"ให้เจ้าก็รับไว้เถอะ ข้าขาดเงินเสียที่ไหนเล่า"ซูชิงลั่วยิ้มออกมา แล้วนึกถึงคำพูดของลู่เหิงจือ จึงพูดว่า “หากคิดว่าที่บ้านใช้ไม่หมด ก็เก็บไว้ใช้เอง เจ้าถึงวัยแต่งงานแล้ว ควรจะคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้าง หากมีคนที่ชอบ ข้าจะช่วยออกหน้าให้ มาบอกข้าได้เลย"จื๋อหยวนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา “ฮูหยินพูดอะไรเจ้าคะ”นางพูดตะกุกตะกัก “เดิม เดิมทีซ่งเหวินชวนบ่าวไปงานวัด ท่านพูดเช่นนี้ บ่าวไม่กล้าไปแล้วเจ้าค่ะ”แสดงท่าทางเหมือนนางไม่รู้สึกผิดเลย แม้ใบหน้าจะแดงก่ำก็ตามซูชิงลั่วพยายามกลั้นความอยากรู้ไว้ และจงใจหยอกล้อนาง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป จะได้ไม่มีใครมาพูดจาให้เสียหาย เจ้าคงไม่กล้าพบซ่งเหวินแล้ว"จื๋อหยวน "......"นางรู้สึกว่า ฮูหยินยของนางน่าจะอยู่กับใต้เท้ามานาน จนไม่ใสซื่อเหมือนแต่ก่อนแล้ว*หลังจากที่ลู่เหิงจือได้รับบาดเจ็บและยื่นเรื่องขอลาป่วยเพื่อพักฟื้น เมืองหลวงก็ดูวุ่นวายขึ้นมาหวังเหลียงฮั่นถูกจับตัวไปสอบสวนที่สามสำนักแห่งเมืองหลวง สุดท้ายโดนลงโทษเพียงถูกเนรเทศไปยังแดนไกล องค์รัชทายาทถูกตำหนิและถูกกักบริเวณเพื่อไตร่ตรองความผิดเป็นเวลาหนึ่งเดือน อำนาจก็ลดลงไปมากฮองเฮาตกอยู่ในสถาน
ลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ซูชิงลั่วกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงว่า “เขาน่าสงสาร” ในน้ำเสียงเรียบเฉยของเขาซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก มองเขาครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความลังเลว่า “ถ้าอย่างนั้นข้า......ป้อนให้ท่านหนึ่งลูก?"ลู่เหิงจือพยักหน้าซูชิงลั่วมีปลายนิ้วเรียวเล็กขาวเนียน ราวกับแกนในสุดของหอมหัวใหญ่ที่ปอกเปลือกออกทีละชั้นจนถึงชั้นที่อ่อนนุ่มที่สุดเม็ดองุ่นสีเขียวมรกตวางอยู่บนปลายนิ้วของนางราวกับไข่มุกแวววาวซูชิงลั่วส่งองุ่นในมือให้ลู่เหิงจือที่ริมฝีปาก มองเขาด้วยดวงตาสดใสลู่เหิงจือฉายแววสีเข้มในดวงตาเล็กน้อยแล้วอ้าปากเม็ดองุ่นนั้นส่ายไปมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา ก่อนที่ซูชิงลั่วจะเอาเข้าปากของตัวเองซูชิงลั่วมองเขาอย่างได้ใจ กินองุ่นอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเปล่งเสียง "อืม" ลากยาวออกมาแววตาของนางนั้นชัดเจนว่าหมายถึง "ไม่ให้เจ้าหรอก"หลังจากกินเสร็จ นางก็เช็ดมือ แล้วลุกขึ้นยืนและพูดว่า "โดนหลอกมาหลายเดือนแล้ว คราวนี้ข้าจะไม่หลงกลอีกแล้ว"ในช่วงหลายเดือนที่อยู่กับเขา ณ จินหลิง ทำให้นางเข้าใจถึงความเจ้าเล่ห์ของเขามากขึ้นลู่เหิงจือ "......"ไม่ค่อยดีเลย ฮูหยินของเขายิ่งหลอ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ซูชิงลั่วสั่งให้ทุกคนช่วยกันเก็บของ และในขณะนั้นเอง นางก็ได้รับจดหมายจากท่านยายที่ส่งมาจากเมืองหลวงนางเขียนจดหมายถึงท่านยายทุกเดือนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เดือนนี้ท่านยายเพิ่งตอบกลับมาเอง เหตุใดจึงส่งมาอีกฉบับนางเปิดอ่านแล้วสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม“เพราะเหตุใด?”ลู่เหิงจือเก็บของเสร็จเดินเข้ามาเห็นสีหน้านางไม่สู้ดี จึงเดินไปหานางซูชิงลั่วส่งจดหมายให้เขา “บิดาของนางหลิ่วกลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมธรรมการ และได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างมาก ท่านยายบอกว่าทั้งเขาและองค์รัชทายาทที่อยู่เบื้องหลังเขาได้สอบถามเรื่องของนางหลิ่ว คงจำเป็นต้องรับนางหลิ่วกลับจากชนบทแล้ว”อีกทั้งในจดหมายยังกล่าวอีกว่า ลู่เหยียนได้ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกับเฉิงซิ่ว บุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ซึ่งเป็นฝ่ายตระกูลเฉิงที่เข้ามาสู่ขอเองก่อนหน้านี้ในงานชมดอกไม้ เฉิงซิ่วก็แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกดีที่มีต่อลู่เหยียน และเมื่อบิดาของนางหลิ่วกลับมามีอำนาจอีกครั้ง การที่นางจะลดตัวลงมาสู่ขอจึงถือเป็นเรื่องปกติก่อนหน้านี้ นางกับนางหลิ่วเคยทะเลาะกันอย่างรุนแรง และเฉิงซิ่วก็แส
ซูชิงลั่วพยายามผลักเขาออก และกระซิบว่า "มีคนอื่นอยู่ด้วย......"จื๋อหยวนกับคนอื่นๆ กำลังเก็บของอยู่ด้านนอกและอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อลู่เหิงจือกัดริมฝีปากของนางเบาๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยนางไปหัวใจที่เต้นรัวของนางเพิ่งสงบลง แต่ในทันใดนั้นเขาก็อุ้มนางขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว"ท่านจะทำอะไร" นางพยายามดิ้นรน แต่ก็มาถึงห้องโถงแล้ว เห็นสาวใช้หลายคนกำลังยุ่งอยู่ นางจึงรีบซบหน้าลงบนอกของลู่เหิงจือลู่เหิงจืออุ้มนางไปที่ห้องหนังสือและปิดประตูเสียงดังห้องหนังสือเหลือเพียงพวกเขาสองคนซูชิงลั่วโอบคอของเขาไว้และร้องเสียงหลงเบาๆ ว่า "ท่านบ้าไปแล้วหรือ"เขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับอุ้มนางไว้โดยไม่พูดอะไร และวางนางลงบนเก้าอี้ในห้องหนังสือด้วยสายตาที่นิ่งเฉย เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าคาดเอวของนางออกแล้วดึงเสื้อผ้าของนางออกไหล่เปลือยของนางขาวซีดและบอบบาง ดูเหมือนจะหักได้โดยง่ายเขาก้มลงจูบนางซูชิงลั่วรู้สึกคันเล็กน้อยที่บริเวณไหล่และอดไม่ได้ที่จะหดตัวลงลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง พัดมาโดนไหล่จนรู้สึกเย็นเยือก ซึ่งหน้าต่างยังไม่ได้ปิดเลยด้วยซ้ำซูชิงลั่วพยายามสลัดตัว “หน้าต่าง......”ลู
ซูชิงลั่วแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน กอดไหล่ราวกับกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ "ท่านยังบอกอีกว่าจะปฏิบัติต่อข้าด้วยความสุภาพ คนโกหก"ลู่เหิงจือเข้าไปใกล้ ยกมือลูบไหล่นางแล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด "ไม่ได้โกหกเจ้า"พูดจบ เขาก็เหมือนรู้สึกว่าไม่อาจโน้มน้าวใจได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดต่อว่า "ข้าหมายถึงสุภาพแบบโจวกงน่ะ"ซูชิงลั่ว "???"เถียงไม่ชนะ นางเป็นฝ่ายแพ้ทว่าค่ำคืนก่อนจะเดินทางไปเมืองหลวง ทำให้ทั้งสองคนประทับใจไม่ลืม*วันที่สิบเดือนเก้า เหมาะแก่การเดินทางไกลข้างประตูเรือนของตระกูลซู มีเหล่าผู้รับใช้ยืนเรียงเป็นสองแถว มองตามหลังซูชิงลั่วคู่บ่าวสาวด้วยความอาลัยอาวรณ์โดยเฉพาะผู้ดูแลถานถึงกับใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาเขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกับคุณหนูอีกหรือไม่ซูชิงลั่วมองผู้ดูแลถานและโค้งคำนับให้กับเขา“อาถาน ชิงลั่วขอคารวะท่าน หลายปีมานี้ขอบคุณท่านมาก”“คุณหนูอย่าทำเช่นนี้เลย” ผู้ดูแลถานพูดพลางกลั้นน้ำตา “เห็นใต้เท้าดูแลคุณหนูดีมาก ข้าก็สบายใจแล้ว แม้จะจากโลกนี้ไปก็จะได้ไปรายงานนายท่านได้แล้ว”“ท่านพูดอะไรเช่นนั้น” หัวใจของซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บปวด นางไม่อยากพูดอะไรอีก จึง
กระทั่งกินอาหารเสร็จแล้วกลับเข้าห้อง ซูชิงลั่วถึงถามลู่เหิงจือว่า เหตุใดถึงมองสาวผู้นั้นแม่นางผู้นั้นก็สวยดี แต่ก็ไม่ได้สวยถึงขั้นทำให้ละสายตาไม่ได้เขาคงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างลู่เหิงจือโอบนางไว้ คิดครุ่นอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ดวงตาและคิ้วของนางดูคล้ายน้องสาวที่หายไปเมื่อเก้าปีก่อนของข้า แต่เสียดายที่ตำแหน่งของไฝใต้ตาไม่ตรงกัน น้องสาวข้ามีไฝที่ใต้ตาข้างซ้าย”ซูชิงลั่วชะงักไป “ท่านหมายความว่า ท่านยังมีน้องสาวอีกหนึ่งคน น้องสาวแท้ๆ รึ”ลู่เหิงจือพยักหน้าช้าๆ น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา “น้องสาวแท้ๆ ข้าไม่มีนิสัยชอบรับใครเป็นน้องสาวหรือพี่ชายบุญธรรม”“……”หลี่ว์เผิงเทียนกลับหังโจวแล้ว ยังจะมาหึงหวงเช่นนี้อีกซูชิงลั่วรู้สึกผิดจึงหลบสายตา “ข้าไม่รู้เรื่องเลย ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”นางออดอ้อนด้วยการจับแขนเสื้อเขาลู่เหิงจือยิ้มเยาะเบาๆเขาไม่ได้หึงหวงต่อ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องสาวของข้าชื่อลู่ซือไหว อายุน้อยกว่าข้าห้าปี หากยังอยู่ก็คงอายุสิบแปดแล้ว นางหายตัวไปขณะอายุเจ็บขวบ ปีนั้นพ่อแม่ของข้าเสียชีวิตไล่เลี่ยกัน บ้านก็วุ่นวายไปหมด เป็นความผิดของข้า
บ้านตระกูลลู่ได้ส่งคนไปรออยู่ที่ประตูเมืองนานแล้ว พอเห็นพวกเขาก็รีบส่งข่าวกลับจวนทันทีรถม้าจอดอยู่หน้าประตูจวนลู่ซูชิงลั่วค่อยๆ เปิดม่านรถออกมา ท่านยายพยุงไม้เท้าเดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเมื่อเห็นซูชิงลั่วแวบแรก นางก็น้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตา และยิ้มพลางพยักหน้าให้กับนางซูชิงลั่วอยากร้องไห้ประตูรถเปิดออก ลู่เหิงจือลงจากรถก่อน แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปช่วยพยุงซูชิงลั่วลงมาฉากนี้ทำให้ลู่เหยียนเจ็บปวดอย่างรุนแรงไม่ได้เจอกันแรมปี ซูชิงลั่วดูงดงามขึ้นมากดวงตาเย้ายวนของนางยิ่งดูเปล่งประกาย ราวกับจิ้งจอกน้อย ข้อมือเล็กเท่าฝ่ามือ เอวบางเฉียบ รูปร่างดูอ่อนช้อยเย้ายวนใจ เปลี่ยนไปจากเดิมที่ดูเรียบง่ายโดยสิ้นเชิงน่าแปลกมาก ทั้งที่เป็นคนเดียวกัน เหตุใดถึงเปลี่ยนไปมากเพียงนี้เขามองมือทั้งสองที่จับกันอย่างแนบแน่นด้วยความริษยาช่าง......น่าเสียดายเหลือเกินร่างกายนี้ควรจะเป็นของเขาชัดๆ แต่เขายังไม่ได้สัมผัสเลยเขาเลียริมฝีปากเบาๆ แล้วก็สบเข้ากับสายตาที่แหลมคมของลู่เหิงจือ รีบจึงก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองอีกเลยลู่เหิงจือเบือนหน้า แล้วพาซูชิงลั่วไปคารวะท่านยายและบ
ทว่าบัดนี้นางไม่คิดแล้วนางยิ้มจางๆ “หากท่านน้ารองถามที่ประตู ก็ต้องพูดให้กระจ่างที่ประตู หากเข้าไปด้านในยามนี้ ชื่อเสียงของข้าคงป่นปี้ไปหมดเสียแล้ว”ลู่โย่วไม่คิดว่าซูชิงลั่วจะแข็งกร้าวเพียงนี้ เพราะหลานสาวของเขาเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ในใจเขารู้สึกไม่พอใจ มองไปทางลู่เหิงจือ แล้วพูดกึ่งหยอกล้อว่า “เจ้าสามยังไม่รีบดูภรรยาของเจ้าอีก ออกไปข้างนอกครั้งเดียวก็ติดนิสัยแบบนี้มาเสียแล้ว”ลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ข้างๆ ซูชิงลั่วนิ่งเงีบมาตลอด กระทั่งยามนี้ถึงลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าตามใจนาง ท่านมีปัญหาอะไรหรือ”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อยลู่โย่วรู้สึกอึดอัด ยังไม่ทันจะพูดอะไร ก็ได้ยินลู่เหิงจือพูดต่อว่า “ดูแลฮูหยินของตนให้ดีก่อนเถิด แล้วค่อยมาตำหนิผู้อื่น”เสียงของเขาแฝงไปด้วยความเย็นเยือกลู่โย่วใบหน้าซีดเผือดลู่หมิงซืออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าลู่โย่วถูกทำให้อับอายไปแล้ว ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงทำได้เพียงแต่บิดผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่นหญิงชราเผยรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากเยี่ยมาก ชิงลั่วของนางกลับมาครั้งนี้แข็งแกร่งขึ้น สามีก็รักนา