"จะโกรธได้อย่างไร" ซูชิงลั่วตอบอย่างนอบน้อมว่า “ท่านยายคงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น”“หลังจากที่หลิ่วเจิ้งเฉิงบิดาของนางหลิ่วกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ พระชายาองค์รัชทายาทก็ส่งหมัวมัวประจำตัวมาพูดจาเกลี่ยกล่อมข้าเอง ทั้งน้ารองของเจ้า เหยียนเออร์ และหมิงซือก็มาขอร้องทุกวัน ยายจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้”ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองพระชายาองค์รัชทายาทเข้ามาแทรกแซงถึงเป็นสาเหตุสำคัญที่นางหลิ่วกลับมาหญิงชรามองด้วยแววตาเย็นชาเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางหลิ่วจะกลับมาพร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ และไปมาหาสู่กับพระชายาองค์รัชทายาทอยู่บ่อยครั้ง ชิงลั่ว ในที่สุดเรือนข้างๆ ของพวกเจ้าก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว พวกเจ้าควรย้ายไปอยู่ที่นั่นเสียจะดีกว่า จะได้สบายใจขึ้น”หญิงชราเป็นห่วงว่านางจะถูกลอบทำร้ายอีกครั้งเพราะลู่เหิงจือจับตัวหวังเหลียงฮั่นไป ทำให้แตกหักกับฝ่ายองค์รัชทายาทอย่างสิ้นเชิงซูชิงลั่วพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณท่านยายมากที่เตือนสติ”ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสักพัก ซูชิงลั่วจึงขอตัวกลับก่อนหลังจากกลับห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า และกินอาหารกลางวันแล้ว ซูชิงลั่วก็ไปคารวะนางเฉียน เนื่องด้วยนางเฉียนเป
ลู่เหยียนกลับนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ไม่รู้กำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ผ่านไปชั่วครู่ นางหลิ่วก็หัวเราะเยาะออกมาอีกครั้ง “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่านางจะส่งอะไรมาให้ข้า ในเมื่อเป็นน้าสะใภ้เหมือนกัน และนางก็เป็นคนรอบคอบ คงไม่ลำเอียงหรอกนะ”การออกเดินทางครั้งนี้ของนาง เรียกได้ว่าสูญเสียทั้งพลังกายและเงินที่เก็บสะสมไว้ไปจำนวนมากถึงแม้จะได้อำนาจการดูแลจวนกลับคืนมา แต่เงินในคลังก็มีบัญชีชัดเจน ไม่สามารถนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้แม้ซูชิงลั่วจะส่งของกำนัลมาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง แต่นางหลิ่วก็แอบหวังลึกๆ อยากรู้ว่านางจะส่งเงินมาให้เท่าใดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สาวใช้ก็กลับมาแจ้งว่าซูชิงลั่วออกจากเรือนของนางเฉียนแล้วนางหลิ่วก็เริ่มวางมาด เตรียมที่จะติเตียนนางอย่างรุนแรงในช่วงที่ลู่เหิงจือไม่อยู่เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน นางก็ยังไม่มานางหลิ่วจึงพูดว่า “อาจจะมาช่วงบ่ายก็ได้”หลังจากกินอาหารแล้ว ก็รออีกทั้งบ่าย จนใกล้มืดก็ยังไม่เห็นเงาของซูชิงลั่วนางหลิ่วจึงพูดว่า “ไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย ใครจะมาเยี่ยมเยียนกันในยามค่ำคืนเล่า”ลู่เหยียนจับพัดในมือ ครุ่นคิดอยู่นาน แล้วถามสาวใช้ว่า “น
ลู่เหิงจือกลับมาจากวัง ฟ้าก็มืดแล้วทันทีที่เขาเดินเข้าไป ซูชิงลั่วก็เข้ามาต้อนรับ แล้วช่วยเขาถอดผ้าคลุมเพราะความหนาวด้านนอก ทำให้ผ้าคลุมมีไอเย็นแผ่ซ่านออกมา แม้แต่เชือกบริเวณคอก็แข็งเพราะความหนาวขณะที่ซูชิงลั่วกำลังแก้เชือกออกให้เขา ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อนานมาแล้วในป่าไผ่ เขาเคยผูกผ้าคลุมให้นางมาก่อนบรรยากาศที่คลุมเครือชวนหวั่นไหวเช่นนี้ เหตุใดนั้นยามนั้นนางถึงคิดว่าเขาไม่ชอบนางได้ความคิดของนางเตลิดไปไกล ปลายนิ้วหยุดชะงัก ก่อนจะถูกลู่เหิงจือดึงเข้าไปในอ้อมกอดเขาตากลมหนาวด้านนอกมาตลอดทาง ทันทีที่เข้ามาในห้องกลับอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิร่างของนางทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ทั้งยังมีกลิ่นหอมของกุหลาบเขาถูไถหน้าผากของนางอย่างอดไม่ได้ : "กำลังคิดสิ่งใด"ซูชิงลั่วดึงเชือกที่คอของเขา ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ตาใสเป็นประกาย : "ท่านลองทาย"เขาหลุบตาลง ความรู้สึกในแววตาพลันท่วมท้นอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว แน่นอนว่าซูชิงลั่วย่อมดูออกในทันทีนางผลักเขาออก ก่อนจะผละถอยหลังไปสองก้าว : "ท่านยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่ ข้าจะสั่งให้คนมาส่ง"วันนี้ซ่งเหวินตั้งใจมาบอกนางโดย
ก่อนหน้านี้ลู่เหิงจือไม่เคยบอกเรื่องในราชสำนักกับนาง ด้วยคิดว่าขอเพียงแค่นางอยู่ข้างกายเขาก็พอแล้วต่อให้วันข้างหน้ามีภัยอันตราย เขาก็สามารถจัดการทุกอย่างแทนนางได้แต่หลังจากการเดินทางในหังโจว เขาก็เปลี่ยนความคิดแม้ภรรยาของเขาจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่กลับไม่ใช่หญิงสาวอย่างในตระกูลธรรมดาทั่วไป นางสามารถขี่ม้าจับดาบมาช่วยเขาได้หากจะรู้เรื่องในราชสำนักบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรครั้นแล้วเขาจึงเล่าเรื่องวันนี้ให้นางฟังพอสังเขปฮ่องเต้อาจจะมีความสงสัยเคลือบแคลงพระทัยอยู่บ้าง แต่จะยังไม่ทำอะไรเขาในระยะเวลาอันใกล้นี้ซูชิงลั่วสีหน้ามึนงง : "ฝ่าบาททรงอยากพบข้าหรือเจ้าคะ ทรงประสงค์สิ่งใด"ลู่เหิงจือจับช่อผมนางขึ้นมาเล่น พลางเอ่ย : "เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ทรงแค่สงสัยว่าภรรยาที่ได้ใจข้าไปครอบครองลักษณะท่าทางเป็นเช่นไร"ซูชิงลั่วพูดด้วยความกังวล : "แม้ข้าจะขี่ม้าได้ แต่ยิงธนูไม่เป็น การล่าสัตว์ครั้งนี้..."ลู่เหิงจือไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ : "มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องยิงธนูเอง""แต่หากข้าทำไม่ได้ กลัวว่าจะทำให้ท่านขายหน้า""แค่รูปโฉมของเจ้าก็ไม่มีทางทำให้ข้าขายหน้าได้แล้ว" ลู่เหิงจือบีบแก้ม
ลู่เหิงจือเห็นสีหน้าเย้าหยอกของซูชิงลั่ว ก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ที่หังโจวในวันนั้น เขาเดาออกแต่แรกอยู่แล้วว่าเกราะชิ้นนี้คงเพราะนางเป็นห่วงเขา จึงตั้งใจมอบให้ถึงมือเขาโดยเฉพาะเวลานี้กลับจงใจถามเขา ราวกับกำลังท้าทายน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แสร้งตอบ : "อืม ที่หังโจวมีแม่นางผู้หนึ่งฝากให้คนนำมามอบให้ข้า บอกว่าชื่นชมข้ามานานแล้ว ชาตินี้ชาติหน้าจะแต่งกับข้าเพียงผู้เดียว ร้องขอให้ข้ารับไว้"“……?”นางเคยพูดเช่นนั้นเมื่อใดกันซูชิงลั่วเก็บเกราะหัวใจกลับไปในกล่องด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย : "ไม่สนุก"เดาออกอยู่แล้วขณะนั้นเองลู่เหิงจือแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพอดี กำลังจัดหมวกขุนนางบนศีรษะให้ตรง หันมามองนางปราดหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับลมอ่อนๆ ที่อบอุ่นที่สุดในวันฤดูใบไม้ผลิ"ข้าไปราชสำนักก่อน เจ้าอยู่บ้านรอข้ากลับมา"ซูชิงลั่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเขาอดที่จะกอดนางอีกครั้งไม่ได้ แม้จะเพียงแค่นี้แต่ก็ทำให้เสียเวลาไปสิบห้านาที คนแบกเกี้ยวจึงต้องวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางที่ส่งเขาไปยังหน้าประตูวัง*กลับมาครั้งนี้นางหลิ่วใส่ใจลู่โย่วใกล้ชิดกว่าเดิม ไม่เพียงแค่ยามดึกที่อ่อนโยน ตื่นเช้ามาก็ปรนนิบั
นางหลิ่วตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ พลันพูดด้วยความร้อนใจ "จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ สถานการณ์ในบ้านท่านแม่ก็รู้ แค่ค่ายาของท่านแม่ในแต่ละวันก็ต้องใช้เงินถึงห้าหกตำลึงแล้ว"นางหันไปมองทางนางเฉียนและนางเหอ คล้ายจะพยายามขอการสนับสนุน "อาการป่วยของท่านสองจำเป็นต้องใช้เงินสองสามตำลึงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมิงจิ้งหมิงอี๋ เด็กพวกนั้นต้องออกเรือนจัดงานแต่ง มีแต่เรื่องต้องใช้เงิน ลำพังแค่รายรับของจวนจะพอได้เช่นไร"หญิงชรามองนางด้วยความไม่พอใจ : นางหลิ่วไม่รู้จักนึกถึงส่วนรวมเอาเสียเลย เรื่องเช่นนี้พูดต่อหน้าสาวใช้ที่อยู่เต็มห้องได้เช่นไรนางหันไปมองเยว่เออร์ปราดหนึ่ง เยว่เออร์รีบสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปทันทีนางหลิ่วเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเลินเล่อไม่รอบคอบ พลันพูดด้วยความละอายใจ : "ข้าผิดไปแล้ว ข้าร้อนใจเกินไปหน่อย"นางหันไปมองทางซูชิงลั่ว : "ชิงลั่ว ก่อนหน้าเจ้าเป็นเด็กกตัญญู รู้ความมาโดยตลอด เหตุใดกลับมาจากเจียงหนานแล้วกลับกลายเป็นไม่รู้เดียงสาเช่นนี้แล้ว""เจ้ากลับมา ไม่ได้ไปเยี่ยมอารองของเจ้ายังพอว่า แม้จะบอกว่าที่อารองเจ้าเข้าไปรับมีด เป็นความเต็มใจของเขาเอง โทษเจ้าไม
"ส่วนเรื่องดูแลบริหารบ้าน..." นางพูดต่อเสียงกร้าว "บ้านหลังนี้หากเจ้าดูแลได้ก็ดู ดูไม่ได้ก็เปลี่ยนคน !"นางหลิ่วหน้าถอดสี พลันถลึงตามองซูชิงลั่ว ก่อนจะก้มหน้าลงพูด : "ข้าผิดไปแล้ว ขอท่านแม่โปรดอภัยด้วย"ซูชิงลั่ววางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น มองไปยังนางหลิ่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : "จริงสิ ยังมีรายการบัญชีที่ก่อนหน้าท่านน้ารองช่วยข้าดูร้าน ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่ตรงกันเลย"นี่นางยังจะสืบสาวไปถึงเรื่องที่ผ่านมาอีกหรือนางหลิ่วดึงดันแถไถ : "ข้าไม่มีทางแตะเงินในร้านของเจ้าแม้แต่ตำลึงเดียว"ซูชิงลั่วพูดเสียงหวานแทรกนาง : "ท่านน้ารองใจเย็นก่อน ข้าจะสงสัยท่านได้เช่นไร กลัวก็แต่ว่าคนภายใต้การดูแลของท่านน้ารองจะมีบางคนแอบยัดยอกเงิน ท่านน้ารองวางใจได้ ข้าสั่งให้คนไปแจ้งทางการมาตรวจสอบแล้ว หากได้เงินกลับคืนมาก็แล้วกันไป แต่หากตามกลับมาไม่ได้ ก็ให้ลูกจ้างที่ไม่รู้จักคิดพวกนั้นติดคุกเสีย"นางหลิ่วพูดไม่ออกประหนึ่งว่าคอหอยถูกอุดเอาไว้ซูชิงลั่วท่าทางดุดันเด็ดขาด ทำให้นางไม่อาจรับมือได้เลยแม้แต่น้อยลู่หมิงซือก็หาจังหวะแทรกไม่ได้เลยนางจ้องมองซูชิงลั่วที่อยู่ตรงหน้านิ่งๆ แต่ภายในใจสลับซับซ้อนภายในช่วงเ
ซูชิงลั่วย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนที่พักของตนตั้งแต่คืนนั้น เนื่องจากตั้งอยู่ทิศตะวันตก ทุกคนจึงเรียกว่าจวนตะวันตกตรงกลางระหว่างสองจวนมีซุ้มประตูกั้น เปิดไว้ในช่วงกลางวัน เพื่อให้ไปมาหากันได้สะดวกในเมื่อออกไปสร้างครอบครัวของตนแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนใต้การดูแลของตนลู่เหิงจือรับปากให้รับแม่นมเจียงหมัวมัวจากตรอกปาเถียวมาช่วยนางเรื่องหุงหาอาหารได้นางรู้สึกว่าสมเหตุสมผล แล้วก็อยากจะทำความต้องการของลู่เหิงจือที่มีความตั้งใจดีต่อแม่นม จึงสั่งให้คนไปรับเจียงหมัวมัวมานอกจากนี้ นางก็ซื้อบ่าวรับใช้จากข้างนอกมายี่สิบกว่าคน ทั้งในครัว ห้องเย็บปัก ฝ่ายเก็บกวาด ตัดแต่งสวน พืชผักสวนครัว ล้วนแต่จัดสรรอย่างดี ใช้เวลาทั้งสิ้นไปกว่าครึ่งเดือนเนื่องจากฐานะของเจียงหมัวมัวไม่เหมือนกับผู้อื่น ซูชิงลั่วจึงเตรียมเรือนแยกให้นางอยู่โดยเฉพาะ อีกทั้งยังยกหน้าที่ซื้อของในครัวทุกอย่างให้นางจัดการนางพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถูกบ่าวไพร่เบื้องล่างนับถือเหมือนนายอยู่กลายๆ แม้แต่จื๋อหยวนก็ต้องยอมให้นางหลังจากที่ทุกอย่างในจวนเข้าที่เข้าทางแล้ว ซูชิงลั่วก็เริ่มจัดการกับปัญหาของบัญชีที่นางหลิ่วทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เดิ