ภายในห้องเงียบสงัดแบบที่ว่าแม้แต่เข็มแท่งเดียวหล่นก็ยังได้ยินในใจลู่โย่วโกรธจนกระสับกระส่าย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เพราะรู้ว่าสิ่งที่ซูชิงลั่วพูดเป็นความจริงผ่านไปสักพัก เขาถึงจะทอดถอนใจออกมา : "ชิงลั่ว เกิดเป็นคนต้องใจกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นในมือเจ้าก็มีเงินมากมายถึงเพียงนั้น ให้น้าสะใภ้รองของเจ้าใช้หน่อยจะเป็นไรไป"ซูชิงลั่วโมโหจนแทบจะกลั้นขำไว้ไม่ไหวนางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลู่โย่วจะเป็นคนหน้าไม่อายเช่นนี้เขาพูดแทนนางหลิ่วเช่นนี้ เชื่อว่าเงินพวกนั้นต้องไม่ใช่เพียงแค่นางหลิ่วใช้แต่ผู้เดียวแน่ เขาก็ใช้ด้วยเหมือนกันที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เดิมไม่มีความผิด แต่กลับผิดเพราะมีของล้ำค่าในครอบครองซูชิงลั่วมองเขาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย : "ในมือข้ามีเงิน จึงต้องยกให้พวกท่านใช้เช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นน้ารอง...""ห้องหนังสือของท่านสะสมจานฝนหมึกจากร้านดังไว้มากมายเพียงนั้น มอบให้ข้าสักกี่ชิ้นคงจะไม่ใช่ปัญหาหรอกใช่หรือไม่"ลู่โย่วพูดด้วยความมั่นใจ : "นั่นจะไปเหมือนกันได้อย่างไรเล่า แท่นฝนหมึกคือของรักของข้า เป็นสิ่งที่ข้าเก็บสะสมมาอย่างยากลำบาก..."คำพูดของเขาถูกซูชิงลั่วแทรกเสียงดัง : "เงิน
"ผู้ใดรู้สึกแย่" ซูชิงลั่วดุดันขึงขัง "ข้าใช้เป้าแทนตัวนางหลิ่วและลู่หมิงซือแล้วกำลังจะจัดการพวกนางให้ตายอยู่!"“……”กระทั่งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากข้อต่อนิ้ว ซูชิงลั่วถึงจะหยุดพัก ตอนที่วางคันธนูลงถึงจะพบว่าบนสายธนูเปื้อนไปด้วยคราบเลือดกลายเป็นสีแดงไปแล้ว"โธ่" จื๋อหยวนส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะรีบเข้าไปประครองนางเข้าไปในห้องเพื่อทายาให้ พลางบ่น "หากใต้เท้ากลับมาคงจะโทษว่าข้าดูแลนายหญิงไม่ดี"ซูชิงลั่วเห็นสีหน้าที่ตื่นตกใจของนางก็อดเย้านางเล่นไม่ได้ "หากเขาลงโทษเจ้า ข้าจะลงโทษซ่งเหวินเอง"จื๋อหยวน : "?"นางไปทำกรรมใดไว้กับซ่งเหวินกันนางเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา : "ไม่ ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับซ่งเหวินด้วย""ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับซ่งเหวิน" ซูชิงลั่วมองไปทางนาง "เช่นนั้นข้าลงโทษซ่งเหวิน เกี่ยวอันใดกับเจ้าหรือ"“……”ประมาทเกินไปเสียแล้วจื๋อหยวนทายาสมานแผลให้ซูชิงลั่ว ระหว่างนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : "นายหญิงนี่จริงๆ เลย เหตุใดต้องเอาข้าไปล้อเล่นด้วย"ซูชิงลั่วหลุดขำออกมา : "ไม่ได้ล้อเจ้าเล่น เพียงแต่กังวลเรื่องการเป็นฝั่งเป็นฝาแทนเจ้า"จื๋อหยวนตอบ : "ท่านกังวลว่าอีกประเ
หัวใจของซูชิงลั่วเต้นเร็วขึ้น ลมหายใจช้าลง นางผลักเขาออกเบาๆ พลางเอ่ย : "ท่านอย่าทำอะไรแผลงๆ"ลู่เหิงจือมองนาง : "ข้าคิดว่าเจ้าจะชอบเสียอีก"ซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำรีบผลักเขาออก : "ข้าไม่ได้ชอบเสียหน่อย ท่านรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า"ลู่เหิงจือถือโอกาสคว้ามือนางไว้ อยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ทว่านางดิ้นขัดขืนเบาๆ ทำให้หนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กบนเตียงหล่นลงมาลู่เหิงจือโน้มตัวลงไปเก็บซูชิงลั่วพลันเอื้อมมือไปขวาง : "อย่าดู !"ทว่าไม่ทันเสียแล้วลู่เหิงจือหยิบหนังสือขึ้นมา แล้วกวาดสายตามองปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ในนั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก...[หญิงสาวพูดด้วยความเขินอาย : 'ข้าไม่ระวัง ทำเข็มทิ่มตัวเอง ท่านดูสิ'บัณฑิตผู้นั้นสงสารจับใจ พลันเอ่ยถาม : 'เจ็บหรือไม่'หญิงสาวตอบด้วยความออดอ้อน : 'ท่านเป่าให้ข้าก็ไม่เจ็บแล้ว'ทันใดนั้น บัณฑิตก็ใส่ปลายนิ้วของหญิงสาวเข้าไปในปาก]ซูชิงลั่ว "......"กระอักกระอ่วนเสียจริงเวลานี้ช่างน่าอายยิ่งนักหลังจากนั้นซูชิงลั่วก็เห็นสายตาของลู่เหิงจือเลื่อนจากหนังสือเล่มนั้นมาหยุดบนใบหน้าของนางในระหว่างที่นางกำลังใช้สมองทั้งหม
ลู่เหิงจือไปราชสำนักแต่เช้าแล้วซูชิงลั่วไม่กล้าประวิงเวลา รีบตื่นนอน หลังกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปหาซ่งเหวินที่นอกประตูวังทันทีหากเทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าฝันแรกไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว*หลังจากไปเข้าเฝ้าที่ราชสำนักแล้วก็กลับมายังสภา ลู่เหิงจือกำลังเงยหน้าเอนหลังพิงเก้าอี้ ฟังขุนนางสองคนตรงหน้าทะเลาะกันในมือถือลำดับรายชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ ในหัวกลับผุดเรื่องราวในนิยายที่อ่านเมื่อวานอย่างไร้สาเหตุ...ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าสิ่งใดเรียกว่าหน้าไม่อายที่แท้จริง...เกิดอาการตาลายขึ้นมาชั่วขณะกระทั่งได้ยินคนตรงหน้าถาม : "ไม่รู้ว่าท่านอัครมหาเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร"ลู่เหิงจือเป็นผู้ที่ปิดซ่อนความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร หากยังไม่ได้ข้อสรุป ไม่มีทางให้ผู้ใดคาดเดาได้ดังนั้นขุนนางอีกสี่คนในสภาขุนนางจึงไม่เข้าใจความคิดของเขาเช่นกันปลายนิ้วของลู่เหิงจือเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ ไม่ได้ตอบสิ่งใดขณะนั้นเองมีขันทีผู้หนึ่งเข้ามารายงาน : "ท่านอัครมหาเสนาบดี ฮูหยินมาแล้ว กำลังรออยู่หน้าประตูวัง ท่านจะไปพบหรือไม่"ซูชิงลั่วไม่เคยมาหาเขาที่นอกวังมาก่อน มากะทันหันเช่นนี้จะต้องมีเรื่องเป็นแน่ลู่เหิง
พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จมายังจวนหย่งซุ่นป๋อย่างกะทันหัน คนทั้งจวนรีบออกมาต้อนรับแม้แต่นายหญิงเฒ่าก็ยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาต้อนรับที่รู้สึกมีหน้ามีตาที่สุดเห็นจะเป็นนางหลิ่ว พระชายาองค์รัชทายาทระบุชัดเจนว่าต้องการให้นางออกมารับ ทั้งยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ทั้งรู้หนังสือแล้วยังรู้ความ ตั้งใจมาพบเป็นการเฉพาะ ใครจะรู้ได้ว่าลู่หมิงซือไม่อยู่ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พอจะรู้ว่าประโยคนี้หมายความว่าเช่นไรหลังจากที่พระชายาองค์รัชทายาทสด็จกลับไป นายหญิงเฒ่าจึงจำต้องสั่งให้รับลู่หมิงซือกลับมาที่จวนนางออกจากจวนไปยังไม่ถึงครึ่งเดือนบ่ายวันนั้น ลู่หมิงซือกลับมาในจวนอีกครั้งซูชิงลั่วเป็นห่วงสุขภาพหญิงชรา ตอนเช้ามาเยี่ยมไม่ทัน ประมาณการเวลาตื่นจากนอนกลางวันของหญิงชรา แล้วมาที่เรือนของนาง จึงได้เจอกับนางหลิ่วที่หน้าตายิ้มแย้มและลู่หมิงซือที่ดวงตาสดใสเป็นประกายนางหลิ่วมองซูชิงลั่วด้วยความท้าทาย ความรู้สึกได้ใจบนใบหน้าปิดไว้ไม่อยู่สายตาที่ลู่หมิงซือมองนางกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันลึกซึ้ง แม้แต่ซ่อนก็ซ่อนไว้ได้ไม่มิดซูชิงลั่วไม่ได้สนใจพวกนาง มุ่งหน้าตร
นางหลิ่วและลูกกลับมาครั้งนี้สงบเสงี่ยมลงไปไม่น้อยอย่างแรกเพราะลู่หมิงซือกำลังจะแต่งงาน อย่างที่สองเพราะลู่เหยียนก็กำลังสอบคัดเลือกขุนนาง ทำให้ซูชิงลั่วเงียบหูลงไปเยอะนางจึงทุ่มเทฝึกฝนยิงธนูทุกวัน แม้แต่ในวันที่หิมะตกก็ไม่เคยหยุดพักเพราะอีกสามวันก็จะถึงวันล่าสัตว์ฤดูหนาวแล้วพูดแล้วก็แปลก หากจะบอกว่าซูชิงลั่วไม่มีพรสวรรค์ แต่ศรสิบลูก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้ากลางเป้าห้าลูกทุกครั้งแต่หากจะบอกว่านางมีพรสวรรค์ ที่เหลืออีกห้าดอก แม้แต่เป้าก็ไม่เฉียดเลยสักนิด หลุดออกนอกเป้าไปทั้งหมดมีหนึ่งดอกที่เกือบจะพุ่งเข้าหัวสาวใช้แล้วเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่โฉวกว่างตอบสนองไว หยุดลูกศรดอกนั้นไว้ได้สาวใช้เพิ่งจะสิบสี่สิบห้า เกือบจะเสียขวัญ ซูชิงลั่วทั้งขอโทษทั้งให้เงินปลอบขวัญ พูดปลอบอย่างใส่ใจอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็สั่งให้คนปิดประตูสวนเพื่อฝึกธนู แล้วไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกตามใจหลังจากผ่านเรื่องนี้ไป โฉวกว่างมีเพียงประโยคเดียวให้กับทักษะในการยิงธนูของซูชิงลั่ว...แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยากจะคาดเดาหิมะตกสะสมสูงหนึ่งนิ้วจื๋อหยวนกลัวนางจะหนาวจึงรีบนำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมา ตั้งใจจะคลุมให้นาง แต่กลับโดนซูชิงลั่ว
หลังจากนั้น ลู่เหิงจือก็ก้มลงไปประโลมจูบด้วยความหนักแน่นซูชิงลั่วผลักเขา : "ระวังข้าจะเอาไข้ไปติดท่าน...""ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ไม่เหมือนเจ้า" เขาเพียงแค่จูบนางจากนั้นก็ปล่อยนางออก แล้วนวดคลึงศีรษะให้นางซูชิงลั่วจ้องมองเขาลู่เหิงจือหลุบตาลง : "มีอันใด"ในที่สุดซูชิงลั่วก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง : "ท่าน...ท่านแอบอ่านนิยายของข้าหรือ ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่กลับแอบอ่านนิยายของข้าเสียได้ !"แม้เสียงจะแหบ แต่ทรงพลังยิ่งนักลู่เหิงจือเผลอนวดขมับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ก็ไม่ได้จงใจนึกถึงนิยายเล่มนั้นเลย ทำท่าทางออกมาเองตามธรรมชาติ เห็นได้เลยว่าเขาถูกนิยายเล่มนั้นเล่นงานเสียแล้วหากอยู่ต่อหน้าคนอื่นอาจจะรู้สึกเก้อเขินบ้าง แต่อยู่ต่อหน้าภรรยาของตัวเอง...ไม่มีสิ่งใดไม่น่ายอมรับเขาอมยิ้ม บีบแก้มซูชิงลั่วเบาๆ : "ข้าไม่เพียงแต่แอบอ่านนิยาย ยังตั้งใจจะเขียนให้เจ้าสักเล่มด้วย เจ้าอยากอ่านไหม"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "จริงหรือเจ้าคะ""แน่นอน"ซูชิงลั่วยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม : "ท่านจะมีเวลาหรือ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ ก่อนจะพูดนิ่งๆ "รอข้าเกษียณกลับมาอยู่บ้านแล้ว ย่อมมีเวลาเป็นแน่"“……”
รองอัครมหาเสนาบดีเอ่ย : "ได้ เช่นนั้นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมกลาโหม..."ลู่เหิงจือมองดูฟ้าปราดหนึ่ง : "สั่งให้เสนาบดีกรมกลาโหมยื่นฎีกามาบอกความต้องการของเขา ยังมีเรื่องสำคัญใดอีกหรือไม่"น้ำเสียงของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากวันทั่วไป แต่มีเพียงแค่เขาเองที่รู้ว่าความอดทนของเขาหมดสิ้นไม่เหลืออีกแล้วโชคดที่มีขุนนางอีกคนหนึ่งมาดึงตัวรองอัครมหาเสนาบดีไปเขาส่งสายตาบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า "รู้ความดีมาก" ให้กับคนผู้นั้น แล้วรีบออกไปจากวังทันทีรองอัครมหาเสนาบดีเอ่ย : "เจ้าทำอะไร ข้ายังมีเรื่องไม่ได้ถาม..."คนผู้นั้นตอบ : "ท่านไม่ได้ยินหรือว่าฮูหยินของใต้เท้าป่วย ใต้เท้ากำลังรีบกลับไปดูฮูหยินเช่นไรเล่า"รองอัครมหาเสนาบดีตำหนิ : "เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อ ใต้เท้าใช่ผู้ที่รู้สึกกับสตรีลึกซึ้งเสียที่ไหน"คนผู้นั้น : "..."ผู้อาวุโสรอบรู้อย่างท่าน ไม่เข้าใจหรอกใต้เท้ายังหนุ่มยังแน่น*ข่าวที่ฮ่องเต้ทรงเลื่อนการล่าสัตว์ฤดูหนาวออกไปเป็นครึ่งเดือนรู้ไปถึงองค์หญิงอวี้หยาง มุมปากนางพลันยกยิ้มเย้ยหยันโดยไม่รู้ตัว"เกรงว่าคงจะไม่กล้ามาน่ะสิ" องค์หญิงอวี้หยางถือหน้าไม้สีทองไว้ในมือ พลันกดออกไปอย่างรวดเร็ว ศรปักลงไปกลางเป้