันไปมองในเรือนปราดหนึ่ง สายตาอ่อนโยนลงกว่าเดิมอย่างสังเกตเห็นได้ด้านนอกเสียงความเคลื่อนไหวดังเช่นนี้ นางคงจะได้ยินหมดแล้วเขาครุ่นคิดก่อนจะสั่งซ่งเหวิน : "ไปบอกน้องหญิงว่าเรื่องข้างนอก นางไม่ต้องสนใจ พักผ่อนให้ดีก็พอ"ซ่งเหวินรีบวิ่งกลับไป ให้จื๋อหยวนนำคำพูดไปบอกต่อ แล้วถือโอกาสตอนที่อวี้จู๋ไปยกน้ำร้อน แอบยัดปิ่นที่เมื่อครู่ยังไม่มีโอกาสได้ให้นางใส่ไปในมือนางเขาเด็กหนุ่มผู้ซึ
เช้าวันรุ่งขึ้นแม่นมเหมยเรียกรถลาลากมาสองคัน เพื่อขนกระเป๋ามายังจวนหลังจากจัดแจงเรียบร้อย นางก็มาพูดคุยกับซูชิงลั่วก่อนในช่วงเช้าเมื่อใกล้เที่ยง แม่นมเหมยก็กระซิบถามเบาๆ : "ท่านแต่งงานกับใต้เท้าใกล้จะหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย : "แต่ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย"หากมีลูก จะเหมือนลู่เหิงจือหรือเหมือนนางมากกว่า นางเองก็ตั้งตารออยู่เช่นกันแม่นมเหมยเอ่ย : "นายหญิงยังสาว ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน"ซูชิงลั่วพยักหน้า แล้วยื่นมือออกไปสีหน้าของแม่นมเหมยค่อยๆ จริงจังขึ้นซูชิงลั่วเริ่มเป็นกังวล อดถามไม่ได้ : "ร่างกายของข้ามีปัญหาใดหรือ หมัวมัวบอกมาตามตรงได้เลย"เนื่องจากเมื่อวานแม่นมเหมยเห็นสีหน้านาง กลัวว่าร่างกายนางจะมีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้รีบเก็บของกลับมาตั้งแต่เช้าวันนี้นางพูดอย่างอ่อนโยน : "ไม่มีปัญหา ร่างกายของนายหญิงเพียงแค่มีธาตุเย็นมากไปหน่อย บำรุงสักนิดก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใดแล้ว"ซูชิงลั่วโล่งใจ : "เช่นนั้นก็ดี"แม่นมเหมยลุกขึ้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้คนไปซื้อ วันนี้นายหญิงจะ
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่านี่คือโรคหัวใจตั้งแต่ที่หวังเหลียงฮั่นถูกริบสมบัติและเนรเทศออกไป องค์รัชทายาทก็ประหนึ่งเสียแขนไปหนึ่งข้าง เหล่าราชวงศ์ล้วนแต่กลัวตนเองเดือดร้อน ยังไม่ทันเกิดเหตุ ก็พากันแตกตื่นไหวตัวหนีไปก่อนหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว กลางดึกองค์รัชทายาทไม่ได้ไปที่พระชายา เพียงแต่นั่งทำสมาธิตามลำพังในพระอุโบสถแน่นอนว่าหน้าประตูย่อมมีคนเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากเฉิงซิ่วจะพาสาวใช้เข้าไปพี่สาวของเฉิงซิ่วคือพระชายารองขององค์รัชทายาท นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้องค์รัชทายาทยิ่งนักเฉิงซิ่วนำสาวใช้ทำความเคารพ ก่อนจะพูดเสียงเบา : "นี่ก็คือผู้ที่ข้าบอกกับท่านพี่ว่าอยากพบท่าน"องค์รัชทายาทเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวสาวใช้นางนั้นหน้าตานับว่าพอไปวัดไปวา เป็นลักษณะที่เขาชอบ คล้ายว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนองค์รัชทายาทพยักหน้าให้เฉิงซิ่ว : "เจ้าออกไปก่อน"เฉิงซิ่วมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบถอยออกไปภายในใจลู่หมิงซือก็ตื่นเต้นไม่น้อย แพ้ชนะล้วนแต่ขึ้นอยู่กับวันพรุ่งหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น พลันได้ยินเสียงองค์รัชทายาท : "เงยหน้า"นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆองค์รัชทายาท
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป