ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ซูชิงลั่วกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงว่า “เขาน่าสงสาร” ในน้ำเสียงเรียบเฉยของเขาซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก มองเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความลังเลว่า “ถ้าอย่างนั้นข้า......ป้อนให้ท่านหนึ่งลูก?"ลู่เหิงจือพยักหน้าซูชิงลั่วมีปลายนิ้วเรียวเล็กขาวเนียน ราวกับแกนในสุดของหอมหัวใหญ่ที่ปอกเปลือกออกทีละชั้นจนถึงชั้นที่อ่อนนุ่มที่สุดเม็ดองุ่นสีเขียวมรกตวางอยู่บนปลายนิ้วของนางราวกับไข่มุกแวววาวซูชิงลั่วส่งองุ่นในมือให้ลู่เหิงจือที่ริมฝีปาก มองเขาด้วยดวงตาสดใสลู่เหิงจือฉายแววสีเข้มในดวงตาเล็กน้อยแล้วอ้าปากเม็ดองุ่นนั้นส่ายไปมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา ก่อนที่ซูชิงลั่วจะเอาเข้าปากของตัวเองซูชิงลั่วมองเขาอย่างได้ใจ กินองุ่นอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเปล่งเสียง "อืม" ลากยาวออกมาแววตาของนางนั้นชัดเจนว่าหมายถึง "ไม่ให้เจ้าหรอก"หลังจากกินเสร็จ นางก็เช็ดมือ แล้วลุกขึ้นยืนและพูดว่า "โดนหลอกมาหลายเดือนแล้ว คราวนี้ข้าจะไม่หลงกลอีกแล้ว"ในช่วงหลายเดือนที่อยู่กับเขา ณ จินหลิง ทำให้นางเข้าใจถึงความเจ้าเล่ห์ของเขามากขึ้นลู่เหิงจือ "......"ไม่ค่อยดีเลย ฮูหยินของเขายิ่งหลอ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูชิงลั่วสั่งให้ทุกคนช่วยกันเก็บของ และในขณะนั้นเอง นางก็ได้รับจดหมายจากท่านยายที่ส่งมาจากเมืองหลวงนางเขียนจดหมายถึงท่านยายทุกเดือนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เดือนนี้ท่านยายเพิ่งตอบกลับมาเอง เหตุใดจึงส่งมาอีกฉบับนางเปิดอ่านแล้วสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม“เพราะเหตุใด?”ลู่เหิงจือเก็บของเสร็จเดินเข้ามาเห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงเดินไปหานางซูชิงลั่วส่งจดหมายให้เขา “บิดาของนางหลิ่วกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมธรรมการ และได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างมาก ท่านยายบอกว่าทั้งเขาและองค์รัชทายาทที่อยู่เบื้องหลังเขาได้สอบถามเรื่องของนางหลิ่ว คงจำเป็นต้องรับนางหลิ่วกลับจากชนบทแล้ว”อีกทั้งในจดหมายยังกล่าวอีกว่า ลู่เหยียนได้ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกับเฉิงซิ่ว บุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งเป็นฝ่ายตระกูลเฉิงที่เข้ามาสู่ขอเองก่อนหน้านี้ในงานชมดอกไม้ เฉิงซิ่วก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกดีที่มีต่อลู่เหยียน และเมื่อบิดาของนางหลิ่วกลับมามีอำนาจอีกครั้ง การที่นางจะลดตัวลงมาสู่ขอจึงถือเป็นเรื่องปกติก่อนหน้านี้ นางกับนางหลิ่วเคยทะเลาะกันอย่างรุนแรง และเฉิงซิ่วก็แส
ซูชิงลั่วพยายามผลักเขาออก และกระซิบว่า "มีคนอื่นอยู่ด้วย......"จื๋อหยวนกับคนอื่นๆ กำลังเก็บของอยู่ด้านนอกและอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อลู่เหิงจือกัดริมฝีปากของนางเบาๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยนางไปหัวใจที่เต้นรัวของนางเพิ่งสงบลง แต่ในทันใดนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว"ท่านจะทำอะไร" นางพยายามดิ้นรน แต่ก็มาถึงห้องโถงแล้ว เห็นสาวใช้หลายคนกำลังยุ่งอยู่ นางจึงรีบซบหน้าลงบนอกของลู่เหิงจือลู่เหิงจืออุ้มนางไปที่ห้องหนังสือและปิดประตูเสียงดังห้องหนังสือเหลือเพียงพวกเขาสองคนซูชิงลั่วโอบคอของเขาไว้และร้องเสียงหลงเบาๆ ว่า "ท่านบ้าไปแล้วหรือ"เขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับอุ้มนางไว้โดยไม่พูดอะไร และวางนางลงบนเก้าอี้ในห้องหนังสือด้วยสายตาที่นิ่งเฉย เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าคาดเอวของนางออกแล้วดึงเสื้อผ้าของนางออกไหล่เปลือยของนางขาวซีดและบอบบาง ดูเหมือนจะหักได้โดยง่ายเขาก้มลงจูบนางซูชิงลั่วรู้สึกคันเล็กน้อยที่บริเวณไหล่และอดไม่ได้ที่จะหดตัวลงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง พัดมาโดนไหล่จนรู้สึกเย็นเยือก ซึ่งหน้าต่างยังไม่ได้ปิดเลยด้วยซ้ำซูชิงลั่วพยายามสลัดตัว “หน้าต่าง......”ลู
ซูชิงลั่วแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน กอดไหล่ราวกับกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ "ท่านยังบอกอีกว่าจะปฏิบัติต่อข้าด้วยความสุภาพ คนโกหก"ลู่เหิงจือเข้าไปใกล้ ยกมือลูบไหล่นางแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด "ไม่ได้โกหกเจ้า"พูดจบ เขาก็เหมือนรู้สึกว่าไม่อาจโน้มน้าวใจได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อว่า "ข้าหมายถึงสุภาพแบบโจวกงน่ะ"ซูชิงลั่ว "???"เถียงไม่ชนะ นางเป็นฝ่ายแพ้ทว่าค่ำคืนก่อนจะเดินทางไปเมืองหลวง ทำให้ทั้งสองคนประทับใจไม่ลืม*วันที่สิบเดือนเก้า เหมาะแก่การเดินทางไกลข้างประตูเรือนของตระกูลซู มีเหล่าผู้รับใช้ยืนเรียงเป็นสองแถว มองตามหลังซูชิงลั่วคู่บ่าวสาวด้วยความอาลัยอาวรณ์โดยเฉพาะผู้ดูแลถานถึงกับใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาเขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับคุณหนูอีกหรือไม่ซูชิงลั่วมองผู้ดูแลถานและโค้งคำนับให้กับเขา“อาถาน ชิงลั่วขอคารวะท่าน หลายปีมานี้ขอบคุณท่านมาก”“คุณหนูอย่าทำเช่นนี้เลย” ผู้ดูแลถานพูดพลางกลั้นน้ำตา “เห็นใต้เท้าดูแลคุณหนูดีมาก ข้าก็สบายใจแล้ว แม้จะจากโลกนี้ไปก็จะได้ไปรายงานนายท่านได้แล้ว”“ท่านพูดอะไรเช่นนั้น” หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวด นางไม่อยากพูดอะไรอีก จึง
กระทั่งกินอาหารเสร็จแล้วกลับเข้าห้อง ซูชิงลั่วถึงถามลู่เหิงจือว่า เหตุใดถึงมองสาวผู้นั้นแม่นางผู้นั้นก็สวยดี แต่ก็ไม่ได้สวยถึงขั้นทำให้ละสายตาไม่ได้เขาคงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างลู่เหิงจือโอบนางไว้ คิดครุ่นอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ดวงตาและคิ้วของนางดูคล้ายน้องสาวที่หายไปเมื่อเก้าปีก่อนของข้า แต่เสียดายที่ตำแหน่งของไฝใต้ตาไม่ตรงกัน น้องสาวข้ามีไฝที่ใต้ตาข้างซ้าย”ซูชิงลั่วชะงักไป “ท่านหมายความว่า ท่านยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน น้องสาวแท้ๆ รึ”ลู่เหิงจือพยักหน้าช้าๆ น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา “น้องสาวแท้ๆ ข้าไม่มีนิสัยชอบรับใครเป็นน้องสาวหรือพี่ชายบุญธรรม”“……”หลี่ว์เผิงเทียนกลับหังโจวแล้ว ยังจะมาหึงหวงเช่นนี้อีกซูชิงลั่วรู้สึกผิดจึงหลบสายตา “ข้าไม่รู้เรื่องเลย ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”นางออดอ้อนด้วยการจับแขนเสื้อเขาลู่เหิงจือยิ้มเยาะเบาๆเขาไม่ได้หึงหวงต่อ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องสาวของข้าชื่อลู่ซือไหว อายุน้อยกว่าข้าห้าปี หากยังอยู่ก็คงอายุสิบแปดแล้ว นางหายตัวไปขณะอายุเจ็บขวบ ปีนั้นพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน บ้านก็วุ่นวายไปหมด เป็นความผิดของข้า
บ้านตระกูลลู่ได้ส่งคนไปรออยู่ที่ประตูเมืองนานแล้ว พอเห็นพวกเขาก็รีบส่งข่าวกลับจวนทันทีรถม้าจอดอยู่หน้าประตูจวนลู่ซูชิงลั่วค่อยๆ เปิดม่านรถออกมา ท่านยายพยุงไม้เท้าเดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเมื่อเห็นซูชิงลั่วแวบแรก นางก็น้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา และยิ้มพลางพยักหน้าให้กับนางซูชิงลั่วอยากร้องไห้ประตูรถเปิดออก ลู่เหิงจือลงจากรถก่อน แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปช่วยพยุงซูชิงลั่วลงมาฉากนี้ทำให้ลู่เหยียนเจ็บปวดอย่างรุนแรงไม่ได้เจอกันแรมปี ซูชิงลั่วดูงดงามขึ้นมากดวงตาเย้ายวนของนางยิ่งดูเปล่งประกาย ราวกับจิ้งจอกน้อย ข้อมือเล็กเท่าฝ่ามือ เอวบางเฉียบ รูปร่างดูอ่อนช้อยเย้ายวนใจ เปลี่ยนไปจากเดิมที่ดูเรียบง่ายโดยสิ้นเชิงน่าแปลกมาก ทั้งที่เป็นคนเดียวกัน เหตุใดถึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้เขามองมือทั้งสองที่จับกันอย่างแนบแน่นด้วยความริษยาช่าง......น่าเสียดายเหลือเกินร่างกายนี้ควรจะเป็นของเขาชัดๆ แต่เขายังไม่ได้สัมผัสเลยเขาเลียริมฝีปากเบาๆ แล้วก็สบเข้ากับสายตาที่แหลมคมของลู่เหิงจือ รีบจึงก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองอีกเลยลู่เหิงจือเบือนหน้า แล้วพาซูชิงลั่วไปคารวะท่านยายและบ
ทว่าบัดนี้นางไม่คิดแล้วนางยิ้มจางๆ “หากท่านน้ารองถามที่ประตู ก็ต้องพูดให้กระจ่างที่ประตู หากเข้าไปด้านในยามนี้ ชื่อเสียงของข้าคงป่นปี้ไปหมดเสียแล้ว”ลู่โย่วไม่คิดว่าซูชิงลั่วจะแข็งกร้าวเพียงนี้ เพราะหลานสาวของเขาเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ในใจเขารู้สึกไม่พอใจ มองไปทางลู่เหิงจือ แล้วพูดกึ่งหยอกล้อว่า “เจ้าสามยังไม่รีบดูภรรยาของเจ้าอีก ออกไปข้างนอกครั้งเดียวก็ติดนิสัยแบบนี้มาเสียแล้ว”ลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ข้างๆ ซูชิงลั่วนิ่งเงีบมาตลอด กระทั่งยามนี้ถึงลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าตามใจนาง ท่านมีปัญหาอะไรหรือ”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อยลู่โย่วรู้สึกอึดอัด ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อว่า “ดูแลฮูหยินของตนให้ดีก่อนเถิด แล้วค่อยมาตำหนิผู้อื่น”เสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นเยือกลู่โย่วใบหน้าซีดเผือดลู่หมิงซืออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าลู่โย่วถูกทำให้อับอายไปแล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงทำได้เพียงแต่บิดผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่นหญิงชราเผยรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากเยี่ยมาก ชิงลั่วของนางกลับมาครั้งนี้แข็งแกร่งขึ้น สามีก็รักนา
เข้าประตูมา ทุกคนต่างแยกย้ายลู่เหิงจือไปที่เรือนหญิงชราพร้อมกับซูชิงลั่วเสียงใบไม้แห้งปลิวตามลมพัดโชยมาจากนอกหน้าต่างเบาๆคนเราพออายุมากขึ้นก็ดูแก่ลงได้ง่ายดายเพียงไม่ถึงปีหญิงชราผมหงอกขึ้นมาก ร่องรอยบนใบหน้าลึกขึ้น ผิวมือหยาบกร้านราวกับเปลือกของต้นไม้แก่หลังก็ไม่ตรงเหมือนเมื่อปีที่แล้วซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งทรวง กอดท่านยายอยู่นานกว่าจะปล่อยมือหญิงชราเช็ดน้ำตา มองยังลู่เหิงจือที่มากับนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "แต่งงานมานานขนาดนี้แล้ว อย่าให้หลานเขยหัวเราะเยาะเจ้าได้""เขาไม่หรอกเจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วหันมองลู่เหิงจือลู่เหิงจือยิ้มโดยไม่รู้ตัว "ไม่กล้าขอรับ"เสียงของเขาดูอ่อนโยน น้ำเสียงก็ปกติราวกับว่าการใช้ชีวิตประจำวันกับซูชิงลั่วเป็นเช่นนี้เสมอมา ทำให้สาวใช้ในห้องค่อนข้างประหลาดใจก่อนหน้านี้แม้ว่าลู่เหิงจือจะดูแลฮูหยินเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นนี้ ยามนี้ดูเหมือนว่าจะถูกฮูหยินควบคุมอย่างสมบูรณ์แล้วทันใดนั้น เหล่าสาวใช้ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีกครั้งหญิงชราก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ดีใจยิ่งกว่า จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าจะถูกเหิงจือตามใจจนเหลิงเสียแล้ว"ลู่เหิงจือมองไปท
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป