เช้าวันรุ่งขึ้นแม่นมเหมยเรียกรถลาลากมาสองคัน เพื่อขนกระเป๋ามายังจวนหลังจากจัดแจงเรียบร้อย นางก็มาพูดคุยกับซูชิงลั่วก่อนในช่วงเช้าเมื่อใกล้เที่ยง แม่นมเหมยก็กระซิบถามเบาๆ : "ท่านแต่งงานกับใต้เท้าใกล้จะหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่"ซูชิงลั่วเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย : "แต่ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เลย"หากมีลูก จะเหมือนลู่เหิงจือหรือเหมือนนางมากกว่า นางเองก็ตั้งตารออยู่เช่นกันแม่นมเหมยเอ่ย : "นายหญิงยังสาว ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาด้วย ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน"ซูชิงลั่วพยักหน้า แล้วยื่นมือออกไปสีหน้าของแม่นมเหมยค่อยๆ จริงจังขึ้นซูชิงลั่วเริ่มเป็นกังวล อดถามไม่ได้ : "ร่างกายของข้ามีปัญหาใดหรือ หมัวมัวบอกมาตามตรงได้เลย"เนื่องจากเมื่อวานแม่นมเหมยเห็นสีหน้านาง กลัวว่าร่างกายนางจะมีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้รีบเก็บของกลับมาตั้งแต่เช้าวันนี้นางพูดอย่างอ่อนโยน : "ไม่มีปัญหา ร่างกายของนายหญิงเพียงแค่มีธาตุเย็นมากไปหน่อย บำรุงสักนิดก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใดแล้ว"ซูชิงลั่วโล่งใจ : "เช่นนั้นก็ดี"แม่นมเหมยลุกขึ้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้คนไปซื้อ วันนี้นายหญิงจะ
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่านี่คือโรคหัวใจตั้งแต่ที่หวังเหลียงฮั่นถูกริบสมบัติและเนรเทศออกไป องค์รัชทายาทก็ประหนึ่งเสียแขนไปหนึ่งข้าง เหล่าราชวงศ์ล้วนแต่กลัวตนเองเดือดร้อน ยังไม่ทันเกิดเหตุ ก็พากันแตกตื่นไหวตัวหนีไปก่อนหลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว กลางดึกองค์รัชทายาทไม่ได้ไปที่พระชายา เพียงแต่นั่งทำสมาธิตามลำพังในพระอุโบสถแน่นอนว่าหน้าประตูย่อมมีคนเฝ้าอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาหากเฉิงซิ่วจะพาสาวใช้เข้าไปพี่สาวของเฉิงซิ่วคือพระชายารองขององค์รัชทายาท นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้องค์รัชทายาทยิ่งนักเฉิงซิ่วนำสาวใช้ทำความเคารพ ก่อนจะพูดเสียงเบา : "นี่ก็คือผู้ที่ข้าบอกกับท่านพี่ว่าอยากพบท่าน"องค์รัชทายาทเห็นทั้งสองคนเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวสาวใช้นางนั้นหน้าตานับว่าพอไปวัดไปวา เป็นลักษณะที่เขาชอบ คล้ายว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อนองค์รัชทายาทพยักหน้าให้เฉิงซิ่ว : "เจ้าออกไปก่อน"เฉิงซิ่วมองลู่หมิงซือปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบถอยออกไปภายในใจลู่หมิงซือก็ตื่นเต้นไม่น้อย แพ้ชนะล้วนแต่ขึ้นอยู่กับวันพรุ่งหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น พลันได้ยินเสียงองค์รัชทายาท : "เงยหน้า"นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆองค์รัชทายาท
ลู่โย่วตะลึงงัน : "ท่านแม่ !"หญิงชราไม่หันไปมองเขาอีก : "เจ้าออกไปเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก"การอกตัญญูเป็นความผิดมหันต์ ลู่โย่วไม่มีทางยอมรับได้แต่เวลานี้หญิงชรากำลังโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาเองก็ไม่อาจใช้ไม้แข็งไปงัดได้ ทำได้เพียงแค่ค่อยๆ หาหนทางจัดการเรื่องนี้ภายหลังเขาก้มหัวคำนับสามที หลังจากออกจากเรือนของนายหญิงเฒ่าแล้วก็ไปยังจวนตะวันตกทันทีซูชิงลั่วกำลังเพลิดเพลินกับการกินยาบำรุงที่แม่นมเหมยตุ๋นมาให้ จื๋อหยวนก็เข้ามารายงานว่านายท่านรองมานางรีบเก็บของทั้งหมดไปอย่างรวดเร็วก่อนจะสั่งให้คนพาลู่โย่วเข้ามาทันทีที่ลู่โย่วเดินเข้าไป ซูชิงลั่วก็รีบคำนับเขาทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยความกระตือรือร้น : "น้ารอง เหตุใดวันนี้จึงว่างมาที่นี่ได้ รีบยกชามา"สายตาที่มองนางของลู่โย่วเย็นเยียบ : "ไม่ต้องหรอก ข้ามาเพราะมีเรื่องจะพูดกับเจ้า"เขาไม่ได้มาดี ซูชิงลั่วอมยิ้ม : "ขอน้ารองสั่งมาได้เลย"น้ำเสียงของลู่โย่วนิ่งขรึม : "เจ้าจะทำลายครอบครัวข้าจนแตกแยกหรือตายจากครั้งแล้วครั้งเล่าก็ช่าง ข้าไม่หาเรื่องเอาความกับเจ้า"เขาสะบัดปลายแขนเสื้อ "เพียงแค่หวังว่าเจ้าจะเห็นกับที่ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดระหว่า
ภายในห้องเงียบสงัดแบบที่ว่าแม้แต่เข็มแท่งเดียวหล่นก็ยังได้ยินในใจลู่โย่วโกรธจนกระสับกระส่าย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ซูชิงลั่วพูดเป็นความจริงผ่านไปสักพัก เขาถึงจะทอดถอนใจออกมา : "ชิงลั่ว เกิดเป็นคนต้องใจกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นในมือเจ้าก็มีเงินมากมายถึงเพียงนั้น ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าใช้หน่อยจะเป็นไรไป"ซูชิงลั่วโมโหจนแทบจะกลั้นขำไว้ไม่ไหวนางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลู่โย่วจะเป็นคนหน้าไม่อายเช่นนี้เขาพูดแทนนางหลิ่วเช่นนี้ เชื่อว่าเงินพวกนั้นต้องไม่ใช่เพียงแค่นางหลิ่วใช้แต่ผู้เดียวแน่ เขาก็ใช้ด้วยเหมือนกันที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เดิมไม่มีความผิด แต่กลับผิดเพราะมีของล้ำค่าในครอบครองซูชิงลั่วมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย : "ในมือข้ามีเงิน จึงต้องยกให้พวกท่านใช้เช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นน้ารอง...""ห้องหนังสือของท่านสะสมจานฝนหมึกจากร้านดังไว้มากมายเพียงนั้น มอบให้ข้าสักกี่ชิ้นคงจะไม่ใช่ปัญหาหรอกใช่หรือไม่"ลู่โย่วพูดด้วยความมั่นใจ : "นั่นจะไปเหมือนกันได้อย่างไรเล่า แท่นฝนหมึกคือของรักของข้า เป็นสิ่งที่ข้าเก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก..."คำพูดของเขาถูกซูชิงลั่วแทรกเสียงดัง : "เงิน
"ผู้ใดรู้สึกแย่" ซูชิงลั่วดุดันขึงขัง "ข้าใช้เป้าแทนตัวนางหลิ่วและลู่หมิงซือแล้วกำลังจะจัดการพวกนางให้ตายอยู่!"“……”กระทั่งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากข้อต่อนิ้ว ซูชิงลั่วถึงจะหยุดพัก ตอนที่วางคันธนูลงถึงจะพบว่าบนสายธนูเปื้อนไปด้วยคราบเลือดกลายเป็นสีแดงไปแล้ว"โธ่" จื๋อหยวนส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะรีบเข้าไปประครองนางเข้าไปในห้องเพื่อทายาให้ พลางบ่น "หากใต้เท้ากลับมาคงจะโทษว่าข้าดูแลนายหญิงไม่ดี"ซูชิงลั่วเห็นสีหน้าที่ตื่นตกใจของนางก็อดเย้านางเล่นไม่ได้ "หากเขาลงโทษเจ้า ข้าจะลงโทษซ่งเหวินเอง"จื๋อหยวน : "?"นางไปทำกรรมใดไว้กับซ่งเหวินกันนางเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา : "ไม่ ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับซ่งเหวินด้วย""ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับซ่งเหวิน" ซูชิงลั่วมองไปทางนาง "เช่นนั้นข้าลงโทษซ่งเหวิน เกี่ยวอันใดกับเจ้าหรือ"“……”ประมาทเกินไปเสียแล้วจื๋อหยวนทายาสมานแผลให้ซูชิงลั่ว ระหว่างนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : "นายหญิงนี่จริงๆ เลย เหตุใดต้องเอาข้าไปล้อเล่นด้วย"ซูชิงลั่วหลุดขำออกมา : "ไม่ได้ล้อเจ้าเล่น เพียงแต่กังวลเรื่องการเป็นฝั่งเป็นฝาแทนเจ้า"จื๋อหยวนตอบ : "ท่านกังวลว่าอีกประเ
หัวใจของซูชิงลั่วเต้นเร็วขึ้น ลมหายใจช้าลง นางผลักเขาออกเบาๆ พลางเอ่ย : "ท่านอย่าทำอะไรแผลงๆ"ลู่เหิงจือมองนาง : "ข้าคิดว่าเจ้าจะชอบเสียอีก"ซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำรีบผลักเขาออก : "ข้าไม่ได้ชอบเสียหน่อย ท่านรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า"ลู่เหิงจือถือโอกาสคว้ามือนางไว้ อยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ทว่านางดิ้นขัดขืนเบาๆ ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กบนเตียงหล่นลงมาลู่เหิงจือโน้มตัวลงไปเก็บซูชิงลั่วพลันเอื้อมมือไปขวาง : "อย่าดู !"ทว่าไม่ทันเสียแล้วลู่เหิงจือหยิบหนังสือขึ้นมา แล้วกวาดสายตามองปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ในนั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก...[หญิงสาวพูดด้วยความเขินอาย : 'ข้าไม่ระวัง ทำเข็มทิ่มตัวเอง ท่านดูสิ'บัณฑิตผู้นั้นสงสารจับใจ พลันเอ่ยถาม : 'เจ็บหรือไม่'หญิงสาวตอบด้วยความออดอ้อน : 'ท่านเป่าให้ข้าก็ไม่เจ็บแล้ว'ทันใดนั้น บัณฑิตก็ใส่ปลายนิ้วของหญิงสาวเข้าไปในปาก]ซูชิงลั่ว "......"กระอักกระอ่วนเสียจริงเวลานี้ช่างน่าอายยิ่งนักหลังจากนั้นซูชิงลั่วก็เห็นสายตาของลู่เหิงจือเลื่อนจากหนังสือเล่มนั้นมาหยุดบนใบหน้าของนางในระหว่างที่นางกำลังใช้สมองทั้งหม
ลู่เหิงจือไปราชสำนักแต่เช้าแล้วซูชิงลั่วไม่กล้าประวิงเวลา รีบตื่นนอน หลังกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปหาซ่งเหวินที่นอกประตูวังทันทีหากเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าฝันแรกไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว*หลังจากไปเข้าเฝ้าที่ราชสำนักแล้วก็กลับมายังสภา ลู่เหิงจือกำลังเงยหน้าเอนหลังพิงเก้าอี้ ฟังขุนนางสองคนตรงหน้าทะเลาะกันในมือถือลำดับรายชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ ในหัวกลับผุดเรื่องราวในนิยายที่อ่านเมื่อวานอย่างไร้สาเหตุ...ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าสิ่งใดเรียกว่าหน้าไม่อายที่แท้จริง...เกิดอาการตาลายขึ้นมาชั่วขณะกระทั่งได้ยินคนตรงหน้าถาม : "ไม่รู้ว่าท่านอัครมหาเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร"ลู่เหิงจือเป็นผู้ที่ปิดซ่อนความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร หากยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่มีทางให้ผู้ใดคาดเดาได้ดังนั้นขุนนางอีกสี่คนในสภาขุนนางจึงไม่เข้าใจความคิดของเขาเช่นกันปลายนิ้วของลู่เหิงจือเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ ไม่ได้ตอบสิ่งใดขณะนั้นเองมีขันทีผู้หนึ่งเข้ามารายงาน : "ท่านอัครมหาเสนาบดี ฮูหยินมาแล้ว กำลังรออยู่หน้าประตูวัง ท่านจะไปพบหรือไม่"ซูชิงลั่วไม่เคยมาหาเขาที่นอกวังมาก่อน มากะทันหันเช่นนี้จะต้องมีเรื่องเป็นแน่ลู่เหิง
พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จมายังจวนหย่งซุ่นป๋อย่างกะทันหัน คนทั้งจวนรีบออกมาต้อนรับแม้แต่นายหญิงเฒ่าก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาต้อนรับที่รู้สึกมีหน้ามีตาที่สุดเห็นจะเป็นนางหลิ่ว พระชายาองค์รัชทายาทระบุชัดเจนว่าต้องการให้นางออกมารับ ทั้งยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ทั้งรู้หนังสือแล้วยังรู้ความ ตั้งใจมาพบเป็นการเฉพาะ ใครจะรู้ได้ว่าลู่หมิงซือไม่อยู่ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พอจะรู้ว่าประโยคนี้หมายความว่าเช่นไรหลังจากที่พระชายาองค์รัชทายาทสด็จกลับไป นายหญิงเฒ่าจึงจำต้องสั่งให้รับลู่หมิงซือกลับมาที่จวนนางออกจากจวนไปยังไม่ถึงครึ่งเดือนบ่ายวันนั้น ลู่หมิงซือกลับมาในจวนอีกครั้งซูชิงลั่วเป็นห่วงสุขภาพหญิงชรา ตอนเช้ามาเยี่ยมไม่ทัน ประมาณการเวลาตื่นจากนอนกลางวันของหญิงชรา แล้วมาที่เรือนของนาง จึงได้เจอกับนางหลิ่วที่หน้าตายิ้มแย้มและลู่หมิงซือที่ดวงตาสดใสเป็นประกายนางหลิ่วมองซูชิงลั่วด้วยความท้าทาย ความรู้สึกได้ใจบนใบหน้าปิดไว้ไม่อยู่สายตาที่ลู่หมิงซือมองนางกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันลึกซึ้ง แม้แต่ซ่อนก็ซ่อนไว้ได้ไม่มิดซูชิงลั่วไม่ได้สนใจพวกนาง มุ่งหน้าตร